×

ไอติม พริษฐ์ ย้ำไม่กลับประชาธิปัตย์ ยืนยันก้าวไกลมีนโยบายแก้ ม.112 เชื่อไม่ใช่อุปสรรค มองเป็นทิศทางขยายแนวร่วม

02.05.2022
  • LOADING...
ไอติม พริษฐ์

วันนี้ (2 พฤษภาคม) พริษฐ์ วัชรสินธุ หรือ ไอติม ผู้จัดการการสื่อสารและการรณรงค์นโยบายพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์รายการ เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand ดำเนินรายการโดย ดนัย เอกมหาสวัสดิ์ และ อมรรัตน์ มหิทธิรุกข์ เผยแพร่ทางช่อง 9 MCOT HD หมายเลข 30

 

ผู้ดำเนินรายการถามว่า ไปร่วมทำกิจกรรมกับพรรคก้าวไกลมา 1-2 ปีแล้ว ทำไมเพิ่งมาเปิดตัวเป็นทางการในจังหวะนี้ เมื่อวันที่ 30 เมษายนที่ผ่านมา

 

พริษฐ์กล่าวว่า ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา งานหลักคือบริหารบริษัทสตาร์ทอัพเพื่อการศึกษา แน่นอนมีส่วนรณรงค์แก้ไขรัฐธรรมนูญและมีการทำงานกับคณะก้าวหน้าและพรรคก้าวไกลบางโปรเจ็กต์ไปด้วย แต่ว่างานหลักคือบริหารบริษัท 

 

ถ้าจะกลับมาทำงานการเมืองต้องมั่นใจว่าสามารถถ่ายทอดงานทั้งหมดที่บริษัทให้ผู้บริหารชุดใหม่ได้ ซึ่งแน่นอนในฐานะสตาร์ทอัพที่เพิ่งเริ่มมาใหม่ก็ใช้เวลาสักพักหนึ่ง 

 

ความจริงก็ช่วงต้นปีนี้ เป็นจุดที่ประเมินว่าสามารถถ่ายทอดภารกิจทั้งหมดที่บริษัทให้กับผู้บริหารชุดใหม่ได้ ก็เลยนำมาสู่การตัดสินใจกลับเข้าสู่การเมืองอย่างเต็มตัวอีกรอบหนึ่ง

 

ผู้ดำเนินรายการถามว่าสถานการณ์ในพรรคประชาธิปัตย์ที่ฝุ่นคลุ้งและเริ่มมีเสียงถามหา อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ถ้าหากอภิสิทธิ์มาชวนพริษฐ์กลับไปช่วยกู้สถานการณ์พรรคประชาธิปัตย์ จะกลับไปหรือไม่ 

 

พริษฐ์กล่าวว่า ไม่กลับประชาธิปัตย์ และยืนยันทุกการตัดสินใจทางการเมืองเกี่ยวข้องและขึ้นอยู่กับความคิดและอุดมการณ์ของตนว่าอะไรเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับประเทศ และความจริงตั้งแต่ปี 2562 ที่พรรคตัดสินใจเข้าร่วมรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา แล้วเราตัดสินใจลาออกจากสมาชิกพรรคก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับพรรคประชาธิปัตย์ และไม่มีแผนใดๆ ที่จะกลับไป 

 

ถามย้ำอีกครั้งว่าถ้าอภิสิทธิ์ชวนกลับไปกอบกู้ประชาธิปัตย์จะไม่ทบทวนเลยหรือ พริษฐ์กล่าวย้ำว่าไม่กลับประชาธิปัตย์ 

 

พริษฐ์กล่าวถึงตำแหน่งผู้จัดการการสื่อสารและการรณรงค์นโยบายพรรคก้าวไกลว่า เป็นการทำงานร่วมกับฝ่ายต่างๆ ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำของกระบวนการทำนโยบาย ในส่วนต้นน้ำคือการทำงานกับทางทีมนโยบายพรรค ทาง ส.ส. พรรค เพื่อจะวิเคราะห์ปัญหาประเทศเพื่อพัฒนาชุดนโยบายที่คิดว่าน่าจะตอบโจทย์ความต้องการของประชาชน ณ วันนี้มากที่สุด ต้องบอกว่าในส่วนต้นน้ำพรรคก้าวไกลดำเนินการมาเป็นระยะหนึ่งแล้ว และมีเครื่องปรุงที่ค่อนข้างดีอยู่แล้วในระดับหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นนโยบายจากทีมศูนย์กลาง ไม่ว่าจะเป็นร่างกฎหมายที่ ส.ส. เสนอ หรือช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีการตั้งหน่วยงานชื่อว่า Think Forward Center เป็น Think Tank คลังสมองของพรรคในการทำงานวิจัยและคิดนโยบายออกมา 

 

ฉะนั้นในมุมหนึ่ง การทำงานกับทีมต้นน้ำเพื่อมั่นใจว่าชุดนโยบายที่ออกมามีความรอบคอบ ทำได้จริง สร้างกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนให้มาแสดงความคิดเห็นด้วย 

 

ในที่สุดจะมาจบที่ปลายน้ำของกระบวนการทางนโยบายคือการสื่อสารกับประชาชน โดยเฉพาะในการเตรียมพร้อมกับการเลือกตั้งที่จะมาถึง ว่าจะสื่อสารกับประชาชนอย่างไร ชุดนโยบายทั้งหมดที่เรามีจะสรุปออกมาในรูปแบบไหน แล้วจะสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนอย่างไรว่าสิ่งที่เราเสนอนอกจากจะดีกับเขาแล้วมันสามารถทำได้จริง 

 

ในฐานะพรรคการเมืองใหม่อย่างพรรคก้าวไกลก็เป็นภาระพิสูจน์ที่สูงพอสมควรว่าเราจะทำอย่างไรให้ประชาชนมั่นใจว่า ถ้าเรามาเป็นรัฐบาลจะสามารถดำเนินนโยบายได้จริง เป็นการทำงานตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ก็จะได้มีโอกาสประสานงานกับทุกภาคส่วนของพรรค 

 

พริษฐ์ยังได้กล่าวถึงการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่าฯ กทม.) ด้วยว่า ถ้าพรรคก้าวไกลได้รับความไว้วางใจจากชาว กทม. ในการให้ วิโรจน์ ลักขณาอดิศร เข้าไปเป็นผู้ว่าฯ กทม. ก็จะเป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่พรรคก้าวไกลจะได้พิสูจน์ให้เห็นถึงทักษะการบริหาร จะเริ่มต้นจากเมืองก่อน ก่อนที่จะนำเสนอในระดับประเทศ 

 

ผู้ดำเนินรายการถามว่า นโยบายที่เคยเป็นประเด็นสายล่อฟ้า เช่น นโยบายจะแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จะยังมีอยู่หรือไม่ หรือถอดบทเรียนแล้วจะพักไว้ก่อน

 

พริษฐ์กล่าวว่า ยังจะมีอยู่ และทาง พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค ก็ได้ยืนยันและประกาศไว้บนเวทีที่ประชุมใหญ่เมื่อวันเสาร์เช่นกัน เราต้องยืนยันว่ากฎหมายฉบับไหน ไม่ว่าเรื่องไหนก็ตามเป็นปัญหาอย่างไร ก็ต้องดำเนินการแก้ไข ฉะนั้นไม่ได้เปลี่ยนทิศทางอะไร 

 

“คือผมคิดว่าพรรคก้าวไกลเราต้องยืนยันว่าอะไรก็ตามที่เป็นปัญหา เราก็ต้องมาแก้ไขอย่างตรงไปตรงมา เอาข้อเท็จจริง ข้อมูลมาพูดอย่างตรงไปตรงมา ไม่ว่าประเด็นนั้นจะเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนมากน้อยแค่ไหน ผมคิดว่าถ้าเราสื่อสารอย่างตรงไปตรงมากับประชาชนและแก้ไขให้ออกมาเป็นสิ่งที่เราคิดว่าจะดีที่สุดสำหรับการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพประชาชนและคุณภาพชีวิตของประชาชน ก็จำเป็นต้องทำทุกเรื่องครับ”

 

ผู้ดำเนินรายการถามว่าเมื่อยืนยันอย่างนี้จะกลายเป็นข้อจำกัดในการขยายมวลชนหรือไม่ ในความเป็นพรรคการเมืองของพรรคก้าวไกล 

 

พริษฐ์กล่าวว่า “ผมคิดว่าตรงนี้ไม่ได้เป็นข้อจำกัด ยกตัวอย่างปัญหากฎหมายอาญามาตรา 112 ผมเชื่อว่าประชาชนหลายคนก็เห็นว่ามีปัญหาที่ต้องมีการแก้ไขจริง ไม่ว่าจะเป็นความหนักของโทษที่ปัจจุบันมีโทษจำคุก 3-15 ปี ซึ่งสูงมาก ไม่ว่าจะเปรียบเทียบในมิติไหนก็ตาม ไม่ว่าจะเปรียบเทียบกับกฎหมายฉบับอื่นในประเทศ โทษเท่ากับการฆ่าคนโดยไม่เจตนา หรือเปรียบเทียบกับโทษของกฎหมายหมิ่นประมาทในประเทศอื่นทั่วโลกที่ใช้ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข พอเราสื่อสารอย่างตรงไปตรงมาว่าจากข้อมูลจากข้อเท็จจริงมีปัญหาเช่นนี้ เราจะดำเนินการแก้ไขอย่างไร ผมเชื่อว่าประชาชนเข้าใจ และเป็นสิ่งที่ไม่ใช่อุปสรรคต่อการขยายแนวร่วม แต่กลับจะเป็นการพยายามขยายแนวร่วมในประเด็นเหล่านี้เพิ่มเติมขึ้นด้วยซ้ำครับ” พริษฐ์กล่าว 

 

ผู้ดำเนินรายการถามว่า การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ครั้งนี้จะเป็นตัวชี้วัดบางประการต่ออนาคตทางการเมืองของพรรคก้าวไกล ทางกลุ่มแกนนำของพรรคประเมินไว้อย่างไร

 

พริษฐ์กล่าวว่า ทุกการเลือกตั้งเป็นโอกาสสร้างความเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว เราไม่ได้ทำงานหนักในการมานั่งประเมินว่าโอกาสจะเป็นอย่างไร สิ่งที่เราทำงานหนักคือพยายามจะนำเสนอชุดนโยบายที่วิโรจน์ประกาศไว้แล้วมี 12 ด้าน พยายามจะสร้างเมืองที่คนเท่ากัน พยายามเผยแพร่ชุดความคิดนี้ให้กับประชาชนมากที่สุด แน่นอนทางที่ดีที่สุดคือประชาชนให้ความไว้วางใจให้วิโรจน์เข้าไปบริหาร กทม. แต่อย่างน้อยถ้าชุดนโยบายที่เรานำเสนอไว้มันถูกสนับสนุนโดยคนในสังคม หรือผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. คนอื่นหยิบยกไปดำเนินการหรือปฏิบัติหากชนะการเลือกตั้งก็ยินดี เป้าหมายของพรรคก้าวไกลคือการผลักดันวาระการเปลี่ยนแปลงที่เราคิดว่าดีที่สุดสำหรับประเทศ เรื่องตำแหน่งไม่ได้เป็นส่วนสำคัญ แน่นอนการเข้าไปทำเองก็จะเป็นสิ่งที่เราเชื่อมั่นมากกว่า ไว้วางใจมากกว่า แต่ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือผลักดันวาระการเปลี่ยนแปลงตรงนี้

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising