ฟังดูโง่เขลาใช่ไหม หากใครสักคนบอกว่าเลือกลาจากกรุงเทพฯ เพราะอยากหายใจโล่งๆ
โง่ช่างมัน
ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ ถ้าเลือกได้ ผมอยากหายใจสบายๆ อยากได้อากาศดีๆ ที่ไม่ต้องระแวงระวัง ไม่ต้องยั้ง ไม่ต้องกลั้น การหายใจควรเป็นเรื่องของความอุ่นใจ มั่นใจ ชื่นใจ
ถามว่ากรุงเทพฯ มันแย่ถึงขั้นหายใจไม่ออกหรือเปล่า
เปล่าเลย แต่ที่น่านสบายกว่า
การหายใจสบายอาจจะคล้ายๆ ความรู้สึกตอนกินของอร่อย เหมือนเวลาอาบน้ำ เหมือนเวลาเจอคนรัก นึกออกใช่ไหมว่ามันเบา สบาย
1
รถเรือมีมากมาย ถนนมีหลายสาย แต่การจะหาทางออกจากกรุงเทพฯ ไม่ใช่เรื่องง่าย
ออกที่แปลว่าพอ เลิก ย้ายภูมิลำเนา เปลี่ยนฐานที่มั่น
จะทิ้งไปได้ยังไง ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่กรุงเทพฯ โดยเฉพาะโอกาส งาน เงิน การขนส่งสื่อสาร องค์กร /เวทีความรู้ ศิลปะ และแน่นอน, ทรัพยากรบุคคลในทุกวงการ
ไม่ว่าจะอึดอัดกับคุณภาพชีวิตในกรุงเทพฯ แค่ไหน ก็ตัดใจ /ทำใจจากลายาก
เอาแค่เรื่องง่ายๆ อย่างโรงหนังโรงละคร ต่างจังหวัดมีทางเลือกให้เราชื่นชมชีวิตหรือ
ผมเข้าใจคนที่อยากจะเลือก อยากจะเลิก แต่มันเลือกไม่ได้ เลิกไม่ได้ หาทางออกไม่ได้ พูดกันอย่างถึงที่สุด มันพอมีหนทาง แต่เมื่อประสบการณ์และต้นทุนแทบทั้งชีวิตฝังรากลึกในเมืองหลวงเสียแล้ว การละทิ้งก็เท่ากับทำลายเส้นเลือดและท่อน้ำเลี้ยงของตัวเอง
ชีวิตคนมันไม่ได้ง่ายเหมือนต้นไม้ในกระถาง นึกจะย้าย จะยก ไปวางที่ไหนก็ได้
เจ็บปวดเกินไปที่จะจากลา จึงต้องยอมรับ ยอมจำนน ยอมทนเจ็บปวดกับการอยู่
ใครจะยอมก็ยอมไป ผมไม่ยอม
2
ชะตากรรมประเทศชาติใต้อำนาจและกลไกรัฐประหาร เท่าที่ผมเห็น มีแต่ความฉิบหาย
สามปีผ่านไป และไม่รู้เลยว่าจะอีกยาวนานเท่าไร เฝ้ามอง ประมวลข้อมูล วิเคราะห์ แม้ด้วยทัศนะของคนมองโลกแง่ดี ยิ่งมองก็ยิ่งเห็นความฉิบหายอันหาที่สุดมิได้
โดยเฉพาะประเด็นทางเศรษฐกิจ ส่วนสิทธิเสรีภาพนั้นคงไม่ต้องให้สาธยาย
ถือปืนมายืนอยู่เหนือกฎหมาย แล้วบังคับให้คนทั้งประเทศอยู่ใต้กฎหมาย เอาเท่านี้ มุมนี้ ถ้าใครยังมองไม่เห็นความวิปริตก็เปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น ทัศนะต่อระบบการเมืองการปกครองระหว่างเราแตกต่างห่างไกลกันเกินไป
ใต้รัฐประหาร ใต้อำนาจกระบอกปืน หลายเรื่องเราเลือกไม่ได้
วันเวลาแห่งความป่าเถื่อนเลวทรามเช่นนี้ ผมเห็นว่าสิ่งที่จำเป็นมากคือความรู้ ปกติความรู้สำคัญและจำเป็นแน่ๆ แต่ห้วงยามวิกฤติ ความรู้ยิ่งสำคัญและจำเป็น
ยามวิกฤติ ความรู้มีค่าราคาไม่น้อยกว่าอากาศ
ไม่มีความรู้ ไม่ขวนขวายแสวงหาความรู้ เรามีชีวิตอยู่ไม่ได้เลย
ลำพังเพียงจะรับมือกับความหงุดหงิด ความสะอิดสะเอียน ความน่าสมเพชรายวัน ก็ไม่รู้จะพลิกตำราหน้าไหนมาใช้ เพราะมันหลั่งไหลมาให้ด่าให้บ้าคลั่งได้ทั้งวัน
3
กล่าวอย่างหยาบๆ ความรู้มีสองระดับคือความรู้ในทางทำมาหากิน และความรู้ที่จะเลือกใช้ชีวิต
ทั้งสองต้องจับมือก้าวเดินไปด้วยกัน ผิดพลาดหรืออ่อนแอในอย่างแรก อย่างหลังย่อมถูกบังคับให้เล่นท่ายาก กระทั่งปิดตายในทุกประตู ไม่เหลือหนทางให้เลือก
กับตัวเอง การทิ้งกรุงเทพฯ เป็นเงื่อนไขหนึ่งในการบริหารรายรับรายจ่าย หายใจไม่สบายแล้วยังต้องจ่ายแพงมันไม่ใช่วิสัยของวิญญูชน
ค่าครองชีพบ้านนอกถูกกว่า ถ้าไม่มือบางเกินไป ชั่วๆ ดีๆ ก็พอปลูกผักหญ้าไว้กินเองได้ ของบางอย่างไม่ควรซื้อ อะไรประหยัดได้ก็ต้องเคร่งครัด ต้องหัดเดินออกจากเซเว่นฯ
อากาศแย่ๆ และความน่าอึดอัดของบรรยากาศการเมืองเป็นแรงส่งสูงต่อคำตอบว่า พอแล้ว ทนอยู่ต่อไปไม่ไหวแล้ว กรุงเทพฯ เพาะสร้างเรามา แต่ถ้าอยู่นานเกินไป กรุงเทพฯ จะกัดกร่อน กลืนกินความฝันของเรา ทีละน้อย ทีละน้อย ผมคิดถึงคำว่า perspective คิดถึงคำว่า space สนใจคำว่า silence
ผมมีทัศนะว่าเงินน้อยก็มีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ เอ่อ เข้าใจให้ตรงกันก่อนนะครับว่าผมชอบเงิน และไม่ได้อยากมีน้อยๆ แต่ถ้าศักยภาพทางการเงินมีจำกัดจำเขี่ยเท่านี้ ธรรมชาติและสันดานเกิดมาเป็นคนไม่ชอบหาเงินเช่นนี้ ก็ต้องยอมรับความจริง และย้ำ /ยืนยันเหมือนเดิมว่า เงินน้อยก็ไม่ได้แปลว่าชีวิตจะต้องแตกหักพังทลาย เงินน้อยก็สร้างสวนสวรรค์ส่วนตัวได้ –อย่างทระนง
การอำลากรุงเทพฯ การแสวงหาขอบฟ้าและอากาศใหม่ๆ ของผมยืนอยู่บนพื้นฐานความเชื่ออีกอย่างหนึ่งคือสลับ
บริโภคเนื้ออย่างเดียวแบบเดียวไม่ดี ต้องมีผักปลาแทรกสลับบ้าง หายใจอยู่แต่ในเมืองหลวงนานเกินไปก็ไม่ดี ต้องหาเวลาออกไปข้างนอกบ้าง
ไม่เปลี่ยน perspective เลย ย่อมไม่เกิดความหลากหลายในทางข้อมูลและภูมิปัญญา ไม่มีเวลาให้กับความเงียบเลย ย่อมไม่ได้ยินเสียงหัวใจตัวเอง ไม่เท่าทันอารมณ์ความรู้สึก และหากไม่มีที่ว่าง ไหนเลยความคิดสร้างสรรค์จะโลดแล่น พัฒนา
โลกหมุน สรรพสิ่งเคลื่อน ผู้คนควรสลับ ปรับ ย้าย
นั่งนานๆ เมื่อยก็ลุกขึ้นเดิน
มีหลักการ มีจุดยืน แต่ยืดหยุ่นในบางมิติ ผ่อนพัก รู้จังหวะหนักเบา
งานของผมไม่จำเป็นต้องอยู่เมืองหลวง เทคโนโลยีก้าวหน้าขนาดนี้ อยู่ส่วนไหนของโลกก็ทำงาน ส่งงาน สื่อสารกับบรรณาธิการและผู้อ่านได้
หนำซ้ำบางมิติ กลับจะมีประสิทธิภาพมากกว่า เพราะ perspective เคลื่อนขยาย มีที่ว่าง มีเวลามากขึ้น
แน่ละ อาจต้องห่างไกลศูนย์กลางแหล่งข่าวสารข้อมูล แต่นอกศูนย์กลาง หรือพื้นที่ชายขอบก็ใช่ว่าจะไม่มีแสงสว่าง หรือไร้เรื่องราวน่าสนใจ
มีผู้คนที่ไหนย่อมมีเรื่องเล่า มีผู้คนที่ไหนย่อมมีแง่มุมให้ค้นคว้าเรียนรู้
ดีเสียอีก ศูนย์กลางจะได้กระจายอำนาจออกไปบ้าง ดีเสียอีก ต่างจังหวัด ต่างปรัชญา ต่างศรัทธาความเชื่อ จะได้มีพื้นที่ มีตัวตน ว่าเขาและเธอก็มีศักดิ์และสิทธิ์ในความเป็นคนที่เท่าเทียมกัน
ที่ต้องพบปะทะตรงๆ แรงๆ ผมมองไปที่ประเด็นความสัมพันธ์ คนที่เรารัก มิตรสหายและเพื่อนพี่น้องส่วนใหญ่ล้วนสังกัดอยู่ในกรุง การทิ้งกรุง มองผิวเผินอาจเหมือนจงใจทิ้งผู้คนและลดระดับความสัมพันธ์
หามิได้
ตรงกันข้ามเลย ผมคิดว่าการเว้นที่ว่างไว้บ้าง ห่างๆ จากกันและกันบ้าง อาจเป็นปัจจัยบวก ทำให้เรากระจ่างในสัมพันธภาพมากยิ่งขึ้น บางทีอยู่ใกล้ก็รุงรัง เรื่องมาก กระทบกระทั่งกันง่าย
ระหว่างกรุงเทพฯ กับน่าน นั่งรถแปดเก้าชั่วโมงก็ถึง หรือถ้าใจร้อนเกินจะอดจะทน ลงทุนควักเงินพันเเศษๆ ซื้อตั๋วเครื่องบิน เพียงชั่วโมงเดียวก็ได้กอดกันแล้ว
มันไม่ยากหรอกน่า ถ้าเราคิดถึงกัน
4
แผ่นดินออกกว้างใหญ่ ถามว่าทำไมเลือกน่าน
และตัวเมืองน่านก็ออกจะทันสมัย สะดวกสบาย ดันไปเลือกหุบเขาป่าเปลี่ยว น้ำ ไฟ เดินทางไปไม่ถึง
คำตอบคือเจอที่ และมีเพื่อน ในวงเล็บว่าราคาก็ต้องอยู่ในอำนาจที่จ่ายไหว
นกน้อยทำรังเกินตัวจะต่างอะไรกับการเอาหัวพุ่งชนกำแพง คนสติดีๆ เขาไม่ทำกัน
ต้นไม้และภูเขาอยู่ตรงหน้า ไม่ต้องห่วงว่าจะหายใจไม่สบาย ไหนจะความเงียบสงบ เป็นส่วนตัว ทางลูกรังช่วงแยกจากถนนราดยางเข้าบ้านราวสักสองกิโลเมตรนั้นเป็นปัญหาอยู่บ้าง ในหน้าฝน แต่ฝนที่ไหนจะตกตลอดเวลา และจะเละจะลื่นยังไง ก็พอดิ้นรนหาวิธีเดินทางได้ ส่วนน้ำไฟ ผมไม่ค่อยกังวล วัยเยาว์ที่โคราชลำบากกว่านี้เยอะ
มีปัญหาก็แก้ปัญหา ทุกๆ ที่ล้วนมีข้อดีแบบหนึ่ง ข้อด้อยแบบหนึ่ง เราเลือกแล้วก็อยู่กับมันไป ดีแค่ไหนแล้วที่ได้เลือก และเลือกได้
ถามอีกว่า สิ่งที่เลือกนั้นถูกต้องเสมอไปหรือเปล่า คำตอบที่ใครก็รู้คือไม่แน่
ต่อให้ไตร่ตรองด้วยสติ พินิจพิจารณาเป็นร้อยๆ รอบ เราอาจเลือกผิดก็ได้ ผิดไปหมดเลยทั้งการทิ้งกรุงเทพฯ และเลือกมาใช้ชีวิตที่น่าน
“สัส มึงมาเหี้ยอะไรที่นี่” ตอนยุงเยอะๆ ฝนตกไม่หยุด หิว ออกไปหาของกินไม่ได้ หรือตอนเจองูเป็นครั้งที่สี่ในรอบหนึ่งวัน หรือตอนที่อยากคุยกับใครสักคนเพราะไม่ได้อ้าปากพูด ไม่ได้เจอผู้คนมาสองสามวันติดๆ แล้ว ด้วยความจริงใจ ผมเคยก่นด่าตัวเอง
ด่าด้วยรอยยิ้ม
“ใครบังคับมึงมา” ใช่–เลือกแล้ว จะอิ่มจะหิว จะอุ่นจะหนาว ก็ต้องรับผิดชอบ
ไม่ได้เลือกตอนเมา หรือมีกุมารทองมาเข้าฝัน ผมเลือกด้วยการสะสมข้อมูล จากการเดินทางทั่วประเทศ กว่าจะลงเอยที่น่านก็ผ่านการคิดการดูอยู่นาน แต่ก็นั่นแหละ ข้อมูลดีและเตรียมตัวนาน ไม่ใช่คำตอบสำเร็จรูปว่าเลือกถูก
คนเรามันผิดพลาดกันได้
เบื้องต้นคือเลือกแล้วต้องลุยดูก่อน ล้มก็ลุก ล้มอีกก็ลุกใหม่ ล้มอีก ก็ลุกขึ้นยืนใหม่ พยายามให้ถึงที่สุด ทุ่มเทเอาให้จบเกมก่อน ถ้าพบว่าไม่ไหว ไปไม่รอด ก็เลิก
ทำไมต้องกักขังตัวเองไว้ที่กรุงเทพฯ หรือที่น่าน สนใจปารีส หรืออยากไปเปรู ศึกษาหาทางไปอยู่สักปี มันจะเป็นไรไป
5
โดยรวม ผมรู้สึกดีกับชีวิตใหม่ที่น่าน ดีที่ว่าคือที่ผ่านมาจนถึงนาทีนี้นะครับ ส่วนพรุ่งนี้ –ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกรมอุตุนิยมวิทยาเขาดีกว่า เราไม่อาจหยั่งรู้
รู้แค่คืนนี้ เราก็คงนั่งดูดาวอยู่ข้างกองไฟ
ประสาคนชอบเล่นกับไฟ.