นิรุตติ์ ศิริจรรยา หรือ อาหนิง นักแสดงที่คนทั้งในและนอกวงการบันเทิงต่างยอมรับ ผู้ชายที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมากว่า 70 ปี มองเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างไร ค้นพบอะไรในการใช้ชีวิตสงบเงียบ และมีอะไรที่เขาอยากถ่ายทอดให้คนรุ่นใหม่ได้เข้าใจชีวิต
นักแสดงคือสินค้าและลูกจ้าง
“ผมต้องเชื่อฟังผู้กำกับ เพราะผู้กำกับคือคนที่ใหญ่ที่สุดในกองถ่าย อาทำอย่างนี้ไม่ได้ อาต้องทำอย่างนั้น ฉากนี้อาต้องร้องไห้ ผมจะไปบอกผมไม่ทำ แค่นี้ดีแล้ว มันไม่ใช่ นักแสดงเป็นสินค้า ผู้กำกับคือผู้พัฒนาสินค้า เขากำลังพัฒนาตัวผม แล้วเอาออกไปขายจนเป็นที่นิยมของผู้บริโภค”
“เรามีงานต้องรับผิดชอบ ที่ผมบอกว่าไม่ได้ดูละครที่ตัวเองเล่น เพราะว่าบางครั้งวันที่ละครเราออก เราทำงาน และเวลาทำงานของนักแสดงเขาเริ่มกันตั้งแต่ตี 5 กว่าจะกลับถึงบ้านก็เที่ยงคืนแล้ว คุณจะบอก ผู้กำกับครับ ผมขอเบรกไปดูละครที่ผมเล่นก่อนได้ไหม หรือขอนั่งดูย้อนหลังก่อนได้ไหม มันก็ไม่ได้ เราต้องทำงาน เราเป็นลูกจ้าง ขอให้คิดอยู่ตลอดเวลาว่า เราคือลูกจ้าง ไม่ว่าคุณจะเป็นพระเอก 50 ตุ๊กตาทอง คุณก็ยังเป็นลูกจ้าง ถ้าเขาไม่จ้างคุณก็ไม่มีวันได้ตุ๊กตาทอง คิดอันนี้ไว้ให้หนัก อย่าไปหลงตัวว่าฉันเก่ง ฉันแน่ ฉันเป็นผู้นำของนักแสดงเหล่านี้ ถ้าไม่มีเรา เขาหาคนอื่นได้นะ เพราะเราก็คือสินค้าชนิดหนึ่ง มันไม่ใช่โทรศัพท์ออกมารุ่นใหม่ ตกน้ำได้ ไม่พัง แต่ถ้าเราตกน้ำเราจมนะ ฉะนั้นคนที่เขาพยายาม ไม่ยอมตกน้ำ เขาก็จะอยู่แทนคุณ”
อย่าไปหลงตัวเองที่คนอื่นเรียกเราว่า ซูเปอร์สตาร์ เราไม่ได้อยู่ในอวกาศ เราไม่ใช่ดาว เรายังเดินอยู่บนพื้นดิน เราแค่ลูกจ้างเขา ไม่มีใครจ้างเรา เราก็ดับวูบไปเท่านั้นเอง
การทำงานคือการเรียนรู้ตลอดชีวิต
“ถ้าคุณรำคาญกับอาชีพ อย่าอยู่ ผมเข้ามาแสดงเรื่องแรก โดยที่ยังไม่รู้ว่าจะมีเรื่องที่สองหรือไม่ แต่ผมรักงานนี้ และผมไม่รำคาญที่จะต้องทำอะไรซ้ำๆ ผมคิดว่าการทำงานเป็นการเรียนไม่รู้จบ ผมมีโอกาส และมีโชคที่ได้ค้นพบตัวเองว่าเราชอบอาชีพแบบนี้ ผมก็เลยลาออกจากสายการบิน เพื่อเข้าสู่อาชีพการแสดง ผมไม่ได้จบมหาวิทยาลัย หรือโรงเรียนการแสดง แต่ผมยังเรียนรู้อยู่เรื่อยๆ จนกระทั่งถึงวันนี้ ผมก็ยังเรียนไม่จบ”
ต้องเข้าใจตัวเอง และต้องเข้าใจคนอื่น
“ถ้าผมไม่รู้ในสิ่งที่ผมทำ ผมจะกลัวมาก ถ้าไม่รู้ แล้วสักแต่พูดไป มันจะได้อะไร เราต้องรู้และเข้าใจในสิ่งที่เราพูด และคิดว่ามันดีมีประโยชน์ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจก็จะทำไปผิดๆ เหมือนมอเตอร์ไซค์ที่เขาใส่ไซเลนเซอร์เก็บเสียงมา เราก็ไปถอดมันออก แล้วก็ไปขี่อย่างเมามันในอารมณ์ มีความสุขอยู่คนเดียว คุณก็จะทำงานร่วมกับคนอื่นไม่ได้ เพราะเราทำงานเป็นกลุ่ม ทั้งครอบครัว ทั้งบริษัท ทั้งประเทศ หรือกับเพื่อนเราก็ต้องเข้าใจว่าแต่ละคนว่ามีนิสัยไม่เหมือนกัน กินก็ไม่เหมือนกัน นอนก็ไม่เหมือนกัน อยู่ก็ไม่เหมือนกัน ฉะนั้นเราต้องเข้าใจเพื่อนเราทุกคน หรือคนในครอบครัวเราเองนิสัยก็ยังไม่เหมือนกัน และถ้าหากว่าคุณยังไม่เข้าใจคนในครอบครัว คุณจะมาเข้าใจผมหรือคนอื่นได้อย่างไร”
อย่าตัดสินใครง่ายๆ
“นักแสดงไม่ใช่คนวิเศษ ไม่มีใครวิเศษหรอก พวกเขาก็เหมือนคุณนั่นแหละ หรือบางคนอาจเลวกว่าคุณก็ได้ ผมไม่ได้มาด่าพวกเดียวกันเอง แต่ผมหมายถึง ความเป็นปุถุชน ทุกคนเท่ากันหมด นักแสดงไม่ได้วิเศษกว่าเรา เพียงแต่เรารู้จักเขาเท่านั้น คุณเห็นเขาเลวมากในการแสดง ตัวจริงเขาอาจจะดีมากก็ได้ อย่าด่วนตัดสินใครง่ายๆ ถ้าเรายังไม่รู้จักตัวตนของเขาเลย”
ชีวิตควรมีระบบจัดการและวางแผน
“คุณต้องมีระบบจัดการหรือวางแผนชีวิตตั้งแต่คุณตื่น วันนี้กลับบ้าน พรุ่งนี้คุณจะทำอะไร ไม่ใช่จัดการว่า ไม่มีอะไรทำ ตื่นมา 6 โมงเช้า มาดูพระอาทิตย์ขึ้น แล้วกลับไปนอนต่อ มันไม่ใช่ เดี๋ยวพรุ่งนี้มันก็ขึ้นอีก พรุ่งนี้ผมไปทำงานเช้า ผมก็ตื่นเช้าได้ ผมก็ดูมันได้ ผมก็รับอากาศสดชื่นได้ มันอยู่ที่ระบบการจัดการและการวางแผน มันต้องควบคู่กันไปอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่เด็กจนบรรลุนิติภาวะ ผมก็ยังดำเนินแผนของผมอยู่อย่างนี้ ถ้าคุณไม่มีระบบจัดการในชีวิต คุณจะจัดการใครได้ คนงานผมก็มี สุนัขผมก็เลี้ยง อาหารการกินเนี่ย คุณจะกินของหวานก่อนไหมล่ะ หรือจะเอาของหวานไปกินพร้อมกับข้าว มันก็ล้มละลาย”
ทำตั้งแต่พอมี และค่อยๆ ทำ
“เริ่มต้นทำตั้งแต่เราพอมี ไม่ใช่รอให้มีก่อนแล้วค่อยไปทำ มันไม่มีวันสำเร็จ เพราะต่อให้มีแล้ว รวยแล้ว มันก็จะมีอะไรมาดึงคุณไป มีปีศาจรออยู่อีกมากมาย แค่มีโอกาส หรือพอมีบ้าง ทำสักครึ่งหนึ่งที่มี เหลืออีกครึ่งหนึ่งเก็บไว้ ค่อยๆ ทำ เช่นเดียวกับการแสดง เช่นเดียวกับความดี เช่นเดียวกับการเรียนรู้ คุณก็เริ่มเรียนรู้ตั้งแต่น้อยๆ จนกระทั่งจบมหาวิทยาลัย ทำปริญญาโท ด็อกเตอร์ มันก็เริ่มต้นมาจากน้อยๆ แล้วค่อยๆ ทำทั้งนั้น อาชีพการงานเราก็เช่นกัน ไม่มีใครมาถึงก็แสดง แล้วมีชื่อเสียง แล้วมีสตางค์มากมายเลยทันที ไม่มีหรอก ทุกคนต้องผ่านความสาหัสของชีวิตมากมาย ทั้งหัวเราะทั้งร้องไห้นั่นแหละ”
สะสมทำไม ในเมื่อสุดท้ายเราก็จากไป
“จะสะสมไว้ทำไม เรามาอาศัยในโลกนี้ชั่วคราวเท่านั้น ใช้ชีวิตให้มีความสุขที่สุด ทำความดีให้มากที่สุด วันหนึ่งเราก็จากโลกนี้ไป จะอะไรกันนักหนา เพราะที่สุดแล้วคุณก็เอาอะไรไปไม่ได้สักอย่าง แต่ว่ามันมีกิเลสไงมนุษย์ อยากได้อยากมีไปเพื่ออะไร เพื่ออวดเท่านั้นเอง อวดว่าฉันมีมากกว่าใคร อวดว่าคนอื่นไม่มีแต่ฉันมี แล้วมันทำอะไรได้ ทำอะไรไม่ได้”
ผมเกิดมาบนโลกใบนี้ผมมีความสุขแล้ว ไม่ต้องสะสมอะไร เพราะวันหนึ่งผมก็ไม่ได้เป็นเจ้าของที่นี่ ต่อไปใครจะมาอยู่ที่นี่ก็ไม่รู้ แค่ทำวันนี้ให้ดีที่สุด อยู่ให้มีความสุขที่สุด ไม่เบียดเบียนใครที่สุด แล้ววันหนึ่งก็จากที่นี่ไป เท่านั้นเอง
Credits
Intro Voice-over มนต์ชัย วงศ์กิตติไกรวัล
Show Creator ภูมิชาย บุญสินสุข
Episode Producers อธิษฐาน กาญจนะพงศ์, ปวริศา ตั้งตุลานนท์
Episode Editor เชษฐพงศ์ ชูประดิษฐ์
Sound Designer & Engineer ศุภณัฐ เดชะอำไพ
Coordinator & Admin อภิสิทธิ์ หรรษาภิรมย์โชค
Art Director อนงค์นาฏ วิวัฒนานนท์
Photographer ศศิพิมพ์ อนันตกรณีวัฒน์
Proofreader ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
Webmaster จินตนา ประชุมพันธ์
Music Westonemusic
- อ่านบทสัมภาษณ์ อาหนิง เพิ่มเติมได้ที่ นิรุตติ์ ศิริจรรยา ตลอดชีวิต 71 ปี ที่เคี่ยวกรำด้วยความดี หน้าที่ และระเบียบวินัย