ถ้าเธอมองมา เธอจะเห็นผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างกองไฟ แสงตะวันเพิ่งลับทิวไผ่ ความมืดเดินทางมากับความเงียบ ที่จริงก็เงียบทั้งวัน แต่พอมืด มันเหมือนยิ่งเงียบมากขึ้นๆ ดาวดวงแรกทอแสงจางๆ เขาวางไฟฉายไว้ข้างกาย มีดอีโต้ กีตาร์ที่จับมากอดบ้างปล่อยบ้าง ร้องเพลงเบาๆ เพลงเก่าแก่ที่วนเวียนร้องเล่นอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่านั่นแหละ
เมื่อวานก็ฉากนี้ ท่านี้ คืนก่อนก็แบบนี้ และลองว่าตกเย็นวันนี้เริ่มต้นด้วยการนั่งข้างกองฟืนกองไฟ ปล่อยใจลอยเร่ ทอดสายตามองตามแสงหิ่งห้อย อีกบางทีเพ่งมองเปลวเพลิง.. พรุ่งนี้ชีวิตก็คงซ้ำๆ วนๆ
เพียงลำพัง
บ้านเราไม่มีอะไรเลย มีแต่ภูเขา ต้นไม้ และดวงดาว –เวลาใครถามว่าเป็นยังไง ชีวิตใหม่ที่น่าน บ้านช่องเรียบร้อยหรือยัง เขาจะตอบทีเล่นทีจริงให้น่าหมั่นไส้ทำนองนี้
ชอบๆ อยากไปๆ –ถ้าพูดว่าชอบ คนกรุงเทพฯ ไม่ได้โกหก คำว่าภูเขา ต้นไม้ ดวงดาว มันฟังสบายหู น่าอยู่ น่าสัมผัส น่าไปนอนตากลมห่มฟ้า เขาและเธอแค่ไม่เข้าใจคำว่า ‘ไม่มีอะไร’ แปลว่าไม่มีอะไรจริงๆ หนักกว่านั้นอีกคือไม่มีใครเลย ไม่มีใครสักคน แดดและฝนคือเพื่อน ความหนาวซุ่มซ่อนรอจังหวะ คล้ายเขาพาชีวิตหมุนย้อนยุคกลับไปสักสี่สิบห้าสิบปี อยู่คนเดียวกลางป่า แมลงมีพิษ นก หนู งูเงี้ยวเขี้ยวขอเริงระบำอยู่รอบกาย
อันตราย ถ้าไม่ระมัดระวัง คลุ้มคลั่งเอาง่ายๆ ถ้าจิตใจหวาดหวั่น ขวัญอ่อนกับสุ้มเสียงแปลกประหลาด กับสีแสงแปลกประหลาด
ไม่ง่ายหรอกที่จะมีชีวิตอยู่
แล้วเขามาอยู่ทำไม
นั่นสิ แล้วผมแส่หาเรื่องมาอยู่ทำไมที่นี่ –ที่น่าน
จะบอกว่าไม่อาลัยอาวรณ์เอาซะเลยมันก็เกินไป
ยี่สิบห้าปีในเมืองหลวง ถ้าเป็นคนก็ลุล่วงเคลื่อนเข้าเบญจเพส ระยะเวลาอันยาวนานบวกกับเรื่องราวในระหว่าง มากบ้างน้อยบ้าง เมื่อตัดใจจากมาย่อมมีห้วงยามคิดถึง คิดถึงทั้งผู้คน การงาน สถานที่ และความเคยชิน แน่ล่ะ เราต่างเสพติดความเคยชิน อย่างน้อยที่สุด จะกินจะนอนอย่างไรก็ไม่ต้องเสียเวลาคิด มือมันไปเอง ใจมันไปเอง
ไม่ใช่บ้านเกิดแท้ๆ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ากรุงเทพฯ ก็คือบ้าน
ประสาคนจร ชีวิตมันก็รอนแรมไปทั่ว
หนองแขม ตกงาน /บากหน้ามาขออาศัยห้องเช่าของพี่สาวอยู่หลายเดือน หลายคืนนุ่งผ้าขาวม้าหลับรอจนเที่ยงคืน น้ำประปาสุดที่รักก็ยังไม่ไหล
ถนนพระอาทิตย์เมื่อครั้งที่ยังปลอดผับบาร์ นั่นก็เคยเป็นบ้าน อีริค แคลปตัน ชุด Unplugged กำลังแรง มีคาสเซตต์เทปแล้ว ลงทุนซื้อลำโพงขนาดจิ๋วมาเสียบเข้าซาวด์อะเบาต์ ห้องต่อเติมบนชั้นลอย ห้องน้ำรวม (เน่าๆ) ก็พอกล้อมแกล้มน่านอนขึ้น
ปิ่นเกล้า ปิ่นทิพย์อพาร์ทเมนท์ ในซอยตรงข้ามพาต้าปิ่นเกล้า เช่าอยู่กับเพื่อนนักหนังสือพิมพ์ บางคืนนั่งดูละคร ‘เรือนแพ’ ด้วยกัน นุสบาเป็นนางเอก เล่นคู่กับใครนะ ใช่ศรัณยูหรือเปล่า พงษ์พัฒน์ รู้สึกจะมีจอนนี่ด้วย เพลงประกอบเวอร์ชันคัฟเวอร์ขับร้องโดย วสันต์ โชติกุล
ประชาชื่น ห้องเช่าเท่ารูหนูในหมู่บ้านปูนซิเมนต์ไทย ขออาศัยพี่สาวอยู่รอบสอง คราวนี้อุ้มลูกจูงเมียไปด้วย เช้าๆ เย็นๆ ที่ว่างเว้นการงาน กระเตงกันไปป้อนข้าวป้อนน้ำในสนามฟุตบอล บางทีหน้ามึนอุ้มขึ้นรถเมล์สาย 70 ไปปั่นเรือเล่นที่เขาดิน
คลองขวาง หลังนี้รัก ผูกพัน และอยู่หลายปี เพื่อนใจดีบางคนหิ้วต้นกล้ามะฮอกกานีจากย่านศรีนครินทร์ไปมอบให้ ป่านนี้เติบใหญ่อายุไล่เลี่ยลูกสาว อีกบางคนอุ้มลูกหมาจากรังสิตไปฝากอุปการะ (เติบใหญ่ นิสัยดี แต่ตายไปหลายปีแล้ว –ยังคิดถึงเสมอ) ปี 2549 ช่วงที่ลงไปทำงานในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ไปรษณียบัตรลายมือโย้เย้จำนวนหนึ่งของเด็กหญิงคนหนึ่งเดินทางจากบ้านหลังนี้ไปถึงมือคนเป็นพ่อ ท่ามกลางสายฝน เสียงอาซาน ป่ายาง และความไม่สงบรายวัน เขานั่งอ่านมันด้วยน้ำตา
ตรอกไก่แจ้ คืนสู่วิถีห้องเช่า คราวนี้ขออาศัยอยู่กับเพื่อนหนุ่มคนทำหนังสือ ห้องโทรมๆ เล็กๆ แต่เขาเรียกมันอย่างร่าเริงว่าคอนโดฯ หรู คืนไหนคนรักมาหา เพื่อนหลบเลี่ยงเฉไฉไปนอนออฟฟิศ เย็นไหนปีศาจสันหลังยาวสิงสถิต พากันหอบเสื่อถือหมอนขึ้นไปนั่งๆ นอนๆ กินเบียร์บนดาดฟ้า อา.. ดูเหมือนปีศาจตนนี้มีฤทธิ์ร้ายแรงนัก ถึงกระทืบเท้าขับไล่มันก็เทียวไล้เทียวขื่อ ดื้อดัน ดิ้นรนกลับมาหาเราอยู่เรื่อย
คอนโดฯ หรูย่านจรัญสนิทวงศ์ แรกทีเดียวเพื่อนหนุ่มชวนไปดื่มชมสวนหลายครั้งหลายหน ไม่ไป ไม่ชอบ รถติด อยากอยู่โซนพระอาทิตย์มากกว่า (ผับบาร์ผลิบานแล้วสินะ เวลานั้น) พอพลาดพลั้งลองไป ปรากฏว่าติดใจอยู่ยาวจนเจ้าของเดิมย้ายออกไปมีครอบมีครัวกันหมดแล้ว ไอ้คนที่ท่ามาก ชวนแล้วไม่มาก็ยังไม่ยอมย้ายไปไหน
มันยึดห้องเช่านั้นทำเป็นบ้าน –สภาพสลัมอย่างนั้นเรียกว่าบ้านได้ไหม ไม่รู้ มันเรียกของมัน มันรักของมัน
จากงานแรกซึ่งล้มเหลวที่พัทยา กระเซอะกระเซิงเข้ามาแสวงโชคในเมืองหลวงปี 2535 ถึงวันนี้ ครบรอบขวบปีที่ยี่สิบห้าพอดี
พอดี และพอกันที
ไม่ได้ป่วย หรือเป็นโรคภูมิแพ้เหมือนพี่ป้าง
กรุงเทพฯ น่ารัก มีเสน่ห์ น่าหลงใหลในแบบของมัน ขณะเดียวกันก็น่าชิงชังเฉพาะตัว
แหล่งหนังสือเก่า ข้าวของมือสอง ย่านท่าช้าง ท่าพระจันทร์ น่าเดินอย่างยิ่ง เย้ายวนใจอย่างยิ่ง นิสัย สายตา และเวลาที่มีพอจะจับจ่ายอย่างฟุ่มเฟือยทำให้ผมได้หนังสือดีๆ หลายเล่ม ไม่ว่าจะเป็นงานของ ’รงค์ วงษ์สวรรค์, เสกสรรค์ ประเสริฐกุล, สุวรรณี สุคนธา อ้อ เชิ้ตตัดอ้อยและกางเกงลูกฟูกเนื้อนุ่มราคาหย่อนร้อยก็พบได้ที่นี่ เดี๋ยวนี้หาไม่มีแล้ว ฟังว่าหาบเร่แผงลอยมันเกะกะ เป็นทัศนอุจาด ชาวกรุงเขาโปรดปรานห้างสรรพสินค้า
ธรรมศาสตร์นี่ก็แหล่งหนังสือเก่า รอบสนามฟุตบอล หน้าหอเล็ก หอใหญ่ มีงานออกร้านแทบทั้งปี ไหนจะฟรีคอนเสิร์ต ขยันแวะมาอ่านโปรแกรมซะหน่อย (เน็ตยังไม่มีเนอะ ตอนนั้น) แต่ละวีกเอนด์ก็มีงานศิลปะบันเทิงให้เสพ ให้ชม ให้ครุ่นคิดไม่ขาด
มันเหมือนฝนเบาบางที่ทำให้เมืองไม่แห้งแล้ง
ศิลปากร วังท่าพระ อู่ข้าวอู่น้ำเรื่องงานศิลปะ แต่ดนตรีก็มีให้โยกให้คลึงตลอด
ข้าวสาร ‘ถนนสายสั้นที่มีความฝันยาวที่สุดในโลก’ เกือบยี่สิบปีก่อนเคยใช้คำเวอร์ๆ แบบนี้เพื่อบอกเล่าว่ามันบันเทิงตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง มันคือจุดพักของนักเดินทางทุกเผ่าพันธุ์ เบื่อๆ บางวันหลบไปนั่งกินเบียร์ คุยกับคนแปลกหน้าบ้าง หาหนังสือเก่าดูบ้าง นับเป็นเวลาที่ดี เสียดายเดี๋ยวนี้มุมเงียบๆ หายากไปนิด เสียงเพลงดังๆ ไม่ใช่ความน่ารังเกียจ เพียงแต่ว่ามันเป็นแบบนั้นกันหมด ไม่มีที่ว่าง ห่างไกลจากความหมายเก่าที่มีจุดแข็งในเรื่องความหลากหลายและคาดหมายไม่ได้
ย่านพิชัย ศรีย่าน ราชวัตร เอ่ยชื่อก็ได้กลิ่น รู้รส สีสัน บรรยากาศ เพราะใช้ชีวิตอยู่ยาวนาน ทั้งการงานและบ้านพักเพื่อนฝูง วนๆ เวียนๆ ราวต้องคำสาป เอาแค่เวลา เรื่องราว ความผูกพัน เฉพาะกับช่วงที่ทำงานอยู่กับนิตยสาร GM และ open ก็เล่าได้เป็นวัน และเป็นรากฐานทางความคิดที่สำคัญ รากที่แทงลึกลงไปในเนื้อนาดินศิลปะ กวี
รากที่หยัดยืนขึ้นสู่แก่นและกิ่งในวิถีสัตว์โทน
บางรัก, รามคำแหง, สวนเงินมีมา, ประชาอุทิศ, สะพานพุทธ, สวนจตุจักร, สะพานเฉลิมวันชาติ, ถนนพระสุเมรุ, แยกแคราย และหลังโรงพักนางเลิ้ง แต่ละคืนในแต่ละวัน ความปรารถนา/ทะเยอทะยาน ความดิบเถื่อน/ท้าทาย เปลวไฟแห่งวัยหนุ่ม เรื่องราวและร่องรอยอันลบลืมไม่ได้เหล่านั้นเสมือนข้าวปลาอาหารที่หล่อเลี้ยงวิญญาณเปลี่ยวราวถนนไร้ชื่อหรือหุบเหวไร้ก้น หิวกระหายตลอดเวลา โหยหาทั้งความรู้และความรัก
หัวใจกระจัดกระจาย กระโจนไปในความมืด อีกบางทีเหนื่อยหน่าย สมเพชตัวเอง ความรู้สึกสลับไปมา เอา/ไม่เอา ใช่/ไม่ใช่ เลิก/ไม่เลิก แลก/ไม่แลก..
ถนนราชดำเนิน, อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย, แยกราชประสงค์ ทุกรอยเลือดและความตายปลุกให้ตาสว่าง กระดูกสันหลังตั้งตรง และไม่มีวันศิโรราบ
เรื่องนี้ชัดเจนในใจ
เมืองใหญ่เมืองนี้มีพลัง มีอำนาจ มีอิทธิพลกับผู้คนหลายสิบล้านชีวิต บางคนเข้ามาแล้วไม่อยากออก บางคนหาทางออกไม่เจอ
ผมเห็นว่าท้องฟ้ากรุงเทพฯ ยังคงงดงาม
ยามเช้า ยามเย็น และค่ำคืน หากขยันเงยหน้ามองหาก็พอจะพบเห็น เป็นที่พักใจได้ไม่เลว แก้รถติดและล้างมลพิษคงไม่ได้ แค่พอช่วยผ่อนคลาย ทุเลา
ยี่สิบห้าปี –ดังที่กล่าวซ้ำๆ ผมรักกรุงเทพฯ แต่โลกยังอีกกว้าง เมื่อมีชีวิต ผมอยากใช้ชีวิต เมื่อยังมีเวลา ผมอยากใช้เวลา และถึงเวลาไปก็ต้องปล่อยมือ ชีวิตคือการเปลี่ยนแปลง ชีวิตคือเรื่องชั่วคราว และแม้ชีวิตจะแปลว่าอิสรภาพ แต่หลายเรื่อง เราเลือกไม่ได้หรอก
อยากเก็บ อยากกอด ก็เก็บกอดเอาไว้ตลอดเวลาไม่ได้ เผลอไผลผัดผ่อนไม่เลือกสักที สุดท้ายก็จะถูกบังคับ ฉะนั้น สำหรับผม, อะไรเลือกได้ เราต้องเลือก
ผมเลือกโบกมือลา
ผมปรารถนาขอบฟ้าและอากาศใหม่ๆ