×

ปิยบุตรจี้สูตรปาร์ตี้ลิสต์ กกต. ให้ยึดกฎหมาย เล็งฟ้องกลับตรวจหุ้นธนาธรไม่ชอบ ผิดอาญา ม.157

โดย THE STANDARD TEAM
30.04.2019
  • LOADING...

เมื่อวันที่ 30 เมษายน ที่พรรคอนาคตใหม่ ตึกไทยซัมมิท ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ แถลงข่าวใน 3 ประเด็นสำคัญคือ 1. การเรียกร้องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยึดกฎหมายอย่างเคร่งครัดในการคำนวณจำนวน ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ 2. การเปิดเผยคะแนนดิบแบบรายหน่วย และ 3. กระบวนการพิจารณา กรณีการโอนหุ้นบริษัท วี-ลัค มีเดีย ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่

 

นายปิยบุตรกล่าวว่า การคำนวณจำนวน ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อตามแถลงข่าวล่าสุดของ พ.ต.อ. จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการ กกต. เหมือนจะใช้สูตรที่เรียกย่อๆ ว่า 27 พรรค คือกระจายให้พรรคที่ได้คะแนนไม่ถึงจำนวน ส.ส. พึงมีได้ ส.ส. ด้วย ซึ่งถ้าเป็นอย่างนี้ทางพรรคอนาคตใหม่มีส่วนได้เสียโดยตรง เนื่องจากจะทำให้ ส.ส. บัญชีรายชื่อหายไป 7-8 ที่นั่ง คะแนนดิบหายไป 6 แสนกว่าคะแนน นี่คือคะแนนประชาชนที่สนับสนุนเราหายไปทันที

 

ยืนยันว่าการคำนวณจำนวน ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อมีอยู่สูตรเดียวเท่านั้น คือตามรัฐธรรมนูญ และ พ.ร.ป. ว่าด้วยการเลือกตั้งกำหนดไว้คือ รัฐธรรมนูญมาตรา 91 (1), (2) และ (4) ซึ่งในมาตรา 91 (2) เขียนไว้ชัดเจนว่า ห้ามมีพรรคการเมืองใดมีจำนวน ส.ส. เกินกว่าจำนวน ส.ส. พึงมี กรณีเดียวที่เป็นข้อยกเว้นคือตามกรณี 91 (4) ถ้าได้จำนวน ส.ส. แบ่งเขตมากกว่าจำนวน ส.ส. พึงมี ให้ถือว่าได้ ส.ส. แบบแบ่งเขตโดยไม่ได้ ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ เป็นกรณียกเว้นเพียงกรณีเดียวเท่านั้น นอกเหนือจากนี้ไม่มีข้อยกเว้นใดทั้งสิ้น

 

“หลายท่านพยายามอธิบายว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ต้องการให้ความสำคัญกับทุกคะแนนเสียง กับพรรคการเมืองที่ได้ 3-4 หมื่นคะแนนนั้นมีความหมาย ผมขอถามกลับว่า แล้ว 6 แสนกว่าคะแนนของเราที่หายไปไม่มีความหมายอย่างนั้นเหรอ การที่ กกต. ไปค้นคว้าเอาความเห็นของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) มาอ้าง โดยไม่ดูตัวบทของรัฐธรรมนูญนั้นใช้ไม่ได้ กรธ. ไม่ใช่รัฐธรรมนูญ และอีกอย่างความเห็นของ กรธ. แต่ละคนก็ไม่ตรงกันด้วย ดังนั้น ถ้าจะคำนวณอย่างยุติธรรมจริงๆ ให้เดินตามรัฐธรมนูญ แต่ถ้าหากยืนยันว่าจะใช้แบบให้ 27 พรรคได้ ส.ส. พรรคอนาคตใหม่ ในฐานผู้เสียหายโดยตรง และผู้สมัคร ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อลำดับที่จะหายไป เราในฐานะผู้แทนประชาชนขอสงวนสิทธิ์ดำเนินคดีกับ กกต. ตามประมวมกฎหมายอาญา ม.157 ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ รวมถึงกรณีฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรม ซึ่งจะถูกดำเนินคดีไปที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และไปสู่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อไป” นายปิยบุตรกล่าว

 

นายปิยบุตรกล่าวต่อว่า เรื่องที่สอง การเปิดคะแนนดิบรายหน่วย ล่าสุด รองเลขา กกต. แถลงว่าเอกสารคะแนนรายหน่วยไม่ใช่ความลับ และอยู่ที่ กกต. จังหวัด ใครอยากได้ให้ไปขอ ซึ่งพรรคอนาคตใหม่ได้ให้ผู้สมัครไปร้องขอมา ก็ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง คนละมาตรฐานการปฏิบัติ อย่างกรณีจังหวัดนครปฐม เขต 1 เมื่อได้แล้วนำมาตรวจสอบลองรวมใหม่ก็พบว่า ชนะ 4 คะแนน จนทำให้ กกต. มีคำสั่งให้นับคะแนนใหม่ดังที่ผ่านมา หรือเขต 2 กรุงเทพมหานคร เมื่อได้คะแนนรายหน่วยมาก็พบพบพิรุธแบบฟอร์ม ส.ส. 5/11 กับ ส.ส. 5/18  ไม่ตรงกัน เราเห็นข้อผิดพลาดนี้ เพราะเราได้เห็นคะแนนดิบรายหน่วย นี่คือหลักฐานชัดว่ามีข้อผิดพลาดบกพร่องในการนับคะแนนจริงๆ ดังนั้นเมื่อคะแนนดิบรายหน่วยไม่ใช่ความลับ ท่านต้องมีคำสั่งลงไปที่หน่วยปฏิบัติว่าให้มีการเปิดเผย เมื่อไม่เปิดความลับจะเก็บไปทำไม เช่นที่จังหวัดนครราชสีมา เขต 1 ผู้สมัครพรรคอนาคตใหม่ขอไปเป็นเดือนแล้วยังไม่ได้ กลายเป็นว่ามาตรฐานไม่ตรงกัน

 

“เพื่อทำให้เกิดมาตรฐานเดียวกัน เราขอเรียกร้องให้ท่านสั่งเจ้าหน้าที่หน่วยลงไปว่าเปิดให้หมด และระหว่างมีคำสั่งนี้ ถ้ามีใครร้องขอให้เจ้าหน้าที่เปิดคะแนนต้องให้ดูทันที เพราะผมถือว่ารองเลขาธิการ กกต. พูดว่าไม่เป็นความลับ ไม่มีเหตุต้องปกปิด ใครขอต้องให้ หรือจะอำนวยความสะดวกประชาชนกว่านี้คือ ไม่ต้องขอ ให้เปิดมาเลย เพราะถ้าหากกระทำหน้าที่ด้วยสุจริตเที่ยงธรรม การเปิดเผยนี่แหละจะเป็นเกราะป้องกันให้ท่าน” นายปิยบุตรกล่าว

 

นายปิยบุตรกล่าวอีกว่า ประเด็นที่สาม กระบวนพิจารณาการถือหุ้น วี-ลัค มีเดีย ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งมีความผิดปกติหลายประการ ตั้งแต่เมื่อสัปดาห์ก่อน ตอนที่พรรคอนาคตใหม่พยายามยื่นหลักฐานในขั้นตอนการพิสูจน์มูลฟ้อง กลับปรากฏว่าคณะกรรมการ กกต. ปล่อยให้ฝ่ายกฎหมายของพรรคอนาคตใหม่นั่งรอถึง 4 ชั่วโมงจนหมดเวลาราชการ โดยไม่เปิดโอกาสให้เข้าไปชี้แจงในห้องประชุม แต่กลับไปเรียกรับเอาเอกสารจากหน่วยงานต่างๆ แต่ยกเว้นทางผู้ถูกกล่าวหา และยังมีทิศทางการพิจารณาไปตามที่สำนักข่าวบางสำนักนำเสนออยู่ข้างเดียวด้วย

 

นอกจากนี้ยังพบว่ามีการออกหนังสือเชิญให้ นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ เข้ามาชี้แจงกับคณะกรรมการในเวลา 10.00 น. ของวันที่ 22 เมษายน แต่หนังสือกลับมาถึงบ้านของนางสมพรในเวลา 13.45 น. ของวันที่ 22 เมษายน มีหลักฐานเป็นใบลงทะเบียน EMS ซึ่งคนที่จะไปชี้แจงได้คงต้องนั่งไทม์แมชชีนกลับไป กลายเป็นเหตุให้ฝ่ายที่ถูกตรวจสอบไม่มีโอกาสในการชี้แจงแสดงหลักฐานเลยแม้แต่น้อย

 

“นอกจากนี้ในเอกสารแจ้งข้อกล่าวหาที่ส่งมาถึงนายธนาธรระบุว่า ระหว่างวันที่ 4-8 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นวันส่งบัญชีรายชื่อพรรคการเมือง ซึ่งพรรคอนาคตใหม่ส่งวันที่ 6 กุมภาพันธ์ จากการตรวจสอบสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นที่บริษัท วี-ลัค มีเดีย ส่งต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่าท่านเป็นผู้ถือหุ้น บริษัท วี-ลัค มีเดีย ดังนั้นจึงเป็นบุคคลต้องห้ามไม่ให้ส่งเป็นผู้สมัคร ซึ่งตรงนี้ถามว่า 1. กกต. อ้างเอกสาร บอจ.5 ฉบับไหน ลงวันที่เท่าไรไม่ยอมบอก ซึ่งเรายืนยันมาตลอดว่าการโอนหุ้นของนายธนาธรจบไปแล้วตั้งแต่ 8 มกราคม และ 2. ข้อกล่าวหาตีขลุมไปเลยว่า พบว่าเป็นผู้ถือหุ้นบริษัท วี-ลัค มีเดีย นี่เป็นการแจ้งข้อกล่าวหาที่ไม่ละเอียด เป็นการฟ้องเคลือบคลุม ไม่ชัด เหมือนการให้การบ้านมาแต่ก็ไม่บอกว่าให้ชี้แจงเรื่องอะไร ซึ่งตามกระบวนการทางอาญาปกติ ถ้าอัยการเขียนฟ้องให้มีความคลุมเครือเช่นนี้ จะถูกศาลไล่ให้ไปเขียนมาใหม่ และอาจส่งผลถึงความไม่ชอบด้วยกฎหมายในการแจ้งข้อกล่าวหาด้วย” นายปิยบุตรกล่าว

 

นายปิยบุตรกล่าวอีกว่า ตนได้เคยอธิบายชัดแล้วเรื่องอำนาจของ กกต. ว่าไม่มีอำนาจตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของนายธนาธรในเวลานี้ เพราะ กกต. มีอำนาจตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้สมัคร ส.ส. ได้ตั้งแต่วันสมัครจนถึง 1 วันก่อนเลือกตั้งคือ 23 มีนาคม ถ้าตรวจไม่เสร็จก็จบ หมดเวลา ทุกคนได้เข้าไปสู่การเลือกตั้ง 24 มีนาคม แต่กระนั้นถ้ายังไม่ประกาศผล พบเรื่องคุณสมบัติของผู้สมัคร ตรวจสอบได้เฉพาะแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ซึ่งกฎหมายเขียนชัดมากใน ม.53 ว่า หากผู้อำนวยการเลือกตั้งประจำเขตพบผู้สมัครมีคุณลักษณะต้องห้าม และผู้สมัครนั้นอยู่ในลำดับได้รับการเลือกตั้ง สามารถตรวจสอบได้เฉพาะแบบแบ่งเขต ในกรณีของผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อ หรือนายธนาธร ถ้าจะตรวจสอบต้องรอเป็นการตรวจสอบคุณสมบัติ ส.ส. ซึ่งเมื่อเจอแล้วต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ส่วนการที่มีข่าวว่าจะมีแจกใบส้มตาม ม.132 นั้นก็แจกไม่ได้ เพราะใบส้มใช้กับกรณีเลือกตั้งไม่สุจริต ไม่เที่ยงธรรม หาก กกต. ตีความขยายอำนาจไปเรื่อยๆ แบบนี้ เป็นการจงใจใช้อำนาจขัดต่อกฎหมาย ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ดังนั้น หาก กกต. ยังคงดึงดันที่จะดำเนินการตามช่องทางที่ผิดเช่นนี้ต่อไปจนส่งผลให้เกิดการบังคับใช้กฎหมายที่ผิด ทางพรรคอนาคตใหม่ก็พร้อมที่จะดำเนินการเอาผิดต่อ กกต. ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ต่อไป

 

“การที่นายธนาธร ผม รวมถึงผู้พรรคอนาคตใหม่ เราเสนอตัวมาเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง เสนอนโยบายต่างๆ ด้วยอยากเข้ามาแก้ปัญหาประเทศที่สะสมยาวนาน เราปรารถนาดีอยากให้บ้านเมืองเดินหน้าสู่อนาคตแบบใหม่ และเราพร้อมตลอดเวลาสำหรับการตรวจสอบ แต่การตรวจสอบต้องสุจริต เที่ยงธรรม และไม่เลือกปฏิบัติ การใช้อำนาจในการตรวจสอบต้องไม่ตกเป็นเครื่องมือสกัดกั้นไม่ให้ใครเข้าสภา หรือไม่ให้พรรคการเมืองหนึ่งดำเนินตามนโยบายที่หาเสียงไว้กับประชาชน การกลั่นแกล้งทางการเมือง ไม่ใช่กระทบแต่ตัว ส.ส. คนใดคนหนึ่งเท่านั้น แต่กระทบถึงคะแนนเสียงของประชาชนที่เลือกมาด้วย และที่สำคัญที่สุดคือ อย่านำเอาองค์กรอิสระหรือองค์กรต่างๆ มาใช้เพื่อแรงจูงใจทางการเมือง วันนี้ กกต. โดนสังคมเคลือบแคลงสงสัยแล้ว ผมเห็นใจที่โดนแรงกดดันรอบด้าน แต่ท่านจะเอาตัวรอดได้ก็ด้วยโดยความสุจริต ไม่เลือกปฏิบัติ ถึงเวลาแล้วที่ กกต. ต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าท่านเป็นองค์กรอิสระอย่างแท้จริง เพื่อศักดิ์ศรีของท่านและสถานบัน สำหรับ คสช. มาแล้วก็ไป แต่ กกต. ต้องอยู่ต่อ ขอให้ดำเนินการต่างๆ ด้วยความอิสระและเที่ยงธรรม และความอิสระและเที่ยงธรรมนี้จะคุ้มครองท่านเอง” นายปิยบุตรกล่าว

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising