×

‘ทูเคิล vs. เป๊ป’ การเผชิญหน้าของสองกุนซืออัจฉริยะ

25.09.2021
  • LOADING...
ทูเคิล vs. เป๊ป

กล่าวกันว่าถึงนี่จะเป็นแค่เกมที่ 6 ของฤดูกาลที่ยาวนานแต่ผลการแข่งขันในเกมพรีเมียร์ลีกในคู่ ‘เที่ยงครึ่ง’ (ตามเวลาอังกฤษ) ระหว่างเชลซีและแมนเชสเตอร์ ซิตี้ อาจจะเป็นสัญญาณให้เราได้เห็นทิศทางของการลุ้นแชมป์ไปตลอดฤดูกาลนี้ก็เป็นได้

 

นั่นเพราะในเวลานี้เชลซีคือทีมที่ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม เป็นจ่าฝูงร่วมกับลิเวอร์พูล (และดูเหมือนจะเผชิญกับเกมที่ยากกว่าด้วย) ตลอด 5 นัดที่ผ่านมาพวกเขาเสียเพียงแค่ประตูเดียว และมาจากการเสียลูกจุดโทษในเกมเยือนที่แอนฟิลด์ ซึ่ง โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ เป็นผู้สังหารประตูเข้าไป

 

ขณะที่แมนฯ ซิตี้เริ่มต้นฤดูกาลใหม่ได้ไม่ดีนัก พวกเขาพลาดแพ้สเปอร์สมาตั้งแต่เกมนัดแรกของฤดูกาล และล่าสุดทำได้เพียงแค่เสมอกับเซาแธมป์ตันในเอติฮัดสเตเดียม ทำให้มีแค่ 10 คะแนนจาก 5 นัดแรกเท่านั้น โดยที่ดูเหมือนว่าในฤดูกาลนี้จุดอ่อนของทีมจะถูกเปิดเผยชัดเจนขึ้น

 

ที่สำคัญคือระหว่าง เป๊ป กวาร์ดิโอลา กับ โธมัส ทูเคิล สองกุนซือยอดอัจฉริยะนั้นก็น่าสนใจเช่นกัน เพราะฝ่ายแรกนั้นพ่ายแพ้ติดต่อกันมาถึง 3 นัดใน 3 รายการที่พบกัน (พรีเมียร์ลีก, เอฟเอคัพ และที่สำคัญที่สุดคือยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกนัดชิงชนะเลิศ)

 

นั่นทำให้ดูเหมือนว่าเกมนี้น้ำหนักของความกดดันจะอยู่กับฝั่งของแมนฯ ซิตี้ และ เป๊ป กวาร์ดิโอลา มากกว่า

 

และน้ำหนักนั้นอาจจะเพิ่มขึ้นมากด้วย เพราะแฟนทีมคู่แข่งทีมอื่นเองก็แอบคาดหวังเช่นกันว่าพวกเขาจะช่วย ‘สกัด’ เชลซีที่กำลังได้ใจไม่ให้ไปไกลมากกว่านี้ได้

 

เชลซีที่ไร้เทียมทาน

ในขณะที่แมนฯ ซิตี้สร้างความฮือฮาด้วยการทุ่มเงิน 100 ล้านปอนด์เพื่อแลกซื้อ แจ็ค กรีลิช มาจากแอสตัน วิลลา และแมนฯ ยูไนเต็ด จัดการคว้านักเตะระดับโลกมาพร้อมกันถึง 3 รายอย่าง จาดอน ซานโช, ราฟาเอล วาราน และ คริสเตียโน โรนัลโด

 

เชลซีเองก็มีการปรับทัพเสริมทีมเช่นกันด้วยนักเตะเพียงแค่รายเดียว แต่เป็นนักเตะที่สามารถแก้ปัญหาของทีมได้ชะงัดนัก

 

นักเตะรายดังกล่าวคือ โรเมลู ลูกากู หัวหอกจอมพลังทีมชาติเบลเยียมที่ได้โอกาสในการกลับมาค้าแข้งในถิ่นสแตมฟอร์ดบริดจ์อีกครั้งราวกับโชคชะตา ที่บอกว่าเป็นโชคชะตาเพราะเดิมทีแล้วเป้าหมายของเชลซีคือ เออร์ลิง เบราต์ ฮาลันด์ ยอดดาวยิงอนาคตไกลทีมชาตินอร์เวย์ แต่โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ปฏิเสธที่จะปล่อยตัวในฤดูกาลนี้ทำให้มีการขยับเป้าหมายใหม่

 

โดยลูกากู ซึ่งเคยย้ายมาเล่นกับเชลซีตั้งแต่ครั้งสมัยวัยรุ่นในปี 2011 แต่ยังไม่สามารถแจ้งเกิดได้เนื่องจากยังเด็กและประสบการณ์น้อยเกินไป ก็ไม่ได้คาดคิดถึงโอกาสในการกลับมาและไม่เชื่อด้วยซ้ำในครั้งแรกที่มีข่าวว่าทีมเก่าของเขายื่นข้อเสนอมา

 

แต่เมื่อเชลซีเดินเครื่องอย่างจริงจัง ทำให้ดาวยิงทีมชาติเบลเยียมตัดสินใจเด็ดขาดอย่างง่ายดายที่จะกลับมาสแตมฟอร์ดบริดจ์อีกครั้ง เนื่องจากเป็นทีมในดวงใจและรู้สึกว่ายังไม่ได้พิสูจน์ตัวเองให้แฟนเดอะบลูส์เห็น ซึ่งสุดท้ายก็ได้กลับมาร่วมงานกันอีกครั้ง

 

การกลับมาของลูกากู แม้จะไม่เด่นไม่ดังเท่ากับรายของโรนัลโด แต่ผลงานของหนึ่งในกองหน้าที่เก่งที่สุดเวลานี้พิสูจน์ให้เห็นตั้งแต่แรกเลยว่าเขาคือสิ่งที่เชลซีขาดหายไปในฤดูกาลที่แล้ว กับศูนย์หน้าที่สามารถเล่นเป็น ‘เป้า’ ให้ทีมได้ และมีความสามารถในการจบสกอร์ได้ด้วยตัวเอง

 

นอกจากจะทำประตูเองได้แล้ว ลูกากูยังช่วยให้เพื่อนเล่นกันได้ง่ายขึ้น เรียกได้ว่าหมัดของเชลซีในฤดูกาลนี้หนักขึ้นอย่างชัดเจน

 

ขณะที่จุดอ่อนในเกมรุก (ซึ่งความจริงก็ไม่ได้อ่อนมาก) หายไป เกมแดนกลางและเกมรับก็ยังคงความยอดเยี่ยมเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือความหลากหลายในระบบการเล่นเวลานี้ โดยทูเคิลเพิ่มแท็กติกใหม่ด้วยการเล่นระบบ 3-5-2 ได้อีกแบบ ด้วยการเติม ไค ฮาเวิร์ตซ์ หรือ ติโม แวร์เนอร์ เล่นคู่กับลูกากูได้

 

ที่เชลซีได้เปรียบทีมอื่นคือขุมกำลังภายในทีมที่แข็งแกร่งทั้งทีมชนิดที่สามารถจัดสองชุดได้สบายๆ บวกกับทูเคิลเองที่ดูเหมือนจะเก่งกาจขึ้นกว่าเดิมกับการตัดสินใจที่ถูกต้องเยือกเย็น

 

นี่คือเหตุผลที่ทำให้พวกเขาเป็นทีมที่ดูดีและพร้อมมากที่สุดในเวลานี้

 

เป๊ปกับปัญหาเดิมที่ใหญ่ขึ้น

แม้จะพาทีมกลับมาคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จในฤดูกาลที่แล้ว ซึ่งว่ากันว่าเป็นทีม ‘เรือใบสีฟ้า 2.0’ เพราะมีการปรับเปลี่ยนระบบ รูปแบบ สไตล์การเล่นจากเดิม เล่นแบบรัดกุมมากขึ้น และไม่ฝากความหวังเอาไว้กับผู้เล่นตำแหน่งกองหน้าที่เป็นปัญหาในฤดูกาลที่แล้ว บวกกับการคว้ากรีลิช นักเตะพรสวรรค์สูงสุดของอังกฤษเวลานี้มาได้

 

แต่ปัญหาของซิตี้ที่สืบเนื่องจากฤดูกาลที่แล้วยังคงอยู่ และดูเหมือนว่าเราจะพอเริ่มเห็นแววว่ามันอาจจะเป็นงานใหญ่กว่าที่คิด

 

ก่อนหน้าฤดูกาลนี้จะเริ่มต้นขึ้น ซิตี้มีเป้าหมายชัดเจน 2 รายด้วยกันคือกรีลิชที่ถูกคาดหวังว่าจะเข้ามาทดแทน ดาบิด ซิลบา ที่อำลาทีมไปตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้ว และสร้างแรงกดดันให้แก่ ราฮีม สเตอร์ลิง ซึ่งดูเหมือนจะอยู่ในช่วงขาลงและไม่เป็นที่ถูกใจของเป๊ปหรือฝ่ายบริหารของทีมมากนัก (มีเรื่องของการเจรจาต่อสัญญาใหม่ด้วย)

 

อีกรายคือ แฮร์รี เคน ศูนย์หน้ากัปตันทีมชาติอังกฤษที่น่าจะเป็นเป้าหมายเบอร์หนึ่งด้วยซ้ำไป เพียงแต่หลังการพยายามติดต่อเจรจาอยู่หลายครั้ง สุดท้ายแล้วพวกเขาไม่สามารถกล่อมให้สเปอร์สยอมเปิดทางให้ย้ายทีมได้และต้องยอมถอยอย่างเงียบๆ

 

การพลาดตัวเคน แม้จะเหมือนไม่น่าเป็นเรื่องใหญ่เมื่อคิดถึงขุมกำลังภายในทีมที่มีอยู่ แต่สิ่งที่เราได้เห็นใน 5 นัดแรกของฤดูกาลก็ชัดเจนแล้วว่าทำไมซิตี้จึงต้องการได้กองหน้าวัย 28 ปีที่ถูกประเมินค่าตัวเอาไว้สูงถึง 150 ล้านปอนด์

 

นั่นเพราะนับตั้งแต่ เซร์คิโอ อเกวโร โรยราในฤดูกาลที่แล้ว ประสิทธิภาพและความน่าเกรงขามในแนวรุกก็ลดลงไปจากเดิมอย่างมาก เรียกได้ว่าหากเป็นเสือก็ไร้เขี้ยวเล็บ

 

ที่พวกเขาเอาตัวรอดมากันได้ในฤดูกาลที่แล้วเกิดจากการค้นพบตำแหน่งใหม่ของกองกลางอย่าง อิลคาย กุนโดกัน ที่ปรับบทบาทใหม่ขึ้นมาเล่นสูงขึ้นในแดนกลาง เพราะสามารถสอดหาตำแหน่งทำประตูได้ดี ช่วยเรียกความมั่นใจของทีมกลับมาจนกอบโกยชัยชนะได้เป็นกอบเป็นกำ

 

นอกจากกุนโดกันแล้วยังมี เควิน เดอ บรอยน์, ฟิล โฟเดน หรือแม้แต่สเตอร์ลิง ที่ถูกปรับบทบาทใหม่ขึ้นมายืนเป็นศูนย์หน้าตัวหลอก ‘False Nine’ ได้ด้วย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าปัญหาของทีมได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง

 

ในฤดูกาลนี้เป๊ปพยายามทดลองกับนักเตะอย่าง เฟร์ราน ตอร์เรส รวมถึงปรับบทบาทของ กาเบรียล เฆซุส ใหม่ในบทปีกขวา แต่ก็ยังไม่ได้ผลที่น่าพอใจนัก ถึงอาจจะไม่ใช่ทุกทีมที่จะเชื่อว่าพวกเขาจะสามารถหยุดซิตี้ได้ แต่การที่ 5 ทีมแรกสเปอร์สเอาชนะได้ และเซาแธมป์ตันยังเสมอได้ ทำให้ทีมที่เหลือเริ่มมีความเชื่อว่าหากพวกเขาเตรียมตัวมาดีพอก็อาจจะหยุดซิตี้ได้

 

การเผชิญหน้าของอัจฉริยะ

จากสิ่งที่เห็นและเป็นอยู่ สถานการณ์ในเวลานี้บ่งบอกว่าเชลซีเป็นฝ่ายที่ ‘ดูดีกว่า’ ค่อนข้างชัดเจน

 

สถานการณ์ในเวลานี้แตกต่างจากในฤดูกาลที่แล้วที่พวกเขาดูจะเป็นรอง โดยที่ชัยชนะในแต่ละนัดเกิดจากการวางกลหมากในเกมที่แยบยลของ โธมัส ทูเคิล ที่สามารถหยุดทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา และเล่นงานจุดอ่อนของยอดกุนซือชาวสเปนได้

 

คราวนี้สิ่งที่น่าสนใจคือ เป๊ปจะหาทางหยุดทูเคิลและเชลซีที่ดูสมบูรณ์แบบไว้ได้หรือไม่ และจะหาทางเล่นงานกลับได้อย่างไรบ้าง

 

เพราะสิ่งที่เป็นปัญหา คือพวกเขาไม่สามารถหาทางเจาะแนวรับที่แข็งแกร่งของเชลซีได้เลยแม้แต่เกมเดียว ซึ่งรวมถึงในเกมแชมเปียนส์ลีกนัดชิงชนะเลิศที่สนามเอสตาดิโอ ดู ดราเกา ที่เป๊ปถูกวิจารณ์อย่างมากว่า ‘คิดเยอะ’ เกินไปในการปรับทีมจากระบบปกติ 4-3-3 มาใช้ระบบ 3-5-2 เพื่อหวังจะหาทางหยุดทูเคิลให้ได้ แต่กลายเป็นการเตะตัดขาตัวเองแทน

 

เกมนี้จึงจะเป็นการวัดฝีมือของกระบี่มือหนึ่งอย่างเขา ว่าจะสามารถหาทางพลิกกระดานได้หรือไม่หลังจากเสียฟอร์มมา 3 นัดติดต่อกัน และทำให้จากที่ไม่เคยแพ้ในการดวลกับทูเคิลเลยสมัยที่พบกันในบุนเดสลีกา (บาเยิร์น vs. ดอร์ทมุนด์) กลายเป็นสถิติเวลานี้เป๊ปเหนือกว่าแค่ครั้งเดียวคือ 4-3

 

และเดิมพันที่ใหญ่กว่าคือหากเกมนี้เกิดพลาดท่าเสียทีให้ทูเคิลอีก ไม่เพียงแค่จะเป็นการทำให้เชลซียิ่งมั่นใจขึ้นไปกับการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกจริงจังในฤดูกาลนี้ ซึ่งจะเป็นครั้งแรกหลังจากที่พวกเขาได้แชมป์ครั้งสุดท้ายในฤดูกาล 2016/17 ซิตี้เองก็จะอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากกว่าเดิมด้วย

 

นี่คือเหตุผลที่ทำให้เกมพรีเมียร์ลีกคู่นี้เป็นหนึ่งในเกมที่น่าสนใจและไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่งสำหรับแฟนบอลทุกคน ไม่ว่าจะเชียร์ทีมอะไรก็ตาม

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising