‘ชูศักดิ์-พริษฐ์’ เสนอเปิดประชุมสภาวิสามัญ ถกแก้กฎหมายประชามติโดยเร็ว คาด 6 เดือนหน้าทำประชามติครั้งแรก ตรงกับเลือกตั้ง อบจ. หรือไม่ เป็นเรื่องของรัฐบาล
วันนี้ (2 พฤษภาคม) ที่ทำเนียบรัฐบาล ชูศักดิ์ ศิรินิล สส. แบบบัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย พริษฐ์ วัชรสินธุ สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เปิดเผยหลังเข้าประชุมร่วมกับคณะกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติเพื่อแก้ไขความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 พิจารณายกร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .… เพื่อแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. 2564
ชูศักดิ์กล่าวว่า ตนเองมาในฐานะผู้ให้คำปรึกษาแนวทางที่รัฐบาลจะเดินในการทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติว่าให้ทำประชามติ 3 ครั้ง และให้แก้กฎหมายประชามติ พ.ศ. 2564 ให้เรียบร้อยก่อน จึงมีมติ ครม. ให้ทำประชามติครั้งแรก ดังนั้นภารกิจของคณะกรรมการชุดนี้ต้องยกร่างกฎหมายประชามติฉบับแก้ไข ซึ่งเนื้อหาจะไม่ต่างกับร่างแก้ไขที่พรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลเสนอ คือแก้เกณฑ์เสียงเกินกึ่งหนึ่งสองชั้น (Double Majority) เป็นการใช้เสียงข้างมากเกินกว่ากึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิ โดยจะมีร่างฯ ของรัฐบาลเข้ามาประกบเป็นร่างฯ ที่ 3
ชูศักดิ์เผยว่า ตนเองเห็นพ้องกับพริษฐ์ ว่าต้องใช้ขั้นตอนปกติผ่านสภาผู้แทนราษฎรในการแก้ไข พ.ร.บ.ประชามติ ตามด้วยวุฒิสภา จึงเห็นว่าควรต้องเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญเพื่อให้มีการพิจารณาแก้ไขด้วยความรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องรอการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 ในเดือนมิถุนายนนี้ ซึ่งหากดำเนินการอย่างรวดเร็วก็คาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 3 เดือน ส่วนวุฒิสภาที่จะรับร่างฯ ไปพิจารณาก็จะเป็นวุฒิสภาชุดใหม่ หวังว่าจะราบรื่น
ขณะที่พริษฐ์ระบุว่า จากการประชุมทำให้ทราบว่าสัปดาห์ที่แล้ว ตัวแทนฝั่งรัฐบาลมีการสื่อสารผิดพลาด ที่เผยว่าการทำประชามติครั้งแรกจะเกิดขึ้นประมาณปลายเดือนกรกฎาคมหรือสิงหาคม แต่ความจริงมติ ครม. กำหนดให้นับหนึ่งการทำประชามติก็ต่อเมื่อแก้ไข พ.ร.บ.ประชามติ เสร็จ
พริษฐ์กล่าวด้วยว่า พรรคก้าวไกลมีความกังวลกับคำถามประชามติ และหวังให้มีการทบทวนคำถามให้เปิดกว้าง เป็น ‘ท่านเห็นชอบหรือไม่ ให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่’ จะทำให้โอกาสทำประชามติผ่านมีสูงกว่า คะแนนเสียงเป็นเอกภาพ อย่างไรก็ตาม เข้าใจว่าจุดยืนของรัฐบาลไม่ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 1 และหมวด 2 แต่คำถามที่เปิดกว้างก็ยังทำให้รักษาจุดยืนได้
