นับเป็นข่าวที่น่ายินดีสำหรับแฟนฟุตบอลทีม ‘เรือใบสีฟ้า’ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เมื่อมีการประกาศจากสโมสรว่า เป๊ป กวาร์ดิโอลา ยอดกุนซืออัจฉริยะได้ต่อสัญญาฉบับใหม่กับทีมออกไปอีก 2 ปีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
การจรดปากกาของเป๊ปครั้งนี้เป็นการยุติสถานการณ์อ่อนไหวภายในแคมป์ทีมเอติฮัด สเตเดียมได้โดยพลัน
อย่างน้อยนับจากวันนี้เป็นต้นไป จนถึงวันสุดท้ายของสัญญาในปี 2023 นักฟุตบอลและฝ่ายบริหารทุกคนยังมั่นใจได้ว่า พวกเขาจะมียอดผู้จัดการทีมชาวคาตาลันเป็นผู้นำ
สถานการณ์ที่ทำให้หัวใจไหวหวั่น โดยเฉพาะในหมู่นักเตะระดับซูเปอร์สตาร์ของทีมที่ยังพอมีทางไปต่อในชีวิตอย่าง เควิน เดอ บรอยน์ หรือ ราฮีม สเตอร์ลิง ก็เป็นอันยุติตามไปด้วย
ตลอดช่วงระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา แมนฯ ซิตี้เจอบททดสอบอย่างหนักหน่วง ไม่เฉพาะกับเกมในสนามที่พวกเขายังไม่สามารถกลับไปทำผลงานได้ในระดับเดิมระดับเดียวกับที่เคยทำได้ คำสั่งการลงโทษแบนจากเกมยุโรปเป็นระยะเวลา 2 ปีจากการทำผิดกฎ Financial Fair Play เอง ก็ทำให้คนภายในสโมสรมองตากันอย่างเลิ่กลั่ก
ณ เข็มนาฬิกานั้นแมนฯ ซิตี้ เหมือนเรือที่ลอยค้างอยู่ในทะเล และคนบนเรือก็กำลังชั่งใจว่าพวกเขาจะเอาอย่าไงดีกับอนาคต
จะอยู่ช่วยกันต่อ หรือจะกระโดดลงน้ำแล้วหาทางเอาตัวรอดต่อในดาบหน้า
เดอ บรอยน์ ในฐานะผู้นำของทีมเป็นหนึ่งในคนที่ถูกตั้งเครื่องหมายคำถามมากที่สุด เพราะด้วยวัยและสถานการณ์ของทีมที่มีสัญญาส่อเค้าตกต่ำ และอาจต้องใช้เวลานานกว่าที่คิดในการสร้างทีมชุดใหม่ขึ้นมา ทำให้เขามีข่าวพัวพันกับบรรดาสโมสรยักษ์ใหญ่ในยุโรปที่หมายปองในตัวเช่นเดียวกัน
แต่แน่นอนว่าคนที่ถูกจับจ้องมากที่สุดคือผู้นำของทีมอย่างเป๊ป ที่เหลือสัญญากับสโมสรถึงแค่สิ้นสุดปี 2021
เขาคือศูนย์กลางในการสร้างแมนฯ ซิตี้ในยุคปัจจุบัน นักฟุตบอลที่มีในทีมคือคนที่อยากร่วมงานกับกุนซืออัจฉริยะสักครั้งในชีวิต เช่นเดียวกับว่าที่นักเตะใหม่ในอนาคต ที่หากจะย้ายมาเล่นในเอติฮัดก็เป็นเพราะอยากร่วมงานกับเป๊ป
ถ้าไม่มีเขาอยู่ แมนฯ ซิตี้จะแตก สิ่งดีๆ ที่ทำมาเป็นเวลาหลายปีจะพัง และการจะกอบกู้กลับมาต้องใช้ความพยายามอย่างมาก
อย่างไรก็ดีเป๊ปกลับเป็นคนแรกที่ประกาศบอกทีมว่า ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามเขาจะไม่ไปไหน
การประกาศของเขาช่วยคลี่คลายความกังวลใจของลูกทีมได้อย่างมาก ก่อนที่สถานการณ์จะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นสำหรับเรื่องนอกสนาม เมื่อพวกเขารอดพ้นจากโทษแบนได้จากการตัดสินของอนุญาโตตุลาการกีฬาที่เห็นต่างจาก UEFA เกี่ยวกับหลักฐานการกระทำผิด
แต่ถึงจะอย่างนั้นเป๊ปก็ประวิงเวลาอยู่พักใหญ่ในเรื่องอนาคตของตัวเอง
ระหว่างนั้นเองที่เขาเริ่มเป็นข่าวกับสโมสรใหญ่ในยุโรป ซึ่งมีทั้งบาร์เซโลนา ต้นสังกัดเก่า และอินเตอร์ มิลาน สโมสรยักษ์ใหญ่ของอิตาลีที่อยากจะกลับมาทวงความยิ่งใหญ่คืนอีกครั้ง หลังปล่อยให้ยูเวนตุสครองความเป็นหนึ่งมายาวนาน
โดยเฉพาะบาร์ซาที่สถานการณ์ภายในสโมสรเริ่มคลี่คลาย หลังการประกาศลาออกจากตำแหน่งของ โจเซป มาเรีย บาร์โตเมว และคณะบอร์ดบริหาร ซึ่งจะนำไปสู่การเลือกตั้งใหม่ในเดือนมกราคมปีหน้า หนึ่งในผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานสโมสร และเป็นตัวเต็งด้วยอย่าง บิคตอร์ ฟอนต์ ประกาศอย่างชัดเจนว่า เขาต้องการได้เป๊ปมาอีกครั้ง
เหตุผลเพราะบาร์ซาต้องการสร้างทีมชุดใหม่ และเป๊ปอาจทำให้ ลิโอเนล เมสซี เปลี่ยนใจอยู่กับทีมต่อไปได้
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือกุนซือเลือดคาตาลันปฏิเสธโอกาสอย่างชัดเจน โดยให้เหตุผลว่าเรื่องระหว่างเขากับบาร์ซานั้น ‘จบไปแล้ว’
และเรื่องนั้นไม่มีวันเริ่มใหม่ได้
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเองที่ทางด้านเจ้าของสโมสรตัวจริงจากอาบูดาบีเริ่มถามไถ่เป๊ปอย่างจริงจังว่า เขาจะตัดสินใจอย่างไรในอนาคต เพราะสโมสรเองก็ไม่สามารถจะรอคอยความชัดเจนจากเขาเพียงคนเดียวได้ ทุกวันที่ผ่านไปคือต้นทุนทางเวลาที่สูญเสีย
แรงกดดันนั้นหนักและชัดเจนขึ้น แต่บรรยากาศในการเจรจานั้นกลับเป็นไปด้วยดี
จนในที่สุดเป๊ปก็ตัดสินใจที่จะฝากอนาคตกับแมนฯ ซิตี้ต่อไปอีก 2 ปี ซึ่งแม้จะดูเป็นสัญญาระยะสั้น แต่สำหรับกุนซือที่ไม่เคยอยู่กับทีมไหนนานๆ อย่างเป๊ปแค่นี้ก็ถือว่ายาวแล้ว
ทั้งนี้ เพราะหากเขาอยู่จนครบสัญญาก็จะอยู่กับซิตี้นานถึง 7 ปี ซึ่งเขาไม่เคยอยู่กับสโมสรไหนเกิน 5 ปีมาก่อน (บาร์เซโลนา 4 ปี, บาเยิร์น มิวนิก 3 ปี) เรียกว่าผิดธรรมชาติอยู่บ้าง
เหตุผลที่ทำให้เขาไม่สามารถอยู่กับทีมใดทีมหนึ่งได้นานนั้น เกิดจากการที่การทำทีมฟุตบอลในสไตล์ของเป๊ป กวาร์ดิโอลา ใส่ใจทุกรายละเอียด และต้องใช้พลังมหาศาล ไม่ต่างอะไรจากการสกัดน้ำผลไม้ที่จะรีดเอาทุกหยดทุกหยาดออกมาจนหมดสิ้น
ไม่เฉพาะเขาเองที่หมดไฟ นักฟุตบอลเองที่อยู่ภายใต้การคุมทีมของเขาก็จะเริ่มหมดใจด้วยเช่นกัน และสิ่งที่จะตามมาคือผลงานที่ตกต่ำของทีม ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับแมนฯ ซิตี้ มาต่อเนื่องตั้งแต่ในฤดูกาลที่แล้ว
นั่นทำให้การต่อสัญญาครั้งนี้น่าสนใจ เพราะมันเป็นสิ่งใหม่ที่เป๊ปไม่เคยทำมาก่อน เป็นความท้าทายใหญ่ที่เขาตัดสินใจที่จะเผชิญ
เปรียบให้เห็นภาพง่ายๆ สำหรับคนสมัยใหม่คือ เป๊ป กวาร์ดิโอลา กำลังออกจากคอมฟอร์ตโซนของตัวเอง
งานต่อจากนี้ของเขาคือการสร้างแมนฯ ซิตี้ชุดใหม่ที่จะต้องประสบความสำเร็จให้ได้เหมือนเก่า ซึ่งงานนั้นได้เริ่มไปบ้างแล้วกับการถ่ายเทเลือดนักเตะ เสาหลักอย่าง แว็งซองต์ กอมปานี และ ดาบิด ซิลบา จากไป นักเตะใหม่อย่าง รูเบน ดิอาส และ เฟร์ราน ตอร์เรสเข้ามา
แน่นอนว่าเป๊ปต้องหาตัวแทนของ แฟร์นันดินโญ และ เซร์คิโอ อเกวโร สองตัวเก๋าที่เริ่มโรยราลงทุกวัน แต่อย่างน้อยองค์ประกอบในทีมเวลานี้ยังถือว่าดีกว่าอีกหลายทีมมาก
อย่างน้อยพวกเขายังมีเดอ บรอยน์ เป็นเสาหลักของทีม ที่เหลือคือการที่จะปรับแต่งอย่างไรให้ทีมช่วยมิดฟิลด์อัจฉริยะชาวเบลเยียมได้มากที่สุด
และแน่นอนว่าการผลักดันดาวรุ่งจากอคาเดมี ซึ่งแมนฯ ซิตี้เป็นหนึ่งในทีมที่มีอคาเดมีที่ดีที่สุดของอังกฤษก็เป็นโจทย์ที่น่าสนใจ
ฟิล โฟเดน เพชรเม็ดงามที่ประคบประหงมมาหลายปี ตอนนี้เริ่มเปล่งกระกายเมื่อกระทบแสงไฟมากขึ้นเรื่อยๆ แต่จะมีใครตามเขาขึ้นมาได้อีกไหม
นี่คือภาพการทำงานของเป๊ปนับจากนี้ ซึ่งซิตี้เองก็เป็นไม่กี่ทีมในโลกที่จะสนับสนุนเขามากขนาดนี้
และในทางตรงกันข้าม หากมองในภาพที่ใหญ่ขึ้น การยังอยู่ของเขาเป็นไปตามสิ่งที่กลุ่มทุนจากอาบูดาบีปรารถนา เพราะเป้าหมายของพวกเขายังไม่สำเร็จ
ปลายทางของการเป็นสุดยอดทีมของโลก เป็นมหาอำนาจทางเกมลูกหนัง เป็นจ้าวยุโรป ครองโลกลูกหนังทั้งใบยังอยู่อีกไกลพอสมควร
แต่ด้วยคนอย่าง เป๊ป กวาร์ดิโอลา พวกเขายังพอมีความหวัง เพราะถ้าไม่ใช่เป๊ปก็ยากที่จะหาใครที่จะทำได้
นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ The Journey Continues สำหรับทั้งเป๊ปและแมนฯ ซิตี้
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
อ้างอิง:
