×

พรรคร่วมฝ่ายค้าน ยืนยันประสานเสียงจับมือทำงานตรวจสอบรัฐบาล อัดล้มเหลวบริหารประเทศ 9 ด้าน ย้ำไม่มีปัญหาหมางใจกันแล้ว

07.12.2021
  • LOADING...
opposition party meeting

วันนี้ (7 ธันวาคม) ที่โรงแรม SC Park พรรคร่วมฝ่ายค้านนัดหมายจัดกิจกรรม ‘ฝ่ายค้านรวมใจ สรรค์สร้างชีวิตใหม่เพื่อประชาชน’ โดยมี นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย, พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล, วันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ, พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย, นิคม บุญวิเศษ หัวหน้าพรรคพลังปวงชนไทย และ ศรัณย์วุฒิ ศรัณย์เกตุ หัวหน้าพรรคเพื่อชาติ ซึ่งเข้าร่วมการประชุมพรรคฝ่ายค้านเป็นครั้งแรกหลังย้ายจากเพื่อไทย ก่อนขยับนั่งเก้าอี้หัวหน้าพรรคเพื่อชาติ

 

ขณะที่การประชุมในวันนี้ ยังมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และตัวแทนแต่ละพรรคเข้าร่วมประชุมด้วย อาทิ วิโรจน์ ลักขณาอดิศร, เบญจา แสงจันทร์, ปดิพัทธ์ สันติภาดา, ชัยธวัช ตุลาธน จากพรรคก้าวไกล ขณะที่พรรคเพื่อไทยมี ธีรรัตน์ สำเร็จวานิชย์, ภูมิธรรม เวชยชัย, ชัยเกษม นิติสิริ, ประเสริฐ จันทรรวงทอง, อรุณี กาสยานนท์ เป็นต้น

 

หลังการประชุมผ่านไปเป็นเวลาชั่วโมงครึ่ง นพ.ชลน่าน เป็นตัวแทนพรรคร่วมฝ่ายค้าน แถลงต่อสื่อมวลชนในหัวข้อ การทำงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน และความล้มเหลวของรัฐบาลในรอบปี 2564

 

พรรคร่วมฝ่ายค้าน ซึ่งประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล พรรคเสรีรวมไทย พรรคประชาชาติ พรรคเพื่อชาติ และพรรคพลังปวงชนไทย ได้ร่วมกันทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลตลอดระยะเวลาร่วม 3 ปีที่ผ่านมา โดยอาศัยกลไกในระบบรัฐสภาทั้งการตั้งกระทู้ การยื่นญัตติ ร่วมกันอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลทั้งสิ้น 3 ครั้ง ได้ยื่นคำร้องต่อองค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญหลายเรื่อง เรื่องสำคัญๆ หลายเรื่องถูกตีตกโดยองค์กรเหล่านั้นอย่างน่าเสียดาย อาทิ เรื่องการถวายสัตย์ต่อพระมหากษัตริย์ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ การขัดกันแห่งผลประโยชน์ใช้บ้านพักอาศัยเป็นสวัสดิการของทางราชการในกรมทหารแม้ว่าจะเกษียณอายุราชการมาแล้ว การมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญว่าตำแหน่งหัวหน้า คสช. ไม่ใช่เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ เป็นต้น นอกจากนี้แต่ละพรรคยังได้ทำหน้าที่ตนในการแสดงความคิดเห็นและวิพากษ์วิจารณ์ พร้อมข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้กับรัฐบาลมาโดยตลอด จากการประมวลสรุปผลการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลในรอบปี 2564 พรรคร่วมฝ่ายค้านเห็นร่วมกันว่า การบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลมีความผิดพลาดล้มเหลวในหลายด้าน ได้แก่

 

​1. ภาวะความเป็นผู้นำของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีความบกพร่องติดกับดักการใช้อำนาจจนเคยชิน ทำให้การตัดสินใจในหลายเรื่องขาดการพิจารณาอย่างรอบคอบ ดังเช่น การพยายามใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ เพื่อจำกัดสิทธิเสรีภาพของบุคคลด้วยการให้อำนาจเจ้าของค่ายมือถือระงับการใช้อินเทอร์เน็ตของบุคคลจนถูกประชาชนฟ้องคดีต่อศาล สุดท้ายก็มากลับลำยกเลิกคำสั่งดังกล่าว อีกกรณีหนึ่งเป็นเรื่องสืบเนื่องจากเมื่อครั้งที่ตนเองเป็นหัวหน้า คสช. ได้ใช้อำนาจตามมาตรา 44 สั่งปิดเหมืองทองอัคราจนถูกฟ้องคดีต่ออนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ เมื่อสถานการณ์เพลี่ยงพล้ำจนอาจต้องจ่ายเงินให้บริษัทนับหมื่นล้าน สุดท้ายก็ยอมอนุญาตให้เปิดเหมืองและเพิ่มพื้นที่อีกจำนวนมาก ขณะเดียวกันก็ใช้งบประมาณแผ่นดินไปต่อสู้คดีนี้อีกหลายร้อยล้านบาท สิ่งนี้คือความบกพร่องในภาวะผู้นำของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เห็นได้ชัดเจน

 

​2. ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน จะเห็นได้ว่าผลการวิจัยของหลายองค์กรพบว่า ในสมัยรัฐบาลนี้มีการทุจริตคอร์รัปชันสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่กลับพบว่าหน่วยงานที่มีหน้าที่ตรวจสอบ ทั้ง คณะกรรมการ ป.ป.ช. และคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน กลับไม่สามารถดำเนินการตรวจสอบการทุจริตให้เห็นเป็นรูปธรรมได้แม้แต่เรื่องเดียว โดยที่เป็นข่าวครึกโครมคือ กรณีการจัดซื้อถุงมือยางขององค์การคลังสินค้า (กระทรวงพาณิชย์) ซึ่งรัฐเสียหายนับแสนล้านบาท และมีข้อกล่าวหาว่ามีนักการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย แต่เรื่องกลับเงียบหาย รวมถึงการยื่นตรวจสอบรัฐมนตรีจากกรณีการผลักดันการซื้อขายที่ดินนิคมอุตสาหกรรมอำเภอจะนะ ส่อเป็นการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ และการยื่นตรวจสอบข้อพิพาทสัมปทานดาวเทียมไทยคม นอกจากนี้ยังมีเรื่องการทุจริตจัดซื้อชุดตรวจโควิด ATK การทุจริตจัดซื้อวัคซีน การทุจริตการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพ ซึ่งมีหลายเรื่องการทุจริตในการประมูลก่อสร้างเตาเผาขยะมูลฝอยของกรุงเทพมหานคร เป็นต้น เรื่องการทุจริตเหล่านี้พรรคร่วมฝ่ายค้านได้ยื่นขอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ตรวจสอบแล้ว อาทิ การบุกรุกที่ดินการรถไฟเขากระโดง เนื้อที่ 5,000 ไร่เศษ หรือการประมูลขายยางโล๊ะสต๊อก 1.04 แสนตัน เป็นต้น บางเรื่องก็เสนอข้อมูลผ่านสื่อมวลชนและการอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่ไม่เคยทราบถึงความคืบหน้าในการดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเลย

 

​3. ความล้มเหลวในการรับมือกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด รัฐบาลประเมินการแพร่ระบาดของโรคโควิด ต่ำกว่าความเป็นจริงและขาดองค์ความรู้ จึงขาดมาตรการเตรียมความพร้อมทำให้ตัดสินใจผิดพลาดจนทำให้การระบาดขยายวงกว้างจนระบบสาธารณสุขมีไม่เพียงพอที่จะรองรับผู้ป่วยได้ ถึงขนาดต้องให้ผู้ป่วยรักษาตัวเองที่บ้าน บางคนทนไม่ไหวถึงกับนอนตายนอกบ้านหลายราย ขณะที่การจัดการเรื่องวัคซีนก็มีความผิดพลาดไม่ทันต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดจนมีผู้ติดเชื้อเกินกว่า 20,000 คนต่อวัน จนปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อสะสมนับตั้งแต่เดือนเมษายน 2564 กว่า 2 ล้านคน และผู้เสียชีวิตกว่า 20,000 คน ขณะที่มาตรการในการป้องกันและควบคุมโรคก็ไม่แน่นอน กลับไปกลับมา ส่งผลให้ประชาชนต้องตกงานจำนวนมาก ธุรกิจต้องปิดกิจการ ทำให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศที่ตกต่ำอยู่แล้วต้องทรุดตัวลงต่ำสุดในรอบกว่า 20 ปี

 

​4. การใช้และบริหารงบประมาณที่ผิดพลาด ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ในขณะที่รัฐบาลต้องกู้เงินจำนวนมาก แต่เงินที่ได้มากลับไม่สามารถจัดสรรให้เกิดความเหมาะสมกับสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด มีการใช้งบประมาณไปเพื่อการหาเสียงจำนวนมาก แทนที่จะใช้งบประมาณเพื่อรองรับระบบสาธารณสุขประเทศ กลับใช้เพื่อการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ทั้งที่ไม่มีสถานการณ์ของการสู้รบใดๆ รัฐบาลนี้ถือเป็นรัฐบาลที่กู้เงินสูงสุดกว่าทุกรัฐบาลที่ผ่านมา แต่กลับไม่สามารถนำเม็ดเงินมาบริหารจัดการให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศฟื้นตัวได้ และไม่สามารถทำให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ดีขึ้นได้ ขณะเดียวกันกลับพบว่ามีข่าวทุจริตคอร์รัปชันไปทั่ว มีการกู้เงินจนสุดเพดาน ถึงขนาดที่ต้องมีการปรับเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะของประเทศ

 

​5. ความล้มเหลวในการปฏิรูปการเมือง ทำลายระบบนิติรัฐนิติธรรม การปฏิรูปการเมืองที่ พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวอ้างเป็นเพียงลมปาก ปราศจากความคืบหน้าให้เห็นเป็นรูปธรรม ในทางกลับกัน พฤติกรรมของรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ กลับทำในทิศทางตรงกันข้าม ทำให้การเมืองถอยหลัง ทั้งความพยายามทุกทางในการสืบทอดอำนาจของตนเอง ขัดขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มีการทำลายระบบรัฐสภาด้วยการทำลายพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม มีการซื้อตัวนักการเมือง มีการกระทำการให้มีการยุบพรรค ย้ายพรรค ด้วยวิธีการที่ไม่เป็นตามวิธีการประชาธิปไตย ทำให้ระบบรัฐสภาถูกวิพากษ์วิจารณ์ เป็นรอยด่างว่าเป็นเพียงเวทีสำหรับนักการเมืองเพื่อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กันเท่านั้น ซึ่งทั้งหมดคือการทำลายการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

 

6. รัฐบาลคุกคามและละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน มุ่งใช้กฎหมายเพื่อเป็นเครื่องมือทางการเมือง เนื่องจากนายกรัฐมนตรีได้ผันตัวเองจากหัวหน้า คสช. ซึ่งมาจากการยึดอำนาจมาสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญที่สร้างความได้เปรียบให้ตนเองในการเลือกตั้ง แม้สถานการณ์ของประเทศจะมีการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปี 2562 แต่กลับไม่ได้รับการยอมรับจากนานาประเทศว่าประเทศไทยเป็นประชาธิปไตย โดยถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะกลไกในระบบกฎหมายของประเทศ โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ในส่วนของรัฐบาล โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีเองก็ขาดจิตสำนึกประชาธิปไตย ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นต่างๆ เมื่อมีการแสดงออกทางการเมืองหรือการชุมนุมจึงมักเห็นภาพเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ความรุนแรงในการปราบปรามผู้ชุมนุมอยู่บ่อยครั้ง นอกจากนี้ยังมีเจตนาในการบิดเบือนการใช้กฎหมายเกี่ยวกับความมั่นคง มาดำเนินคดีกับประชาชนที่ชุมนุมอย่างสันติ ทำให้เกิดการดำเนินคดีกับประชาชนอย่างไม่เป็นธรรม จนมีจำนวนผู้ถูกดำเนินคดีสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่รัฐบาลเองมีปฏิบัติการทางข้อมูลข่าวสารและใช้กลไกของกระทรวงดีอีเอส เพื่อมุ่งจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนบนข้ออ้างของการต่อต้านข่าวปลอม

 

​7. ความล้มเหลวในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ผู้นำหรือตัวนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ แต่กลับไม่มีความเข้าใจถึงปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ ทำให้ประเทศยากจน ประชาชนเจ็บป่วยโดยถ้วนหน้า เศรษฐกิจของประเทศไทยยุค พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา จากเสาหลักของเอเชียกลายเป็นเสาที่หักล้มลงจากบริหารงานของรัฐบาล อุ้มชูคนรวย ซึ่งเป็นส่วนน้อยของประชาชนในประเทศ บดขยี้คนจนที่เป็นส่วนมากของประชาชนในประเทศ พาคนไทยเข้าสู่การเสื่อมถอยและสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ ทำลายสถิติการกู้เงิน ทำลายสถิติการขาดดุลงบประมาณ ทำลายสถิติการสร้างคนจน ทำลายสถิติหนี้สาธารณะหนี้ครัวเรือน เกิดปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทั้งภาคอุตสาหกรรม ภาคบริการ และภาคการเกษตร หยุดชะงักพร้อมกัน การจัดเก็บรายได้ของรัฐต่ำกว่าประมาณการเกือบทุกปี งบประมาณปี 2565 ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์โควิดในปัจจุบัน เป็นงบประมาณที่ผิดที่ ผิดทิศ ผิดทาง และผิดเวลา การใช้เงินตาม พ.ร.ก.กู้เงินทั้ง 2 ฉบับ มีปัญหาทั้งในมิติของมาตรการและความล่าช้าในการเบิกจ่าย กลายเป็นการแจกหว่านแหไร้ทิศทาง ไม่สามารถประคับประคองเศรษฐกิจในช่วงวิกฤตได้ จนทำให้เศรษฐกิจประเทศไทยเสียหายเป็นอันดับต้นๆ ของโลก และยังเป็นเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้าอันดับท้ายๆ ของโลก อีกทั้งรัฐบาลยังไร้ทิศทางว่าจะสามารถฟื้นเศรษฐกิจในอนาคตได้อย่างไร

 

​8. ความล้มเหลวด้านการปฏิรูปการศึกษา 7 ปีที่ผ่านมา เด็กไทยหลุดออกจากระบบการศึกษา 1.3 ล้านคน ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาพุ่งสูง เด็กยากจนถูกปล่อยให้ไร้โอกาส โดยรัฐไร้การเหลียวแล ยิ่งในช่วงโควิด เด็กจบใหม่ไร้อนาคต ไร้ฝัน ไร้งาน คนตกงานกว่า 9 แสนคน การวัดผลคะแนนและการประเมินของเด็กไทยในระดับโลกตกต่ำทุกด้านทั้ง PISA และล่าสุดผลสอบด้านการสื่อสารภาษาอังกฤษของเด็กไทยปี 2564 ยังต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน

 

​9. ปัญหายาเสพติดและอาชญากรรมร้ายแรง จะเห็นได้ว่าปัญหายาเสพติดภายใต้การบริหารงานของรัฐบาลชุดนี้มีความรุนแรงและแพร่ระบาดไปทั่ว มีการขนส่งยาเสพติดล็อตใหญ่ๆ จำนวนมาก ทั้งขนส่งเข้ามายังประเทศไทยและส่งออกไปยังต่างประเทศจนเป็นข่าวดังไปทั่วโลก ขณะที่ข่าวการจับยาเสพติดมีเจ้าหน้าที่ของรัฐระดับสูงเข้าไปเกี่ยวข้อง แต่การดำเนินการสอบสวนกลับไม่สามารถเอาผิดได้ เช่นเดียวกับปัญหาอาชญากรรมที่มีมากขึ้นรายวัน ประชาชนไม่มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน

 

​ข้างต้นเป็นเพียงบางส่วนของความผิดพลาด ล้มเหลว และส่อทุจริตของรัฐบาล พรรคร่วมฝ่ายค้านจะทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลอย่างเข้มข้นต่อไปทั้งในเรื่องความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ การละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน ความล้มเหลวในการปฏิรูปประเทศ รวมถึงพฤติกรรมการบริหารประเทศแบบลุแก่อำนาจ เอื้อประโยชน์ให้แก่ตนเองและพวกพ้อง และเนื่องจากระยะเวลานี้น่าจะเป็นช่วงสุดท้ายของรัฐบาลนี้ ใกล้ที่จะมีการเลือกตั้งครั้งต่อไป เราจะจับตาและให้ความสำคัญต่อการเอาเปรียบทางการเมือง ทั้งในทางกฎหมายและการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ เพื่อการสืบทอดอำนาจของตนเองต่อไปอีก

 

ส่วนเรื่องเอกภาพและความเป็นหนึ่งของฝ่ายค้านนั้น ศรัณย์วุฒิ กล่าวว่า การทำงานหลังจากนี้จะทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลและจะค้านอย่างสร้างสรรค์ จะไม่เพียงแค่ด่ารัฐบาล แต่จะสอนมวยว่าควรแก้ไขปัญหาอย่างไร เพราะฝ่ายค้านห่วงว่าความล้มเหลวทุกด้านจะทำให้ประเทศดิ่งลงเหว การแก้ปัญหาให้ประชาชนจะไม่สำเร็จ

 

ด้าน พิธา กล่าวเพิ่มเติมว่า การที่พรรคร่วมฝ่ายค้านได้นัดประชุมในวันนี้ เพื่อเรียกความมั่นใจให้กับฝ่ายค้านในการตรวจสอบถ่วงดุลรัฐบาล เพราะเห็นแล้วว่ารัฐบาลกำลังพายเรือวนในอ่าง ไม่มีการแก้ปัญหาได้สำเร็จ ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ การเกษตร การเมือง ความมั่นคง การศึกษา มีเพียงการสัญญาว่าจะทำเท่านั้น อีกทั้งเป็นปีครบรอบ 8 ปีของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และในปีหน้าอาจจะมีการเลือกตั้ง รวมถึงการฟื้นฟูประเทศให้ไปข้างหน้า พร้อมย้ำว่าทิศทางและเป้าหมายของฝ่ายค้านยังไปด้วยกัน แม้จะมีความเห็นต่างกันบ้าง และจะรวมจุดต่างนั้นเพื่อให้การทำงานเป็นเอกภาพ และพร้อมยืนยันว่า จะทำงานร่วมกันเพื่อประชาชนต่อไป ที่ป่านมาอาจจะเห็นต่างกันหรือบางครั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลจะไม่เดินไปไนทิศทางเดียวกันแต่เป็นเรื่องปกติที่จะเห็นต่าง แต่หลังจากนี้จะนำเอาความเห็นต่างมาแสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง รวมถึงพรรคก้าวไกลก็พร้อมจะส่งผู้สมัครในนามของพรรคชิงเก้าอี้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครแน่นอน

 

opposition party meeting opposition party meeting opposition party meeting opposition party meeting opposition party meeting opposition party meeting opposition party meeting opposition party meeting opposition party meeting opposition party meeting

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising