×

ไขกล่องความลับ ณ จุดเริ่มต้นของ ‘เป๊ป กวาร์ดิโอลา’

10.11.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

9 Mins. Read
  • ช่วงระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือนในทีมบาร์เซโลนา บี คือช่วงเวลาสำคัญของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา กับการค้นพบอะไรบางอย่างที่สำคัญ และนำไปสู่สไตล์ฟุตบอลในแบบของตัวเอง
  • แทนที่จะจดจ่อกับการวิเคราะห์คู่แข่งเพียงอย่างเดียว เป๊ปยังสนุกกับการหา ‘จุดอ่อน’ ของทีมตัวเอง และพยายามนำมาสื่อสารกับลูกทีมด้วย
  • วิธีการขึ้นเกมจากแดนหลัง การรับบอลในตำแหน่งที่ถูกต้อง ด้วยท่าทางที่เหมาะสม วิธีในการที่จะทำลายเกมของคู่ต่อสู้ การจู่โจมคู่ต่อสู้ด้วยการเจาะเข้าทำในพื้นที่ต่างๆ การสัมผัสบอลแค่ครั้งหรือสองครั้ง เพื่อให้เล่นบอลเร็วขึ้น คือสิ่งที่เป๊ปสอนลูกทีมเสมอ
  • เป๊ปมีครูหลายคนในชีวิต แต่สิ่งสำคัญคือ เขาไม่ได้ยึดติดกับคำสอน แต่นำคำสอนมาประยุกต์ เพื่อพัฒนาตัวเองให้ก้าวผ่านครูทุกคน

ถึงแม้ว่าผลงานของ ‘ปีศาจแดง’ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะพ้นวิกฤต และดีขึ้นตามลำดับ โดยล่าสุดพลิกนรกกลับมาแซงเอาชนะยูเวนตุสได้ 2-1 ถึงตูริน ทั้งๆ ที่ตลอดทั้งเกมโดนข่ม (และชวนให้คิดถึงนัดชิงยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเมื่อปี 1999 ที่พวกเขาพลิกแซงบาเยิร์น มิวนิกได้แบบปาฏิหาริย์ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ)

 

แต่เห็นฟอร์มทีมร่วมเมืองของพวกเขาอย่าง ‘เรือใบสีฟ้า’ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ไล่ถล่มคู่แข่งอย่างสนุกเท้าในระยะหลังแล้ว (2 เกมหลังสุดยิงนัดละ 6 ลูก) ใจก็อดเป็นห่วง โฆเซ มูรินโญ ไม่ได้เหมือนเดิม

 

กับ The Special One นั้น ไม่ว่าจะรักหรือชังก็ต้องยอมรับว่าเขายังเก่งและยังแกร่ง สามารถเอาตัวรอดในสถานการณ์ที่รุนแรงถึงขั้นวิกฤตศรัทธาได้อย่างเหลือเชื่อและมีสไตล์

 

เพียงแต่กับ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ยิ่งวันเวลาผ่าน ก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่าเขาอาจจะ ‘พิเศษ’ มากกว่า

 

เรามักจะได้ยินเรื่องเล่าของเขาที่ทำให้รู้สึกทึ่งได้เสมอครับ เหมือนเช่นเรื่องราวที่มีความสำคัญในวันเริ่มต้นอาชีพการทำงานด้านโค้ชของเป๊ป

 

เราอาจเคยได้ยินมาว่า เขาเริ่มต้นเส้นทางนี้ในทีมบาร์เซโลนา บี ก่อนจะถูกผลักดันให้ขึ้นมาเป็นโค้ชทีมชุดใหญ่ในเวลาอันรวดเร็ว

 

แต่กับเรื่องราวที่ซ่อนอยู่ระหว่างบรรทัด กับสิ่งที่เกิดขึ้นในห้วงเวลานั้น ช่วงระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือน ที่ทำให้เขาค้นพบอะไรบางอย่างที่นำไปสู่ฟุตบอลในแบบของตัวเอง

 

ไม่ใช่ทุกคนที่รู้เรื่องนี้

 

เรามาลองไขกล่องความลับนี้ไปด้วยกันไหมครับ 🙂

 

 

วันพิเศษของคนพิเศษ

“วาเลนตินาเกิดในวันนั้น และมันยังเป็นวันที่ผมได้นำทีมลงเล่นเจอฮัดเดอร์สฟิลด์ และได้ชูถ้วยแชมป์ด้วย” เป๊ปกล่าวถึง 2 ช่วงเวลาที่เขาภาคภูมิใจมากที่สุดในชีวิต

 

วันนั้นของเป๊ปคือวันที่ 5 พฤษภาคมครับ ลูกสาวของเขาเกิดในวันนั้น

 

เพียงแต่นอกเหนือจากเหตุการณ์ทั้งสองแล้ว ยังมีอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และเป็นวันที่ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของเขา

 

ท่ามกลางแขกคนสำคัญที่มาร่วมแสดงความยินดี หนึ่งในนั้นคือ โจน ลาปอร์ตา ประธานสโมสรบาร์เซโลนา ในขณะนั้นเดินทางมาพบเขาที่โรงพยาบาล และบอกในสิ่งที่เป๊ปไม่มีวันลืม

 

“ในวันที่วาเลนตินาเกิด โจน ลาปอร์ตา มาหาผมที่โรงพยาบาลพร้อมกับเพื่อนของผม แล้วบอกกับผมว่า ‘นายจะเป็นนายใหญ่ของบาร์เซโลนาคนต่อไป’”

 

เวลานั้นเป๊ปเพิ่งจะรับตำแหน่งโค้ชของทีมบาร์เซโลนา บี ได้ไม่ครบฤดูกาลดี ไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่เขาจะเชื่อ และไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับโลกฟุตบอลที่จะทำความเข้าใจว่าทำไมลาปอร์ตาถึงเลือกผลักดันโค้ชมือใหม่ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในการทำงานระดับสูงสุดมาก่อนเข้ามาทำทีม ในขณะที่บาร์เซโลนาเริ่มแสดงให้เห็นถึงความตกต่ำในช่วงปลายของยุค แฟรงก์ ไรจ์การ์ด

 

แต่ความจริงแล้ว ลาปอร์ตาไม่ได้ปุบปับตัดสินใจครับ

 

เขาเฝ้ามองเป๊ปจากมุมไกลๆ มาโดยตลอด และ ‘เชื่อ’ ว่ากุนซือผู้สืบเลือดเนื้อเชื้อไขของชาวคาตาลันมาเต็มเปี่ยมคนนี้ พร้อมแล้วสำหรับการรับงานในทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดทีมหนึ่งของโลก

 

ความจริง ย้อนหลังกลับไปก่อนหน้านั้นไม่กี่เดือน เป๊ปและลาปอร์ตาก็เคยมีการพูดกันในเรื่องนี้มาก่อนแล้วครับ ว่าประธานสโมสรอยากให้เขาเข้ารับตำแหน่งนี้ต่อจากไรจ์การ์ด ซึ่งสำหรับเป๊ป มันเหมือนเป็นการพูดกันเล่นๆ

 

“คุณไม่แมนพอหรอก” เป๊ปบอกกับลาปอร์ตา

 

แต่ท่านประธานไม่ได้ล้อเล่น “ถ้านายแมนพอ นายจะได้เป็นนายใหญ่คนใหม่ของบาร์ซา”

 

 

โรงเรียนลูกหนังที่ดีที่สุด

ความมั่นใจของลาปอร์ตาเกิดจากการที่ได้เห็นเป๊ปทำงานในทีมบาร์เซโลนา บี ซึ่งเป็นขวบปีแรกในฐานะโค้ชแบบเต็มตัวของเขา ซึ่งเป็นช่วงระยะเวลาที่ล้ำค่าอย่างยิ่ง

 

โดเมเนค ตอร์เรนต์ คนสนิทของเขา ซึ่งเป็นผู้ที่รู้จักลีกระดับล่างของวงการฟุตบอลสเปนบอกว่า ช่วงปีนั้นถึงจะเป็นปีที่ยากลำบากมากสำหรับเป๊ป แต่ในขณะเดียวกันมันก็เป็นช่วงเวลาที่ดีมากๆ ด้วยเช่นกัน เพราะความยากของลีกทำให้เป๊ปต้องพยายามอย่างมากในการเรียนรู้ในทุกๆ นัดที่ผ่านไป

 

ในขณะที่ทีมอื่นจะใช้ผู้เล่นที่มีประสบการณ์สูง ผ่านการเล่นมาอย่างโชกโชน บ้างเป็นสตาร์ที่เคยค้าแข้งในระดับสูงสุดอย่างลาลีกามาก่อน แต่สำหรับเป๊ป นักเตะในทีมบาร์เซโลนา บีของเขา คือไอ้หนูจากลา มาเซีย ที่แต่ละคนยังไม่สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนลูกหนังของชาวคาตาลันดี

 

กระดูกที่ยังอ่อนทำให้ช่วงครึ่งแรกของฤดูกาลทั้งเป๊ปและลูกทีมต่างจุกและเจ็บไปด้วยกัน

 

แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงครึ่งฤดูกาลหลัง ในขณะที่เป๊ปได้ศึกษาหากลเม็ดใหม่ๆ ในการเล่นได้เรื่อยๆ เด็กๆ ของเขา ซึ่งทำตัวเหมือนฟองน้ำที่ดูดซับเอาวิธีคิด วิธีการเล่น และทัศนคติในแบบของเป๊ปเข้ามาสู่ตัว สมอง และหัวใจ จนทำให้เริ่มเข้าใจ และทำผลงานได้ดีขึ้นเรื่อยๆ

 

นอกจากบาร์เซโลนา บีจะเริ่มเก็บชัยชนะได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ พวกเขายังเล่นกันอย่างมีสไตล์ด้วย

 

สำหรับเป๊ป ช่วงเวลาในทีมบาร์เซโลนา บี เป็นช่วงเวลาที่เหมือนกับเขาได้ลงเรียนวิชาลูกหนังในระดับปริญญาโทในสถาบันที่ดีที่สุด

 

ทั้งๆ ที่ในช่วงเวลาที่รับงาน เป็นช่วงที่ยากลำบากที่สุดของทีมบีที่เพิ่งตกชั้นสู่ระดับดิวิชัน 4 ของลีกสเปน ซึ่งเป็นสิ่งที่สายเลือดสโมสรอย่างเป๊ปรับไม่ได้

 

มาร์ก วาลิเอนเต อดีตกัปตันทีมบี เล่าว่า เป๊ปได้เข้ามาพูดคุยด้วย และบอกว่าทุกคนมีหน้าที่ที่จะต้องทำให้บาร์เซโลนา บีเลื่อนชั้นกลับขึ้นไปให้ได้ เพราะบาร์เซโลนาไม่คู่ควรจะอยู่ในลีกระดับชั้นที่ 4 และนั่นทำให้เขาต้องเปลี่ยนความคิดจากที่จะย้ายออกจากทีม กลายเป็นอยู่ และสู้ไปด้วยกัน

 

เป๊ปพร้อมด้วยตอร์เรนต์ ผู้ช่วยหมายเลขหนึ่ง (ซึ่งปัจจุบันย้ายไปคุมทีมนิวยอร์ก ซิตี้ เอฟซี) และ การ์เลส ปลานชาร์ต นักวิเคราะห์ ที่ปัจจุบันยังทำหน้าที่ในการวิเคราะห์คู่ต่อสู้ให้กับเป๊ปอยู่จนถึงทุกวันนี้

 

เพียงแต่ในเวลานั้น แทนที่จะจดจ่อกับการวิเคราะห์คู่แข่งเพียงอย่างเดียว เป๊ปยังสนุกกับการหา ‘จุดอ่อน’ ของทีมตัวเอง และพยายามนำมาสื่อสารกับลูกทีมด้วย ไม่ว่าจะเป็นความผิดพลาดในแดนหน้า หรือข้อบกพร่องจากการเซตบอลจากแดนหลังที่ยังไม่ดีพอ

 

พูดง่ายๆ คือ เป๊ปพยายามมองหาวิธีที่จะทำให้ทีมนั้นเล่นได้ดีขึ้น และดีกว่าคู่แข่งให้ได้

 

ผลของมัน นอกจากจะทำให้ทีมของเขาเล่นได้ดีขึ้นแล้ว มันยังเป็นช่วงเวลาที่เขาได้ขัดเกลาตัวเองอย่างหนักหน่วง เหมือนไปนั่งสมาธิอยู่กลางน้ำตก โดยที่ไม่มีใครมาสนใจหรือติดตาม

 

ทุกวันที่ผ่านไป เป๊ปได้ค้นพบอะไรใหม่ๆ มากขึ้น โดยเฉพาะสไตล์การเล่นฟุตบอลเกมรุก อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวก็ถือกำเนิดขึ้นในวันนั้นเอง

 

 

ดีเอ็นเอของบาร์ซา

สไตล์การเล่นในแบบของเป๊ปในเวอร์ชันสมบูรณ์ที่สุดในสมัยเริ่มต้นกับบาร์เซโลนา เป็นสไตล์การเล่นที่พลิกโฉมหน้าของโลกฟุตบอล

 

เรียกได้ว่าไม่มีใครไม่รู้จักและไม่หลงรัก Tiki-Taka

 

แต่ก่อนที่เราจะได้เห็น ชาบี เอร์นานเดซ, อันเดรส อิเนียสตา, ลิโอเนล เมสซี หรือนักเตะของบาร์ซา ประสานงานกันได้ไหลลื่นในแบบที่ไม่เคยเห็นทีมใดในโลกเล่นได้แบบนี้มาก่อน เป๊ปได้เริ่มทำในแบบเดียวกันกับทีมบาร์เซโลนา บีของเขา

 

ในช่วงของการคุมทีมบี เป๊ปได้พยายามสอนในสิ่งที่ต่อมากลายเป็น ‘ดีเอ็นเอของบาร์ซา’ ลงไปในตัวลูกทีมทุกคน ผ่านการซ้อมที่เข้มข้น

 

หรือหากให้พูดตามความเป็นจริง มันเป็นช่วงเวลาที่เด็กๆ ในทีมของเขาเจ็บปวดไม่น้อย ในการที่จะเล่นให้ถูกใจเจ้านายที่ใส่ใจในทุกรายละเอียด ในความหมายเช่นนั้นจริงๆ

 

วาลิเอนเตยังจำได้ดี “มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับเราทุกคนในบางช่วงเวลา เขาจะสั่งหยุดการซ้อม เพื่อแก้ไขในบางสิ่ง ส่วนมากจะเป็นกองหลังและคู่มิดฟิลด์ตัวกลาง เขาชอบให้เราพยายามที่จะขึ้นเกมจากแดนหลัง และเขาก็จะพยายามในการหาทางออกให้ได้เสมอ เวลาที่ถูกคู่แข่งไล่กดดันเกมในหลากหลายรูปแบบวิธี สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เราต้องซ้อมโดยตลอด”

 

ขณะที่ ดิมาส เดลกาโด หนึ่งในลูกทีมที่อายุมากที่สุดของบาร์เซโลนา บีในขณะนั้น เล่าว่า “เขาพยายามติวเราอย่างหนักในการเล่นขึ้นเกมจากแดนหลัง ในการจะรับบอลในตำแหน่งที่ถูกต้อง ด้วยท่าทางที่เหมาะสม และวิธีในการที่จะทำลายเกมของคู่ต่อสู้ เขาอยากเห็นทีมจู่โจมคู่ต่อสู้ด้วยการเจาะเข้าทำในพื้นที่ต่างๆ เขาอยากจะเห็นเราเล่นด้วยการสัมผัสบอลแค่ครั้งหรือสองครั้ง เพราะสไตล์การเล่นของเขาเร็วกว่าปกติมาก ทุกอย่างจะเร็วกว่ามาก”

 

แต่ไม่ใช่ว่าเป๊ปจะไม่ใส่ใจคู่แข่ง ในทางตรงกันข้าม เขาชอบชวนภรรยา คริสตินา และพ่อของเขา วาเลนติ ตระเวนไปชมเกมทั่วแคว้นคาตาลุนยา เพื่อหาข้อมูลคู่ต่อสู้เสมอ โดยบางครั้งก็มักจะมีเพื่อนอย่าง การ์เลส บุสเกตส์ (พ่อของเซร์คิโอ บุสเกตส์ กองกลางเสาหลักของทีมในปัจจุบัน ซึ่งเคยเป็นอดีตผู้รักษาประตูของบาร์ซา) รวมไปถึงลาปอร์ตา, ซิกิ เบกิริสไตน์ อดีตผู้อำนวยการสโมสรบาร์ซา ที่เป็นผู้ดึงเขาเข้ามาสู่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และติโต วิลาโนวา ผู้ช่วยผู้จากไปก่อนวัยอันควร

 

เหมือนเช่นที่ขับไปชมเกมพรีซีซันของเปรเมีย คู่แข่งทีมแรกในเกมเปิดฤดูกาลของบาร์เซโลนา บี และมันทำให้ลูกทีมของเขาสู้กับคู่ต่อสู้ได้อย่างน่าทึ่ง ถึงแม้จะไม่ชนะ (ผลจบลงด้วยการเสมอ 0-0) แต่เป๊ปได้ค้นพบบางสิ่งที่สำคัญในวันเริ่มต้น

 

และทุกครั้งที่เขาออกไปดูคู่แข่ง เขามักจะได้อะไรกลับมาคิดเสมอ เช่นเดียวกับเมื่อนำทีมลงสนามจริง ไม่ว่าจะชนะหรือแพ้ เขาจะคิดอะไรออกเสมอ ว่าควรจะเล่นแบบนั้น ไม่ควรจะเล่นแบบนี้

 

แต่สิ่งที่น่าสนใจและอาจเป็นสิ่งที่ทำให้เขาแตกต่างจากคนอื่นคือ เขาค้นพบจุดยืนที่หนักแน่นของตัวเอง

 

เขาอยากจะให้ลูกทีมเล่นแบบนี้ อยากเห็นฟุตบอลแบบนี้ และหากมีอะไรที่ไม่เข้าท่า เขาก็แค่ต้องทำให้มันดีขึ้น

 

ไม่มีอะไรยากหรือซับซ้อนไปมากกว่านั้น

 

ศิษย์ผู้ก้าวผ่านครู

เป๊ปอาจเป็นดังปราชญ์ลูกหนังของยุคสมัยใหม่ แต่ครั้งหนึ่งเขาก็เคยเป็นศิษย์ของใครสักคน

 

และโชคดีที่ครูของเขาเป็นใครสักคนที่เป็นดัง ‘จอมปราชญ์’ ของโลกฟุตบอลอย่าง โยฮัน ครอยฟ์

 

ครอยฟ์ดูแลเป๊ปมาตั้งแต่ครั้งยังเป็นเด็กในทีมลา มาเซีย เห็นกันมาแต่อ้อนแต่ออก และเมื่อถึงวันที่เขาต้องเข้ามาทำหน้าที่แบบเดียวกับที่ครูเคยทำ เป๊ปก็นำสิ่งที่เขาเคยเรียนรู้จากครอยฟ์มาใช้ในการทำงานด้วย

 

มากกว่านั้นคือ การที่ปีกของครอยฟ์ยังคงโอบกอดปกป้องเขาจากสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในเรื่องการรับมือกับสื่อมวลชนที่เป๊ปไม่ถนัดนัก โดยตำนานลูกหนังชาวดัตช์ทำเพื่อให้ศิษย์ของเขาได้มีสมาธิในการทำงานอย่างเต็มที่

 

เป๊ปนำคำแนะนำของครอยฟ์มาปรับใช้ในการทำงานหลายเรื่อง ไม่ใช่เฉพาะในเรื่องของปรัชญาการเล่นที่หลายคนมองว่า เขาได้รับอิทธิพลจากครูของเขาค่อนข้างมาก และเขาก็ยอมรับเองในเรื่องนี้ว่า ทั้งสองมีคลื่นความคิดที่ตรงกันในสิ่งที่อยากเห็นทีมเล่นฟุตบอลแบบไหน

 

มากกว่านั้นคือ ความเจ้าระเบียบที่จะไม่ยอมให้ลูกทีมคนไหนก้าวล้ำเส้นเด็ดขาด ใครฝ่าฝืนมีโทษอย่างเท่าเทียม

 

มาสาย โดนไล่ออก นอนดึก และอีกมากมายหลายสิ่งที่เป๊ปพร้อมลงดาบทันที

 

แต่ครอยฟ์ไม่ใช่ครูคนเดียวของเขา อีกคนที่เป๊ปยอมรับว่ารักและหลงใหลคือ มาร์เซโล บิเอลซา กุนซือชาวอาร์เจนตินา ผู้ได้รับการยกย่องในวงการว่าเป็นปราชญ์ลูกหนังอีกคนหนึ่งของโลก แม้ว่าจะไม่ประสบความสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันเท่าก็ตาม

 

ในครั้งหนึ่ง เป๊ปเคยสนทนาภาษาลูกหนังกับบิเอลซายาวนานถึง 11 ชั่วโมง ในบ้านพักของขรัวเฒ่าที่อาร์เจนตินา ในแบบเดียวกับที่เขามักจะใช้เวลาสนทนาภาษาลูกหนังกับครอยฟ์ได้ยาวนานทั้งวันและคืน โดยการพูดคุยนั้นเกี่ยวกับเรื่องแนวคิดต่างๆ การต่อสู้เพื่อทำให้ได้ตามเป้าหมาย การพัฒนาผู้เล่น และการไม่ยอมสูญเสียความรู้สึกอันแรงกล้าที่มีต่อเกมฟุตบอล

 

ยังมีครูอีกคนที่ไม่มีใครรู้จักนัก แต่สำคัญต่อเป๊ป คือ ฮวน มานูเอล ลิโญ เพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของเขา

 

ลิโญเป็นผู้ดึงเป๊ปเข้ามาสู่ทีมโดราดอส เด ซินาลัว สโมสรฟุตบอลในเมืองกูเลียกาน เมืองของราชายาเสพติด ‘เอล ชาโป’ ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศเม็กซิโก เมื่อปี 2006 โดยเป๊ปตัดสินใจที่จะเล่นฟุตบอลที่นี่เป็นสโมสรสุดท้ายในชีวิต และเป็นโรงเรียนฝึกหัดแห่งแรกที่เขาได้ศึกษาการทำงานอย่างใกล้ชิดจากลิโญ

 

ลิโญเองก็สังเกตได้ตั้งแต่ในช่วงนั้น คือประกายของการเป็นยอดโค้ชในตัวของเป๊ป

 

“เวลานั้นเขามีจิตใจของคนที่พร้อมจะเป็นโค้ชแล้ว” ลิโญเผยต่อด้วยว่า เขากับเป๊ปพูดคุยกันหลังจบการฝึกซ้อมแต่ละวัน วันละ 2-3 ชั่วโมง ถึงเรื่องความสำคัญของการครองบอลและการอ่านเกมในสถานการณ์ที่หลากหลาย

 

และว่ากันว่า เป๊ปได้ตีความเรื่องของการครองบอล การป้องกันตั้งแต่แนวรุก และแนวคิดเรื่องที่ว่าการเล่นเกมรับและเกมรุกนั้นไม่ใช่สองเรื่องที่แยกออกจากกันได้ที่เม็กซิโกนี่เอง

 

อย่างไรก็ดี ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้จากครูคนใดก็ตาม เป๊ปไม่ได้ยึดความคิดของใครเป็นหลัก

 

เขาเป็นตัวของตัวเอง รู้จักที่จะประยุกต์สิ่งต่างๆ คิดค้นสิ่งใหม่ๆ เสมอ

 

มันทำให้เขาไม่มีวันอับจนในเส้นทางนี้

 

 

เราจะชนะทุกอย่างไปด้วยกัน

เวลา 30 นาที ที่ครอยฟ์ได้เห็นเป๊ปคุมทีมลงสนามที่มินิ เอสตาดี สนามของบาร์ซา บี เขาได้แนะนำกับลาปอร์ตาทันที

 

เช่นเดียวกับเบกิริสไตน์ คนสนิทที่เป็นผู้อำนวยการสโมสรขณะนั้น “เราได้เห็นการทำงานของเขา ได้เห็นการพัฒนาที่ก้าวกระโดดตลอดในฤดูกาลนั้นกับทีมบี และเรารู้ในทันทีว่า เขาคือคนที่มีโอกาสจะได้คุมทีมชุดใหญ่”

 

นอกจากครอยฟ์และเบกิริสไตน์แล้ว ลาปอร์ตายังได้รับคำแนะนำจากทุกคนที่อยู่รอบกายเขา รวมถึง ราฟาเอล ยุสเต บอร์ดบริหาร และเพื่อนอีกหลายคนที่บอกกับเขาว่า เป๊ปพร้อมแล้วสำหรับการที่จะคุมทีมชุดใหญ่ แทนที่ไรจ์การ์ดที่กำลังย่ำแย่ในขณะนั้น

 

มันนำไปสู่การพูดคุยกันระหว่างเขาและเป๊ปในมื้อกลางวันของวันหนึ่งในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2007

 

จากทีแรกที่คิดว่าจะบอกเป๊ปว่าจะให้มาช่วยงานไรจ์การ์ด ในฐานะสตาฟฟ์ทีมชุดใหญ่ ลาปอร์ตาตัดสินใจบอกกับเป๊ปว่า เขาจะให้งานคุมทีมชุดใหญ่กับเขา หากไรจ์การ์ดไม่สามารถทำให้อะไรดีขึ้นได้เมื่อจบฤดูกาล

 

เป๊ปไม่เชื่อ และนำไปสู่ประโยคท้าทายกับคนสุภาพอย่างลาปอร์ตาว่า คนอย่างเขาไม่กล้าพอที่จะตัดสินใจอะไรแบบนั้นได้หรอก

 

แต่ลาปอร์ตาตอบกลับเป๊ปว่า “แน่นอน ผมแมนพอ ผมมีไข่สองใบติดตัว!”

 

ความหนักแน่นของประธานสโมสรทำให้เป๊ปเองก็หนักแน่นพอที่จะตอบกลับลาปอร์ตาว่า “ผมรู้ว่าทำไมคุณถึงอยากให้ผมเป็นโค้ช นั่นเพราะถ้าผมเป็นโค้ช เราจะชนะทุกอย่างไปด้วยกัน”

 

ไม่น่าเชื่อนะครับ ว่านั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราได้ค้นพบโค้ชที่ปราดเปรื่องที่สุดคนหนึ่งของโลกในเวลานี้

 

เป๊ปทำได้อย่างที่เขาพูดกับบาร์เซโลนา กับแชมป์ทุกรายการตลอดระยะเวลา 4 ปี ในฐานะนายใหญ่ของ คัมป์ นู ก่อนจะอิ่มตัว และต้องการพัก เพื่อผจญภัยครั้งใหม่

 

เขาเริ่มต้นใหม่อีกครั้งกับบาเยิร์น มิวนิก ถึงแม้จะขาดแชมป์ยุโรป แต่เป๊ปก็ได้ก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง ด้วยการไม่ยึดติดกับสไตล์แบบ Tiki-Taka เพียงอย่างเดียว แต่พัฒนาสไตล์การเล่นแบบใหม่ ทำให้เราได้เห็นนวัตกรรมทางเกมลูกหนัง เช่น Inverted Wing Back ที่เปลี่ยน ฟิลิปป์ ลาห์ม จากฟูลแบ็กให้กลายเป็นมิดฟิลด์ หรือ False 10 กับตำแหน่งตัวทำเกมสมัยใหม่ที่เน้นความเร็ว และหาโอกาสในการเติมไปทำประตูได้ดี

 

และปัจจุบัน เป๊ปกำลังสนุกอีกครั้งในชีวิตที่อังกฤษกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้

 

ในขวบปีแรกที่เขาเข้ามาทำงานในทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และทีมยังประสบปัญหา หลายคนปรามาสเขาว่า สไตล์การเล่นในแบบของเขาไม่มีวันประสบความสำเร็จในอังกฤษได้

 

“ผมกลับคิดว่า ถ้าผมสามารถทำได้จากที่อื่นมาก่อน ผมก็ย่อมทำได้ที่นี่”

 

เป๊ปยังคงมีวิธีคิดแบบเดิมครับ คือเขาไม่มีวันเปลี่ยนในสิ่งที่เขาคิดและเชื่อ หากมีอะไรที่เกิดขึ้น และทำให้ทีมเล่นได้ไม่ดี มากกว่าจะเปลี่ยนแปลง เขาเลือกที่จะทำให้ดีขึ้น

 

ผลลัพธ์ที่ได้คือ เขาคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลที่ 2 ด้วยการทำได้ถึง 100 คะแนน

 

และในฤดูกาลนี้ ‘เรือใบสีฟ้า’ ยังทำผลงานได้อย่างไร้ที่ติ ด้วยการขึ้นนำจ่าฝูงเดี่ยว โดยยังไม่แพ้ใคร ยิงได้มากที่สุดถึง 33 ประตู และเสียน้อยที่สุดแค่ 4 ประตู

 

ทีมของเขาที่เหมือนจะไร้เทียมทานในฤดูกาลที่แล้ว ในฤดูกาลนี้ยิ่งดูน่ากลัวมากขึ้นไปอีก เมื่อผู้เล่นหลายคนพัฒนาการเล่นและปรับตัวเข้ากับสไตล์ของเป๊ปได้อย่างดีเยี่ยม อาทิ ราฮีม สเตอร์ลิง, แบร์นาโด ซิลวา และขุนพลใหม่อย่าง ริยาด มาห์เรซ ผู้ที่ในที่สุดก็ได้เล่นในทีมชั้นยอดที่คู่ควรกับฝีเท้าของเขา

 

ผลงานดังกล่าวของเป๊ปกับทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทำให้แฟนบอลทีมคู่แข่งอาจอยากปันใจช่วยแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และมูรินโญ ให้ช่วยหยุดเป๊ปให้ได้ในเกมแมนเชสเตอร์ ดาร์บี ในสุดสัปดาห์นี้ เพื่อให้ทุกคนได้มีโอกาส

 

แต่สำหรับเป๊ป ไม่มีใครที่จะหยุดเขาได้ ไม่ว่าผลของการแข่งขันนัดนี้จะเป็นอย่างไรก็ตาม

 

เพราะเขารู้ว่าเขาต้องการอะไร และมองเห็นภาพนั้นชัดอยู่ในใจเสมอ ตั้งแต่ในวันนั้นที่เขาได้บอกกับลาปอร์ตาว่า “เราจะชนะทุกอย่างไปด้วยกัน”

 

พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล

อ้างอิง:

FYI
  • ในฤดูกาลแรกและฤดูกาลเดียวของเขากับบาร์เซโลนา บี เป๊ปนำทีมไม่แพ้ใครในบ้านเลยตลอดทั้งฤดูกาล โดยเป็นการชนะ 19 จาก 21 นัด ที่มินิ เอสตาดี
  • เรื่องเล่าสนุกๆ ในทีมช่วงนั้นคือ เป๊ปเคยให้สัญญากับลูกทีมว่า หากทีมชนะติดต่อกัน 3 เกมได้ เขาจะเลี้ยงข้าว ปรากฏว่า ในฤดูกาลนั้นเป๊ปต้องเลี้ยงข้าวทีมถึง 5 ครั้ง เพราะหลังเปิดฤดูกาลได้ไม่สวยนัก ในเวลาต่อมาบาร์ซี บี ชนะ 16 จาก 22 นัดสุดท้าย
  • บาร์ซา บีของเป๊ป เอาชนะบาร์บาสโตร คู่แข่งในเกมเพลย์ออฟ และได้เลื่อนชั้นกลับสู่เซกุนดา บีในที่สุด
  • วาเลนตินาเป็นลูกสาวคนเล็กของบ้านกวาร์ดิโอลา โดยมีพี่สองคน ได้แก่ มาเรียและมาริอุส
  • หลัง 4 ปี กับบาร์ซา เป๊ปตัดสินใจหยุดงาน เพื่อพักและทบทวนตัวเอง โดยใช้ชีวิต 1 ปีที่นิวยอร์ก ก่อนตัดสินใจจะรับงานกับบาเยิร์น มิวนิก
  • หนึ่งในเคล็ดลับสำคัญที่ทำให้เป๊ปประสบความสำเร็จคือ เรื่อง ‘ภาษา’ โดยก่อนทำงานที่บาเยิร์นฯ เขาเรียนภาษาเยอรมันถึงวันละ 4-5 ชั่วโมง และทำให้เมื่อถึงคราวเปิดตัว เป๊ปสามารถพูดภาษาเยอรมันกับสื่อได้อย่างน่าประทับใจ
  • เป๊ปและลิโญมีโอกาสพบกันอีกครั้งในปี 2011 ที่ศึกลาลีกา สเปน แต่มันเป็นการพบกันที่เจ็บปวด เมื่อบาร์เซโลนาถล่มอัลเมเรียของลิโญไป 8-0 และส่งผลให้ลิโญต้องโดนปลดจากตำแหน่งหลังจบเกมไม่กี่ชั่วโมง
  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising