×

เบื้องหลังการต่อสัญญาของ ‘โอบาเมยอง’ ที่เหนื่อยแต่คุ้ม

16.09.2020
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

7 Mins. Read
  • หลังต้องลุ้นมายาวนานหลายเดือน แฟนๆ อาร์เซนอลได้ข่าวดีที่สุดเมื่อ ปิแอร์ เอเมอริค โอบาเมยอง ดาวยิงกัปตันทีม ประกาศต่อสัญญากับทีมออกไปอีก 3 ปี
  • การโน้มน้าวใจของนักเตะอย่างโอบาเมยองทำให้อาร์เซนอลจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองขนานใหญ่ และผลลัพธ์ที่ได้คือการที่พวกเขากลายเป็นสโมสรฟุตบอลที่ดีขึ้น
  • ผู้ที่มีส่วนสำคัญอย่างมากในการทำให้การเจรจาสำเร็จคือ มิเกล อาร์เตตา นายใหญ่คนใหม่ที่โอบาเมยองเชื่อใจ

โลกเพิ่งสูญเสีย ‘Black Panther’ ไปอย่างไม่มีวันกลับ แต่อาร์เซนอลสามารถรักษา ‘ฝ่าบาท’ ของพวกเขาเอาไว้ได้สำเร็จ

 

การรอคอยเป็นเวลานานหลายเดือนของสาวกกูนเนอร์สจบลงที่การ Live ของ ปิแอร์ เอเมอริค โอบาเมยอง สดจากเอมิเรตส์สเตเดียม

 

“แฟนๆ อาร์เซนอล! ในที่สุด! ก็อย่างที่ทุกคนรู้นะ ผมเพิ่งจะเซ็นสัญญาไป” โอบาเมยองแจ้งข่าวดีให้แก่แฟนๆ ทุกคนที่เฝ้ารอช่วงเวลานี้มาแสนนาน “ผมแค่อยากจะแบ่งปันช่วงเวลานี้กับทุกคน เพราะผมมีความสุขมาก แต่ก็แอบประหม่านิดหน่อย! แต่ในที่สุดมันก็เรียบร้อยแล้ว ผมมีความสุขมากๆ ที่ได้อยู่ที่นี่ต่อ ที่นี่คือบ้านของผม”

 

ดาวยิงวัย 31 ปียังบอกว่าหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เขาตัดสินใจจะอยู่ต่อไปเป็นเพราะเขาอยากจะเป็นตำนานของทีมกันเนอร์ส และทิ้งเรื่องราวให้ลูกหลานได้บอกเล่าสืบไป

 

อย่างไรก็ดี ในเบื้องหลังของการเจรจาแล้ว กว่าที่โอบาเมยองจะเชื่อว่าอนาคตของเขาควรจะฝากไว้กับอาร์เซนอลก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ทีมยักษ์หลับจากลอนดอนต้องพยายามอย่างยิ่งยวดเพื่อที่จะรั้งตัวเขาเอาไว้ให้ได้ ซึ่งเงื่อนไขนั้นไม่ได้มีแค่เรื่องของเงินรายได้เพียงอย่างเดียวด้วย

 

เพราะสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับโอบาเมยองคือการที่เขาจะได้อยู่กับสโมสรที่มีแรงทะเยอทะยานเท่าๆ กันในช่วงบั้นปลายของชีวิตการเล่น ซึ่งเขาไม่ต้องการจะเอาเวลาที่เหลืออยู่ไปทิ้งให้สูญเปล่า

 

นักเตะในระดับเขามีทางเลือกเสมอ และทางเลือกก็น่าสนใจไม่เบา ทั้งอินเตอร์ มิลาน และบาร์เซโลนา รวมถึงยังมีอีกหลายสโมสรที่พร้อมจะขยับตัวทันทีหากมีสัญญาณว่ากองหน้ามหาประลัยรายนี้ต้องการที่จะย้ายทีม

 

เพื่อจะรั้งตัวเขาไว้ อาร์เซนอลต้องทำอะไรบ้าง?

 

 

บรรยากาศในการ Live ของโอบาเมยอง โดยเริ่มจริงๆ ในช่วงนาทีที่ 5.30 แต่ก่อนหน้านั้นจะเห็นหน้ากาก Black Panther บนโต๊ะในห้องแต่งตัว!

 

คำตอบคืออาร์เซนอลทำแทบทุกอย่างในการเปลี่ยนแปลงตัวเองให้กลับมาเป็นสโมสรที่ดีอีกครั้ง

 

ความเปลี่ยนแปลงครั้งแรกซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งคือการที่พวกเขาได้ เอดู อดีตมิดฟิลด์ชาวบราซิล กลับมารับหน้าที่เป็นผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิคของสโมสร ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดบอดของทีมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะหลังจากที่ไม่มีบารมีของ อาร์เซน เวนเกอร์ คุ้มครอง

 

ผู้อำนวยการสโมสรที่เก่งกาจอย่างเอดูช่วยให้อาร์เซนอลเริ่มดูเป็นทีมฟุตบอลที่รู้เรื่องฟุตบอลอีกครั้ง การเจรจาซื้อขายจัดหาผู้เล่นเริ่มเข้ารูปเข้ารอย เราได้เห็นนักเตะเกรดดีอย่าง นิโกลาส์ เปเป ตกลงจะย้ายมาร่วมทัพ ทั้งๆ ที่มียักษ์ใหญ่อีกมากมายที่ต้องการได้ตัวเขา นอกจากนี้ยังมี คีแรน เทียร์นีย์, ดานี เซบายอส (ที่มาแบบยืมตัว), ปาโบล มารี (ก่อนจะซื้อขาดในเวลาต่อมา), เซดริก โซอาเรส และที่เซอร์ไพรส์คือ ดาวิด ลุยซ์ จากเชลซี

 

แต่รายที่ถือเป็นการพิสูจน์ฝีมือของเอดูคือ กาเบรียล มาร์ติเนลลี กองหน้าดาวรุ่งชาวบราซิล ซึ่งเป็น ‘โปรเจกต์ลับ’ ที่อาร์เซนอลตั้งความหวังเอาไว้ ซึ่งผลงานในฤดูกาลแรกของเจ้าหนูวัย 19 ปีก็ถือว่าน่าประทับใจอยู่ไม่น้อย

 

จากนั้นคือการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งผู้จัดการทีม โดยได้ มิเกล อาร์เตตา มือขวาของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ซึ่งเป็นอดีตกัปตันทีมกันเนอร์สในช่วงเวลาหนึ่งมารับงานแทนเมื่อเดือนธันวาคมปีกลายในตำแหน่งโค้ชใหญ่ (Head Coach) ในช่วงแรก เพื่อแทนที่ของ อูไน เอเมรี ซึ่งหมดสภาพกุนซือฝีมือดีไปเรียบร้อย

 

ก่อนที่อาร์เตตาจะมา อาร์เซนอลอยู่ในสภาพที่ดูไม่ได้ ผลงานของทีมย่ำแย่ไม่พอ บรรยากาศก็เลวร้าย โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างกัปตันทีมอย่าง กรานิต ชากา กับแฟนบอลที่ดิ่งถึงขีดสุด เมื่อดาวเตะชาวสวิตเซอร์แลนด์ระเบิดอารมณ์ใส่แฟนอย่างเผ็ดร้อนหลังโดนวิจารณ์อย่างหนัก

 

นั่นเป็นช่วงที่หลายคนเริ่มกังวลเกี่ยวกับอนาคตของโอบาเมยอง ซึ่งเป็นซูเปอร์สตาร์ที่สำคัญที่สุดของทีมและเป็นคนที่แบกทีมเอาไว้ว่าเมื่อจบฤดูกาลอาจใช้ความได้เปรียบจากระยะเวลาในสัญญาที่เหลือถึงแค่สิ้นสุดปี 2021 ในการขอย้ายออกจากทีมได้

 

แต่เพราะอาร์เตตาและเพราะการร่วมมือร่วมใจของทุกฝ่าย ทำให้ทุกๆ อย่างในทีมกันเนอร์สค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ

 

จากที่คิดว่าจะไม่อยู่ มาสู่การเริ่มลังเลว่าจะไปดีไหม และสุดท้ายเมื่อมือได้สัมผัสกับโทรฟีแชมป์เอฟเอคัพที่พวกเขาสามารถสยบคู่ชิงที่แข็งแกร่งอย่างเชลซีได้ ดูเหมือนว่าโอบาเมยองจะมีคำตอบในใจของตัวเองแล้วเช่นกันว่าที่ที่เขาอยากจะฝากอนาคตในช่วงท้ายของชีวิตการเล่นก็คืออาร์เซนอลเหมือนเดิม

 

การเจรจาสัญญาฉบับใหม่ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ช่วงฤดูร้อนปีกลาย แต่ไม่มีความคืบหน้ามากพอ กลับมาเริ่มต้นพูดคุยกันรู้เรื่องในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา

 

โน้ตที่เคยเล่นกันคนละตัวก็เริ่มเป็นโน้ตตัวเดียวกันสอดประสานกันได้อย่างไพเราะ โดยคนสำคัญในการเจรจาคืออาร์เตตา ที่พยายามอย่างเต็มที่ในการโน้มน้าวให้โอบาเมยองเชื่อว่าไม่มีที่ไหนจะดีกับเขามากกว่าที่ลอนดอน

 

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะเดิมอาร์เตตาเคยไม่เชื่อใจในสตาร์กาบองมากนัก เนื่องจากเคยมี ‘ประวัติ’ ในช่วงที่ยังทำงานคู่กับเป๊ปในทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และสนใจจะดึงตัวโอบาเมยองมาจากโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ แต่สุดท้ายด้วยเรื่องของความประพฤติและทัศนคติบางอย่างทำให้พวกเขาเปลี่ยนใจ

 

ความเชื่อนั้นยังฝังหัวของอาร์เตตาอยู่ แต่ด้วยความใจกว้าง ทำให้กุนซือชาวสเปนยินดีอย่างยิ่งที่จะให้โอกาสโอบาเมยองซึ่งได้เป็นกัปตันทีมแทนชากาพิสูจน์ตัวเองให้เห็น

 

คำถามของอาร์เตตาได้รับคำตอบจากดาวยิงที่เป็นหนึ่งในกองหน้าที่ทำผลงานดีที่สุดในพรีเมียร์ลีกนับตั้งแต่ย้ายมาเมื่อเดือนมกราคม 2018 โดยโอบาเมยองทำไป 6 ประตู จากการเล่นในพรีเมียร์ลีก 7 นัดแรก

 

ผลงานดังกล่าวทำให้อาร์เตตาเปลี่ยนป้ายสถานะของดาวยิงรายนี้ให้เป็น ‘ผู้เล่นที่สำคัญที่สุด’ ของทีมในทันที

 

และความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองก็ดีขึ้นตามลำดับเหมือนผลงานของทีม โดยเฉพาะหลังรีสตาร์ทในเดือนมิถุนายน ดูเหมือนอาร์เซนอลในยุคของอาร์เตตาจะค้นพบคำตอบอะไรบางอย่างที่สำคัญมากๆ

 

พวกเขาค้นพบระบบการเล่นใหม่แบบ 3-4-3 ที่ทำให้เกมรับที่เคยเปราะบางกลับมั่นคงแข็งแกร่งอย่างเหลือเชื่อ และเป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้อาร์เซนอลเป็นหนึ่งในทีมที่เอาชนะลิเวอร์พูลได้ในฤดูกาลที่แล้ว

 

โอบาเมยองเองยิ่งเล่นยิ่งร้อนแรง รอยยิ้มที่เคยหายไปเริ่มกลับมา และเขากลายเป็น Black Panther ในชีวิตจริงสำหรับชาวกูนเนอร์ส เมื่อมักจะทำประตูสำคัญได้ในเกมที่มีความหมายอย่างยิ่งเสมอ โดยเฉพาะในรายการเอฟเอคัพที่เป็นฮีโร่ในรอบรองชนะเลิศกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และรอบชิงชนะเลิศกับเชลซี

 

ล่าสุดคือเกมเอฟเอ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ที่เขาทำประตูสุดสวยได้ในเกมกับลิเวอร์พูล และทำได้คล้ายกันในเกมนัดแรกของพรีเมียร์ลีกฤดูกาลใหม่ที่ทีมปืนใหญ่บุกไปยิงสลุตใส่ฟูแลม ทีมน้องใหม่แต่หน้าเก่า ทำให้อาร์เซนอลขึ้นนำจ่าฝูงตั้งแต่เกมแรก

 

ฟอร์มการเล่นที่ดีสม่ำเสมอเป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่อาร์เซนอลเชื่อใจกองหน้ารายนี้ แม้วัยของเขาจะล่วงมาถึง 31 ปี (เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา) ก็ตาม

 

ปัจจัยที่มีส่วนในการตัดสินใจของฝั่งอาร์เซนอลยังมีเรื่องของประวัติอาการบาดเจ็บของโอบาเมยองที่ดูเหมือนจะแทบไม่มีปัญหาอะไร 

 

ขณะที่ประสบการณ์และความเป็นนักเตะที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้แก่รุ่นน้องเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้อาร์เตตาและบอร์ดบริหารของอาร์เซนอลต้องการเก็บตัวเขาไว้

 

เพราะแม้เทรนด์ของโลกจะเน้นไปที่การพัฒนาดาวรุ่งขึ้นมา แต่สำหรับอาร์เตตาแล้ว นักเตะที่มีประสบการณ์ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน และนั่นทำให้กุนซือชาวสเปน (ซึ่งได้รับการเปลี่ยนตำแหน่งจากโค้ชเป็นผู้จัดการทีมตามโครงสร้างและหน้าที่การงานของสโมสรที่เปลี่ยนแปลง ย้อนกลับไปคล้ายตำแหน่งผู้จัดการทีมในวันวาน) ตัดสินใจที่จะดึงตัว วิลเลียน ปีกวัย 33 ปีที่หมดสัญญากับเชลซีมาร่วมทีมอีกคน

 

นั่นทำให้อาร์เซนอลจะมีนักเตะที่มีประสบการณ์ครบทุกแดน ทั้งลุยซ์ในแนวรับ, วิลเลียนในแดนกลาง และโอบาเมยองในแนวรุก

 

ภาพที่แฟนบอลอาร์เซนอลทุกคนรอคอย

 

โดยดาวยิงกาบองนั้นอาจจะเป็นคนที่ไม่ชอบพูด ไม่ชอบตะโกน ไม่ชอบสั่ง ออกจะดูเป็นคนตลก เฮฮา ยิ้มง่าย แต่เมื่อถึงเวลาลงสนามแล้วเขาจะทุ่มเทเต็มที่เสมอ และจะสอนด้วยการแสดงให้ดูเป็นตัวอย่างว่าต้องทำอย่างไร

 

สิ่งที่เกิดขึ้นในสนามในช่วงหลังยังเป็นการยืนยันว่าโอบาเมยองคิดไม่ผิดแน่นอนหากจะอยู่กับอาร์เซนอลต่อไป เหมือนกับที่ เจมี วาร์ดี ตัดสินใจปักหลักกับเลสเตอร์ ซิตี้ ทั้งๆ ที่ฝีเท้าไปเล่นที่ไหนก็ได้ แต่ดาวยิงวัย 33 ปีรู้ว่าบางครั้งการเลือกอยู่ในทีมที่ใช่ก็เป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้เรื่องอื่น

 

อาร์เตตาพยายามโน้มน้าวกัปตันทีมของเขาด้วยเรื่องนี้เช่นกัน

 

สุดท้ายคือเรื่องทางการเงินที่แม้กันเนอร์สจะโดนถล่มหนักจากแฟนบอลทั้งของทีมตัวเองและทีมคนอื่นที่ผสมโรงในเรื่องการตัดสินใจปลดพนักงาน-ลูกจ้างจำนวน 55 ราย ซึ่งมีอดีตหัวหน้าแมวมองที่รับใช้สโมสรมาอย่างยาวนาน และแม้แต่ ราอูล ซานเยฮี อดีต Head of Football ที่ตกงานหลังสโมสรปรับโครงสร้าง แต่สุดท้ายแล้วสิ่งสำคัญที่สุดที่สโมสรให้คุณค่าคือความสำเร็จในสนาม

 

วิลเลียน, กาเบรียล มากัลเยส เข้ามายกระดับของทีมขึ้นไปอีกขั้น โดยเป้าหมายปีนี้อยู่ที่การลุ้นไปพื้นที่แชมเปียนส์ลีกให้ได้ ซึ่งการจะทำให้ได้นั้น ทีมจำเป็นต้องมีผู้เล่นที่มีความพิเศษอย่างโอบาเมยอง หรือในระดับเทียบเท่ากันอยู่ในทีม

 

เมื่อคิดถึงจุดนี้แล้ว อาร์เซนอลไม่มีความสามารถที่จะหาซื้อนักเตะระดับนี้มาทดแทนได้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะในสถานการณ์โรคระบาดนี้ (และทีมก็ไม่มีแรงดึงดูดมากขนาดนั้นในเวลานี้) ดังนั้นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับทีมคือการพยายามรั้งตัวโอบาเมยองเอาไว้ให้ได้

 

อาจจะต้องจ่ายค่าเหนื่อยมหาศาลที่ 2.5-3 แสนปอนด์ต่อสัปดาห์ แต่อย่างน้อยมันคุ้มค่าและตอบโจทย์ได้ดีกว่าสำหรับการทำทีมในระยะกลาง (3 ปี)

 

แน่นอนว่าอาร์เซนอลจะได้รับผลกระทบจากจำนวนเงินที่ต้องจ่ายไป ซึ่งทีมอาจพิจารณาในการขายคู่หูของเขาอย่าง อเล็กซองเดร ลากาแซตต์ ที่ในวัย 29 ปีแล้วยังพอมีโอกาสจะขายถอนทุนคืนได้มากกว่าคนอื่นในทีม

 

จะเห็นได้ว่าราคาที่อาร์เซนอลต้องจ่ายเพื่อแลกกับการที่โอบาเมยองจะอยู่กับพวกเขานั้นแพงมากครับ 

 

ไม่ใช่เฉพาะเรื่องเงิน แต่คือการปรับเปลี่ยนสโมสรทั้งหมด ซึ่งกว่าจะกลับมาอยู่ในจุดที่พวกเขาเริ่มมองเห็นอนาคตที่สดใสรออยู่ข้างหน้าได้ ไม่ใช่เรื่องที่ทำกันได้ง่ายๆ เลย

 

เพียงแต่เชื่อได้ว่ามันเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ไม่ใช่เฉพาะแค่การที่โอบาเมยองจะอยู่กับสโมสรอีก 3 ปี

 

แต่ยังหมายถึงการที่อาร์เซนอลทั้งสโมสรได้กลับมาเป็นทีมฟุตบอลที่ดีได้อีกครั้งด้วยครับ 🙂

 

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

FYI
  • ในการเซ็นสัญญา โอบาเมยองชวนคุณพ่อมาด้วย พร้อมยกย่องว่า “พ่อคือแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่ของผม”
  • แต่โอบาเมยองก็พาภรรยาและลูก 2 คนมาด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นการบ่งบอกว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่อย่างยิ่งสำหรับเขา
  • ในช่วงของการ Live มีอดีตนักเตะหลายคนเข้ามาดู รวมถึง เอียน ไรต์ ตำนานดาวยิงตลอดกาล และซานติ กาซอร์ลา อดีตมิดฟิลด์จอมทัพที่แวะเข้ามาทักทายด้วย
  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising