×

เป๊ป กวาร์ดิโอลา ความสำเร็จวันนี้และความท้าทายวันหน้าของสตีฟ จ็อบส์ แห่งวงการฟุตบอล

17.04.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

  • เป๊ปเรียนรู้ความผิดพลาดจากฤดูกาลที่แล้ว ด้วยการเพิ่มนักเตะแนวรับเกือบทั้งหมด โดยเฉพาะ เอแดร์สัน ผู้รักษาประตูที่เป็น X-Factor ในระบบการเล่นของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในฐานะคนที่เคย ‘เซตเกม’ จากด้านหลัง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่สุดในปรัชญาการเล่นของเป๊ป
  • เขาใช้ความ ‘ใส่ใจ’ ในทุกรายละเอียด ลงไปอยู่ในสนามซ้อมทุกวัน พูดคุยกับนักเตะทุกเวลา ให้คำอธิบายถึงแท็กติกการเล่นที่ซับซ้อนของเขา และพร้อมจะสั่งหยุดการซ้อมทุกจังหวะหากเห็นว่าลูกทีมยังทำได้ไม่ถูกต้อง แถมยังยกเลิกธรรมเนียมที่นักเตะจะต้องมานอนพักที่โรงแรมด้วยกันในคืนก่อนเกม เพื่อให้นักเตะได้มีเวลากับครอบครัวมากขึ้น
  • ความท้าทายขั้นต่อไปสำหรับเขาและทีมคือการสร้าง Dynasty หรือราชวงศ์ลูกหนังของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ให้ได้ ซึ่งการจะทำให้ได้แบบนั้นคือต้องประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง

ว่ากันตามตรง การได้แชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2017-2018 ของทีมเรือใบสีฟ้า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไม่ใช่เรื่องที่อยู่เหนือความคาดหมายของใครต่อใคร

เพียงแต่ไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาจะได้แชมป์ด้วยวิธีการที่ทีมคู่ปรับร่วมเมืองอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมที่เพิ่งจะถล่มงานปาร์ตี้ฉลองแชมป์คาบ้าน แต่สุดท้ายกลับมอบถ้วยแชมป์ใส่กล่องของขวัญผูกโบส่งให้ถึงบ้านด้วยความปราชัยต่อเวสต์บรอมวิช อัลเบียน คาบ้าน (เหมือนกัน)

เราเลยได้เห็นภาพของการฉลองแชมป์แบบกระจัดกระจายของนักเตะซิตี้ เพราะต่างคนต่างก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนตามอัธยาศัยในวันพักหลังจบการแข่งขันหนึ่งวัน แม้กระทั่ง เป๊ป กวาร์ดิโอลา เองก็ขอไปตีกอล์ฟเพื่อพักผ่อนกับเขาเหมือนกัน (หนักกว่านั้นคือ เอแดร์สัน ที่บินไปดูเกมเชียร์ทีมเก่า เบนฟิกาปะทะปอร์โต อยู่ที่โปรตุเกส)

แต่ภาพของกัปตันทีม แวงซองต์ กอมปานี ที่กด FaceTime หา เควิน เดอ บรอยน์ ในวินาทีที่รู้ว่าพวกเขาคือแชมเปี้ยนทีมใหม่ก็เป็นภาพที่น่ารักและน่าประทับใจ


​เอาล่ะ จะแชมป์วันไหน วิธีไหน ผลลัพธ์นั้นไม่แตกต่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คือทีมที่ดีที่สุดของอังกฤษในฤดูกาลนี้ มันคือช่วงเวลาที่สวยงามสำหรับพวกเขาที่พยายามอย่างหนักตลอดระยะเวลาเกือบ 2 ปีที่ผ่านมา ​กับบทพิสูจน์ถึงความสามารถที่แท้จริงของชายผู้ได้รับการขนานนามว่าเป็นดั่ง สตีฟ จ็อบส์ ของวงการฟุตบอล

 

 

เรียนรู้ ใส่ใจ และกล้าตัดสินใจ
ย้อนกลับไปในช่วงเวลาเดียวกันนี้ของฤดูกาลที่แล้ว เป๊ป กวาร์ดิโอลา เป็นหนึ่งในผู้จัดการทีมที่ถูกกระแสวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุด

ท่ามกลางเสียงวิจารณ์มากมายนั้น พอจะสรุปได้เป็นคำพูดสั้นๆ แต่เจ็บลึกคือ ‘นึกว่าจะแน่’

 

การที่ผู้คนตั้งคำถามถึงความสามารถของเขาในเวลานั้นไม่ใช่เรื่องผิดแปลกครับ เพราะด้วยผลงานของซิตี้นั้นไม่ดีพอที่จะให้ชื่นชมได้อย่างเต็มปาก พวกเขาหมดลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก ตกรอบแชมเปียนส์ลีกด้วยน้ำมือทีมม้ามืด โมนาโก และหมดหวังกับโทรฟีที่เล็กกว่า ทั้งเอฟเอคัพและลีกคัพ


 

เป๊ป กวาร์ดิโอลา ชายผู้นำบาร์เซโลนาครองโลก ผู้สร้างนวัตกรรมทางลูกหนังมากมายกับบาเยิร์น มิวนิก กลายเป็น ‘ตัวตลก’ กับวงการฟุตบอลอังกฤษ ในขวบปีแรกของเขากับดินแดนลูกหนังที่มีวัฒนธรรมและสไตล์ที่แตกต่างจากที่อื่นๆ ที่เขาเคยพบเจอมา

และเขายิ่งถูกตั้งคำถามมากขึ้นไปอีกเมื่อการเสริมทัพปรับทีมในช่วงปิดฤดูกาลนั้นเป็นนักเตะในแนวรับเกือบทั้งหมด

3 จาก 5 คนที่เป๊ปซื้อมาในช่วงซัมเมอร์เป็นนักเตะในตำแหน่ง ‘ฟูลแบ็ก’ ทั้ง เบนจามิน เมนดี แบ็กซ้ายของโมนาโก ทีมที่เขี่ยเขาตกรอบแชมเปียนส์ลีก, ดานิโล แบ็กบราซิลจากเรอัล มาดริด และ ไคล์ วอล์กเกอร์ แบ็กขวาจอมบุกจากสเปอร์ส ​โดยเฉพาะรายของวอล์กเกอร์ที่กลายเป็นเรื่องโจ๊ก เพราะค่าตัวมหาศาลถึง 53 ล้านปอนด์ ซึ่งเป็นสถิติกองหลังที่แพงที่สุดในโลกในเวลานั้น

 

 

นอกจากฟูลแบ็กแล้ว เป๊ปยังไม่รีรอที่จะดึงตัว เอแดร์สัน นายทวารดาวรุ่งมาจากเบนฟิกา ด้วยค่าตัว 40 ล้านยูโร ซึ่งทำลายสถิติค่าตัวผู้รักษาประตูของ จิอันลุยจิ บุฟฟอน ที่ยืนยงมาตั้งแต่ปี 2001 เช่นกัน

คนที่ถูกตั้งคำถามน้อยที่สุดคือ แบร์นาร์โด ซิลวา เพราะเป็นหนึ่งในสตาร์แห่งอนาคตที่น่าจะเป็นคีย์แมนของซิตี้ในยุคต่อไปแทนที่ของ ดาบิด ซิลบา จอมเก๋าที่นอกจากจะนามสกุลเดียวกัน (แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กันเลย) ยังมีรูปร่างและสไตล์การเล่นที่คล้ายคลึงอย่างมาก

การเสริมทัพของเป๊ปในวันนั้นไม่มีใครเข้าใจครับ ยกเว้นตัวของเขาเองที่รู้ดีว่าเขาต้องการอะไร และมันก็เป็นความรู้ที่เขาได้จากบทเรียนในขวบปีแรกในอังกฤษ ซึ่งเป็นขวบปีที่มีค่าอย่างยิ่ง

 

 

มันทำให้เขารู้ว่าถึงฟุตบอลอังกฤษจะยากกว่าที่เขาคิด แต่ไม่ใช่ว่าเขาจะเป็นผู้พิชิตไม่ได้ เขายังสามารถไปต่อได้และสนุกกับเกมฟุตบอลของเขาได้อีก มันคือ ‘ความท้าทาย’ ที่เขาถวิลหา

สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นคือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เริ่มต้นฤดูกาลได้อย่างแข็งแกร่งและงดงาม นักเตะที่เป็นตัวตลกในช่วงซัมเมอร์กลายเป็นคีย์แมนในระบบทีมของเป๊ป โดยเฉพาะ เอแดร์สัน ผู้รักษาประตูที่เป็น X-Factor ในระบบการเล่นของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในฐานะคนที่เคย ‘เซตเกม’ จากด้านหลัง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่สุดในปรัชญาการเล่นของเป๊ป ซึ่งเป็นสิ่งที่ เคลาดิโอ บราโว ไม่สามารถทำให้กับเป๊ปได้ตามที่เขาคาดหวัง

ขณะที่ฟูลแบ็ก 3 คนที่ซื้อมา แม้จะมีเพียงวอล์กเกอร์ที่ได้โอกาสลงสนามต่อเนื่อง เนื่องจาก เมนดี ได้รับบาดเจ็บ แต่ดานิโลก็เป็นขุมกำลังที่แข็งแกร่งที่พร้อมลงสนามช่วยทีมในยามจำเป็น เช่นเดียวกับ แบร์นาร์โด ซิลวา ที่ค่อยๆ พัฒนาการเล่นขึ้นจนสามารถสร้างความแตกต่างให้กับทีมได้ในบางนัด

นอกเหนือจากนั้นคือการพัฒนาขีดความสามารถของนักเตะเดิมที่มีในทีม จากดาวรุ่งให้เป็นตัวหลัก จากสตาร์ให้เป็นซูเปอร์สตาร์ เช่น เลรอย ซาเน, เควิน เดอ บรอยน์, ราฮีม สเตอร์ลิง และกาเบรียล เฆซุส

 

 

เป๊ปยังไม่ลืมที่จะจุดไฟให้กับเหล่า Old Guard จอมเก๋าที่เหมือนจะหมดไฟไปแล้วอย่างกอมปานี, ดาบิด ซิลบา และเซร์คิโอ อเกวโร ให้กลับมาคึกคักในการลงสนามอีกครั้ง

แม้กระทั่งกองหลังที่เหมือนจะหมดอนาคตไปแล้วอย่าง นิโคลัส โอตาเมนดี ก็กลับมาเป็นคีย์แมนในแดนหลังชนิดที่ทีมไม่สามารถขาดได้

 

โดยเป๊ปใช้ความ ‘ใส่ใจ’ ในทุกรายละเอียด เขาไม่ใช่ผู้จัดการทีมที่เดินทางมาถึงสนามซ้อมเพื่อยืนดูอยู่ข้างนอกอย่างเดียว แต่กลับเอาตัวเองลงไปอยู่ในสนามซ้อมทุกวัน พูดคุยกับนักเตะทุกเวลา พร้อมให้คำอธิบายถึงแท็กติกการเล่นที่ซับซ้อนของเขา และพร้อมจะสั่งหยุดการซ้อมทุกจังหวะหากเห็นว่าลูกทีมยังทำได้ไม่ถูกต้อง

ความซับซ้อนในระบบการเล่นของเป๊ปไม่ใช่เรื่องง่ายที่นักฟุตบอลจะทำความเข้าใจได้ ซึ่งเขาเองก็รู้ดีว่ามันต้องใช้เวลาเช่นกัน

เพียงแต่ผลลัพธ์ของมันนั้นคุ้มค่ากับความทุ่มเทและการรอคอย แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เป็นทีมที่เล่นได้อย่างน่าอัศจรรย์ ด้วยลวดลาย ชั้นเชิงที่มาพร้อมกับความลื่นไหล และพูดได้ว่าเป็นฟุตบอลที่น่าดูมากที่สุดในเวลานี้

มันคือฟุตบอลในแบบของเป๊ปที่โลกรู้จักและหลงรักตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมา

 


Manchester Dynasty ความท้าทายขั้นต่อไป
​แต่ถึงจะประสบความสำเร็จอย่างสูงกับการแข่งขันภายในประเทศ โดยนอกจากจะได้แชมป์พรีเมียร์ลีก ก่อนจบฤดูกาล 5 นัด แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยังได้แชมป์ลีกคัพมาประเดิมก่อนหน้านี้ 2 เดือน

ความพ่ายแพ้ต่อ ลิเวอร์พูล ทั้งเหย้าและเยือนในรอบ 8 ทีมสุดท้ายยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกคือบทเรียนที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาและทีมในฤดูกาลนี้

ใน 2 เกมที่แอนฟิลด์และเอติฮัด เป๊ปถูกพิชิตโดยทีมที่แข็งแกร่งและมีรากเหง้าประวัติศาสตร์ที่ยาวนานอย่างลิเวอร์พูล ซึ่งนอกเหนือจากกลยุทธ์การเล่นที่ เจอร์เกน คลอปป์ กำหนดมาให้กับนักเตะหงส์แดงในสนามแล้ว พลังจากกองเชียร์ที่ระอุออกมาตั้งแต่การรวมพลังต้อนรับนักเตะทีมตัวเองพร้อมข่มขวัญทีมคู่แข่ง (แต่ครั้งนี้ไม่น่ารักเท่าไรนักกับการปาขวดใส่รถบัส) จนถึงการระเบิดพลังของนักเตะคนที่ 12 ทั้งที่สนามแอนฟิลด์​และเอติฮัด

 

สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เป๊ปรู้ดีว่า ไม่ว่า​ซิตี้จะมีอำนาจทางการเงินมากมายมหาศาลแค่ไหน มันก็เป็นสิ่งที่ซื้อไม่ได้

มันคือรากเหง้า มันคือประวัติศาสตร์ มันคือจิตวิญญาณ และการจะได้มานั้นต้องผ่านกระบวนการที่ต้องใช้ระยะเวลายาวนาน ไม่ใช่แค่ปีนี้หรือปีหน้า หากแต่เป็นระยะเวลาที่เกินกว่าทศวรรษ เหมือนที่ลิเวอร์พูลเคยครองวงการฟุตบอลอังกฤษในยุค 1970-1990 และหลังจากนั้นคือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตั้งแต่ปี 1992 เรื่อยมาจนถึง 2013 ในปีสุดท้ายของเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน

 

นั่นคือความท้าทายขั้นต่อไปสำหรับเขาและทีมครับ กับการสร้าง Dynasty หรือราชวงศ์ลูกหนังของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ให้ได้ ซึ่งการจะทำให้ได้แบบนั้นคือการประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง

 

เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เคยถ่ายทอดประสบการณ์เอาไว้ในหนังสืออัตชีวประวัติของตัวเองเมื่อปี 2013 ตอนหนึ่ง ซึ่งเคยกล่าวถึงคู่ปรับร่วมเมืองที่เขาเรียกว่าเป็น ‘เพื่อนบ้านจอมโวยวาย’ (Noisy Neighbour) ว่า “การป้องกันแชมป์นั้นเป็นอีกขั้นหนึ่ง และซิตี้ยังไม่มีสภาพจิตใจที่พร้อมสำหรับการทำเช่นนั้น ในตอนที่ผมได้แชมป์ลีกปีแรก ผมไม่อยากเห็นลูกทีมของผมหย่อนยาน ความคิดนี้ทำให้ผมกลัวอย่างมาก”

ความกลัวทำให้เฟอร์กี้ไม่ปล่อยให้ทีมหย่อนยานในทุกด้าน และมันคือรากฐานความสำเร็จของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตลอดระยะเวลาการคุมทีมของผู้จัดการทีมที่ได้รับการยกย่องว่าเก่งกาจที่สุดตลอดกาล​

 

 

ในส่วนตัวของเป๊ปเอง เขามีประสบการณ์ในการประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องกับบาร์เซโลนาและบาเยิร์น มิวนิก ที่เคยคว้าแชมป์ลีกได้สโมสรละ 3 สมัยติดต่อกัน (2008-2011 กับบาร์เซโลนา และ 2013-2016 กับบาเยิร์น มิวนิก) ไม่นับความสำเร็จในฟุตบอลถ้วยอีกมากมาย

 

เพียงแต่ฟุตบอลอังกฤษนั้นไม่เหมือนที่อื่น ที่นี่เต็มไปด้วยสุดยอดผู้จัดการทีมที่พร้อมจะ ‘โค่น’ เขาลงจากบัลลังก์ได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าจะเป็น โฆเซ มูรินโญ ที่วันนี้เขาและแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อาจจะดูด้อยกว่าในแทบทุกด้าน แต่ไม่มีใครสามารถประมาท ‘The Special One’ ได้ หรือ ‘The Normal One’ เจอร์เกน คลอปป์ ผู้ที่นำลิเวอร์พูล ขึ้นมาผงาดเป็นทีมระดับชั้นนำของอังกฤษและของยุโรปได้อีกครั้ง

 

 

ดังนั้น เป๊ปและแมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะต้องยืนหยัดป้องกันตำแหน่งของพวกเขาให้ได้

หรือหากวันใดพลาดพลั้งพ่ายแพ้ขึ้นมา ก็ต้องรีบกลับมาทวงทุกอย่างคืนให้ได้โดยเร็วที่สุด เหมือนลิเวอร์พูลในยุค ‘บู๊ตรูม’ หรือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในยุคของเฟอร์กี้ ที่พิสูจน์ให้เห็นด้วยผลงานที่สม่ำเสมอ

ตรงนี้เป็นจุดที่แตกต่างจากทีมอย่าง เชลซี ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาที่เมื่อได้แชมป์แล้วในปีต่อมาผลงานจะตกลงอย่างน่าใจหาย (ขณะที่ เลสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งได้แชมป์ราวเทพนิยายนั้นยิ่งแย่หนักเข้าไปอีก)

ในส่วนความสำเร็จบนเวทียุโรปนั้นก็มี ‘ต้นทุน’ ที่ต้องใช้เวลาเช่นกัน และดูเหมือนจะยากกว่าด้วย เพราะตลอดระยะเวลาหลายปีมานี้ กี่ครั้งที่ทีมที่มีอำนาจทางการเงินสูงอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หรือ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง จะพยายามท้าทายเหล่ามหาอำนาจของยุโรปสักกี่ครั้ง ทุกครั้งมันจะจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของทีมเหล่านี้เสมอ

มีเพียงเชลซีเท่านั้นที่เป็นมหาอำนาจใหม่ที่ประสบความสำเร็จ แต่พวกเขาก็ต้องใช้เวลา 9 ปีนับตั้งแต่ โรมัน อบราโมวิช เข้ามาเทกโอเวอร์ ผ่านความผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่ากว่าที่จะได้แชมป์ในสไตล์ ‘เทพนิยาย’ ด้วยการพลิกสถานการณ์ล้มบาเยิร์น มิวนิก ได้ที่นัดชิงในบ้านของพวกเขาเอง

 

สำหรับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ปีนี้เป็นปีที่ 10 นับตั้งแต่ ชีค มานซูร์ แห่งอาบูดาบี เข้ามาเทกโอเวอร์ทีมต่อจาก ทักษิณ ชินวิตร เจ้าของสโมสรเก่าชาวไทย แต่ซิตี้ยังไม่เคยไปได้ไกลถึงปลายทางสักครั้ง

ดังนั้นจนกว่าจะนำทีมพิชิตยุโรปได้สำเร็จ เป๊ปจึงไม่อาจพูดได้เต็มปากว่าเขาเสร็จภารกิจกับทีมนี้

 

ความท้าทายยังมีอีกมากที่รออัจฉริยะลูกหนังเช่นเขาอยู่ในวันข้างหน้าครับ

 

แต่ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะไม่ยินดีไปกับวันแห่งความสำเร็จในวันนี้

 

วันที่เปรียบเหมือนแสงอาทิตย์แรกที่สาดส่อง ทั้งสดใสและงดงาม

 

อ้างอิง:

FYI
  • ในฤดูกาลนี้ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ได้รับรางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยม 4 เดือนติดต่อกัน (ก.ย.-ธ.ค.) และทุกครั้งที่ได้รับรางวัล เขาจะเรียกให้สตาฟฟ์ทุกคนเข้ามาถ่ายรูปร่วมกันด้วย เพราะเป๊ปถือว่าหากไม่มีทีมงานก็ไม่มีวันที่เขาจะประสบความสำเร็จ
  • นอกจากกลยุทธ์การเล่น เป๊ปยังใส่ใจกับความรู้สึกของลูกทีมอย่างมาก โดยยกเลิกธรรมเนียมที่นักเตะจะต้องมานอนพักที่โรงแรมด้วยกันในคืนก่อนเกม เพื่อให้นักเตะได้มีเวลากับครอบครัวมากขึ้น เพราะพวกเขาต้องเล่นมากถึง 60 นัดต่อฤดูกาล
  • ทุกวันหลังการซ้อมเสร็จ (ซึ่งเป๊ปจะทานข้าวเช้าและข้าวเที่ยงพร้อมทุกคนในทีมเสมอ) เมื่อนักฟุตบอลกลับบ้านในเวลาบ่าย 2 โมง เขาจะใช้เวลาในช่วงบ่ายร่ายยาวไปถึงค่ำเพื่อศึกษาวิดีโอการเล่นของทีมคู่แข่ง ทีมตัวเอง และวางแผนการทำงานต่อไป โดยจะกลับบ้านในเวลา 1 ทุ่มตรงโดยประมาณ
  • เป๊ปมีเวลาส่วนตัวน้อยมาก แต่เมื่อมีเวลาว่างเขาจะใช้เวลาอยู่กับภรรยา คริสตินา และลูกๆ 3 คนคือ มาเรีย, มาริอุส และวาเลนตินา รวมถึงไปตีกอล์ฟ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกีฬาโปรดของเขา
  • หนึ่งในช่วงเวลาสำคัญที่สุดของชีวิตของเขาคือการไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ 6 เดือนที่เม็กซิโก ในช่วงบั้นปลายของชีวิตการเล่น โดยไปเรียนรู้กับ Juan Manuel Lillo ที่คุมทีม Dorados de Sinaloa สโมสรในระดับดิวิชัน 2 ของสเปน เมื่อปี 2006
  • แมนเชสเตอร์ ซิตี้ พร้อมเสนอสัญญาใหม่ให้กับเป๊ป เพื่อให้เขาได้สานงานต่อไป
  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising