×

มาละเหวยมาละวา มาซื้อหรือมาขายตาละลา

10.09.2024
  • LOADING...

วันที่ 7 สิงหาคม 2567 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยตกลงมาต่ำมากที่ 1,291 จุด และเป็นการตกลงมาจากต้นปีถึง 8.8% ซึ่งก็ถือได้ว่าเป็นตลาดหุ้นที่แย่ที่สุดในโลกในขณะนั้น แต่หลังจากนั้นดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็เริ่มฟื้นตัวขึ้นเรื่อยๆ จนถึงวันที่ 4 กันยายน 2567 ดัชนีอยู่ที่ 1,365 จุด, วันที่ 5 กันยายน 2567 ดัชนีปรับตัวขึ้นไปถึง 39 จุด และวันที่ 6 กันยายน 2567 ปรับตัวขึ้นต่ออีก 23 จุด เป็น 1,428 จุด ทำให้ตั้งแต่ต้นปี ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ปรับตัวขึ้นเป็นบวกแล้วประมาณเกือบ 1% และเพียง 1 เดือนที่ผ่านมา ดัชนีปรับตัวขึ้นมาถึง 11% กลายเป็นตลาดหุ้นที่แสดงผลงานได้ดีที่สุดในโลกในช่วง 1 เดือนผ่านมา เพราะตลาดหุ้นโลกปรับตัวลงกันทั่วหน้า

 

เหตุผลที่ชัดเจนก็คือประเทศไทยกำลังได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ คือ แพทองธาร ชินวัตร ซึ่งเป็นนายกฯ ที่มีอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองของไทย และไม่เคยมีตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีมาก่อน แทนที่คนเดิมที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้พ้นจากตำแหน่ง อย่างไรก็ตาม เธอเป็นลูกสาวของ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่เคยมีผลงานโดดเด่นในการบริหารประเทศในช่วงปี 2544-2549 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เศรษฐกิจฟื้นตัวจากความตกต่ำอย่างแรงต่อเนื่องจากวิกฤตต้มยำกุ้งในปี 2540

 

ทักษิณได้แสดงตัวอย่างชัดเจนว่าจะเข้ามาช่วยกำหนดนโยบายและทิศทางในการบริหารประเทศทางด้านเศรษฐกิจ ที่จะฟื้นฟูประเทศไทยจากการถดถอยหรือแน่นิ่งมานานเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในเอเชียในช่วงประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา ที่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยลดลงจากระดับประมาณ 4-5% ต่อปี เหลือเพียงประมาณ 2% ต่อปีในช่วงหลังๆ

 

การแสดงออกของทักษิณโดยการแสดงวิสัยทัศน์เมื่อ 3-4 วันก่อนหน้านี้ได้จุดประกายให้นักธุรกิจและนักลงทุนในตลาดหุ้นเกิดความเชื่อมั่นว่าถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจะเริ่มก้าวเดินไปข้างหน้า เศรษฐกิจไทยจะต้องดีขึ้นและตลาดหุ้นจะต้องดีขึ้น เหนือสิ่งอื่นใดก็คือสิ่งเลวร้ายต่างๆ ที่ทำให้เศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยตกต่ำนั้นอยู่ที่จุดต่ำสุดแล้ว ทุกปัจจัยที่ดีที่ทุกคนต่างก็รอคอยว่าจะมา ถึงตอนนี้กำลังจะมาอย่างแน่นอน เพราะรัฐบาลใหม่นี้พร้อมที่จะทำแล้ว

 

เงินกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลจะแจกคนละ 10,000 บาทกับคนค่อนประเทศ ที่คนจำนวนมากไม่แน่ใจว่าจะทำได้และทำเมื่อไร เพราะถูกต่อต้านนั้น บัดนี้ดูเหมือนว่าจะเริ่มเกิดขึ้นภายในเวลาไม่ถึงเดือน และเงินนี้ก็คงทำให้เศรษฐกิจเฟื่องฟูขึ้นไม่มากก็น้อย เพราะจำนวนเงินหลายแสนล้านบาทที่จะถูกฉีดเข้าสู่ระบบอย่างต่อเนื่องหลายเดือนนั้นก็คงส่งเสริมให้ภาคการบริโภคเติบโตขึ้นอย่างแน่นอน อย่างน้อยในช่วงปลายปีนี้ และอาจจะส่งผลต่อไปอีกในช่วงต้นปีหน้า

 

การปรับลดอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงของประเทศไทย ซึ่งนักธุรกิจและประชาชนต่างก็รอมานาน ถึงวันนี้ดูเหมือนว่าการรอน่าจะใกล้สิ้นสุดเต็มที โดยเฉพาะเมื่อมีสัญญาณชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ว่าสหรัฐอเมริกาจะเริ่มลดอัตราดอกเบี้ย อ้างอิงในการประชุมคราวหน้าในอีกไม่กี่วันที่จะถึงนี้ ซึ่งจะทำให้แบงก์ชาติไม่มีเหตุผลอีกต่อไปที่จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้เท่าเดิม และถ้าดอกเบี้ยลดลง การลงทุนและการบริโภคก็จะดีขึ้น ค่าผ่อนชำระเงินกู้ก็จะต่ำลง เงินที่จะใช้เพื่อการบริโภคก็จะมากขึ้น

 

เศรษฐกิจโดยรวมของไทยเองนั้นดูเหมือนว่ากำลังจะดีขึ้นจากภาวะที่ซบเซาก่อนหน้านี้ ตัวเลขการส่งออกดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ติดลบ การท่องเที่ยวก็เช่นกันที่กำลังดีขึ้นและจะทำให้ตัวเลขนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นตามเป้าหมาย ว่าที่จริง จำนวนคนที่เดินในซอยรางน้ำที่ผมอยู่นั้นดูเหมือนจะคึกคักเกือบเท่าสมัยก่อนโรคโควิดแล้ว ซึ่งก็ทำให้ร้านค้าปลอดภาษีและร้านสะดวกซื้อมีลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน

 

ที่สำคัญอีกประเด็นหนึ่งที่ทำให้ตลาดหุ้นไม่ไปไหนมานานก็คือเม็ดเงินที่มาจากสถาบันที่เข้าสู่ตลาดหุ้น ซึ่งประกอบไปด้วยกองทุนต่างๆ เช่น กองทุนประหยัดภาษีของคนที่มีรายได้สูง เช่น LTF นั้นหายไปนานแล้ว และกองทุนที่จะมาแทนนั้นก็ไม่มีประสิทธิภาพพอในการดึงเงินเข้าสู่ตลาดหุ้น หรือไม่ก็เป็นกองทุนที่กำลังคิดหรือกำลังเตรียมการ แต่ก็ไม่ออกมาเสียที สาเหตุส่วนหนึ่งก็คือรัฐบาลยังมีอาการ ‘ไม่มั่นคง’ เนื่องจากประเด็นทางการเมือง

 

แต่เมื่อถึงวันนี้ดูเหมือนว่ากองทุนที่มีประสิทธิผลและประสิทธิภาพสูงสุดคือกองทุนรวมวายุภักษ์ ก็ปรากฏตัวขึ้นมา และบอกว่าจะเริ่มดำเนินการระดมเงิน 1 แสนล้านบาท หรือ 1.5 แสนล้านบาท เข้ามาซื้อหุ้นขนาดใหญ่ที่ดีๆ และราคาถูกในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยจะเป็นกองทุนที่รับประกันกับนักลงทุนว่าจะได้ผลตอบแทนอย่างน้อย 3% ต่อปี ในขณะที่ถ้าหุ้นให้ผลตอบแทนที่ดีก็อาจจะได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นไปสูงสุดถึง 8% ต่อปี ทั้งหมดนี้จะเปิดขายในเร็ววันนี้ ไม่ใช่เรื่องที่จะทำในไตรมาสหน้าอีกต่อไป

 

ในส่วนของอายุหรือความมั่นคงของรัฐบาลที่เป็นประเด็นทำให้หลายๆ เรื่องต้องชะลอหรืออาจจะไม่เกิดนั้น ดูเหมือนว่ารัฐบาลนี้จะมั่นคงขึ้น มีความรู้สึกว่าทุกอย่างกำลังลงตัว ผู้มีอำนาจตัวจริงต่างก็ลงมาเล่นกันหมด แน่นอนว่าจะมีคนเถียงว่ามีการใช้นอมินีหรือตัวแทนกันมากที่สุด เพราะตัวจริงขาดคุณสมบัติ แต่ผมมองว่าอาจจะใช่ แต่ตัวจริงนั้นก็เปิดตัวให้รู้กันชัดเจน เพียงแต่กฎหมายที่ไม่เป็นธรรมอาจจะไม่สามารถเอาผิดได้ เหนือสิ่งอื่นใดก็คืออำนาจนอกระบบกับอำนาจในระบบดูเหมือนว่าจะสอดคล้องกันมากขึ้น และนี่ก็คือความมั่นคงทางการเมืองแบบไทยๆ

 

สรุปก็คือ Timing หรือจังหวะเวลาเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น สิ่งดีๆ ต่อตลาดหุ้นทั้งหลายต่างก็เวียนมาบรรจบกันพอดี แล้วก็ถูกจุดชนวนโดยทักษิณ ซึ่งก็ทำให้หุ้นระเบิดราวกับติดจรวด ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปแรงมาก พร้อมๆ กับปริมาณการซื้อขายต่อวันสูงถึงแสนล้านบาท ซึ่งก็เป็นตัวเลขที่เราไม่ได้เห็นมานาน

 

ประเด็นสำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือหุ้นจะขึ้นต่อไปและจะสูงไปถึงแค่ไหน นักลงทุนโดยเฉพาะที่เป็น VI ที่ไม่เล่นหุ้นเก็งกำไร ควรจะซื้อหรือขาย? แต่ก่อนที่จะไปถึงจุดนั้น ผมอยากจะหวนย้อนกลับไปดูดัชนีตลาดหุ้นยุคที่ทักษิณเป็นนายกฯ เป็นเวลาเกือบ 6 ปี

 

ตั้งแต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2544 ที่ทักษิณเป็นนายกฯ ดัชนีตลาดอยู่ที่ประมาณ 330 จุด ดัชนีก็ทรงๆ อยู่เท่าเดิมเป็นเวลาถึงประมาณ 2 ปี ก่อนที่จะเริ่มวิ่งขึ้นไปแรงมากในช่วงปีที่ 3 คือปี 2546 โดยที่เมื่อสิ้นปี 2546 ดัชนีก็วิ่งขึ้นไปถึง 772 จุด เฉพาะปี 2546 ปีเดียว ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นไปถึง 117% ซึ่งเป็นการปรับตัวสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นไทยหลังปีวิกฤต 2540 อานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยอย่างเต็มที่ และสูงที่สุดถึง 7.2% สถานะทางการเงินของไทยสูงสุดจากการประกาศคืนเงินที่ต้องกู้ยืมจาก IMF ก่อนกำหนดของทักษิณในช่วงกลางปี 2546

 

หลังจากการขึ้นสู่จุดสูงสุด รัฐบาลที่นำโดยทักษิณก็ประสบปัญหามากมายจากการประท้วงของกลุ่มการเมืองฝ่ายตรงข้าม จนนำไปสู่การรัฐประหารในปี 2549 โดยที่การเติบโตของ GDP ลดลงเหลือเพียงปีละ 4-5% และดัชนีตลาดหุ้นในช่วง 3 ปีหลังของทักษิณไม่สามารถขึ้นไปเกินจุดสูงสุดที่ 772 จุดอีกเลย

 

รอบใหม่ที่ทักษิณกลับมาหลังจาก 17 ปี ดูเหมือนว่าหุ้นจะต้อนรับตั้งแต่วันแรก เพราะคนอาจจะคิดถึงอดีตที่หอมหวาน คำถามอยู่ที่ว่า รัฐบาลจะสามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดจากโครงสร้างของประชากรที่แก่ตัวได้ไหม เช่นเดียวกับปัญหาในการบริหารประเทศในระยะยาว ถ้าทำได้ หุ้นก็อาจจะโตต่อไปได้อีกยาวนาน แต่ถ้าหากว่าทำไม่ได้ หุ้นก็คงขึ้นไปได้อีกไม่นาน และถ้าเป็นอย่างนั้น นี่ก็คือโอกาสที่ควรจะขาย เพราะอาจจะเป็นก๊อกสุดท้ายที่เราจะขายหุ้นได้ในราคาที่ดี

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising