×

ปาฏิหาริย์แห่งโอลด์แทรฟฟอร์ด ชัยชนะแห่งการฟื้นคืนจิตวิญญาณปีศาจแดง

18.04.2025
  • LOADING...
ปีศาจแดง แมนยู

บางครั้งเกมฟุตบอลก็ยากเกินจะอธิบาย…

 

เมื่อแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สร้างค่ำคืนแห่งความดราม่าในโอลด์แทรฟฟอร์ดอีกครั้ง หลังพวกเขารัว 2 ประตูในนาทีสุดท้ายของช่วงต่อเวลาพิเศษ พลิกกลับมาชนะลียง 5-4 ทั้งที่โดนนำถึง 4-2 และลียงเหลือผู้เล่นเพียง 10 คน

 

นี่คือหนึ่งในแมตช์ที่ “บ้าคลั่ง ครบรส” เกินจะลืมเลือนที่สุดในประวัติศาสตร์ของสนามแห่งนี้

 

🔥 เกิดอะไรขึ้นในเกมสุดดราม่า?

 

เกมนี้เต็มไปด้วยจังหวะน่าเหลือเชื่อ! เกมเริ่มต้นเหมือนจะจบเร็ว เมื่อยูไนเต็ดขึ้นนำก่อน 2-0 จากมานูเอล อูการ์เต และดิโอโก ดาโลต์ แต่ลียงไม่ใช่ทีมที่จะยอมง่ายๆ พวกเขาตีเสมอเป็น 2-2 ภายในเวลาเพียง 7 นาที จากโกร็องแต็ง โตลิสโซ และนิโกลัส ตายาฟิโก

 

ช่วงต่อเวลาพิเศษ กลายเป็นฉากที่ไม่มีใครคาดคิด ลียงยิงเพิ่มอีก 2 ลูก จากรายาน แชร์กี้ และอเล็กซองเดร์ ลากาแซตต์ ทั้งที่เหลือ 10 คน พลิกขึ้นนำ 4-2 กับเวลาที่เหลือให้แมนฯ ยูไนเต็ด แก้ตัวไม่ถึง 10 นาที

 

แต่ฟุตบอลคือเรื่องของความไม่แน่นอน…

 

หลังจุดเปลี่ยนสำคัญก็เกิดขึ้นเมื่อผู้ตัดสินเช็ก VAR ย้อนหลังจังหวะที่คาเซมิโร่โดนทำฟาวล์ และให้จุดโทษ ซึ่งบรูโน แฟร์นันด์ส สังหารไม่พลาดไล่มา 4-3

 

เสียงเชียร์ในสนามโอลด์แทรฟฟอร์ดดังลั่นอีกครั้ง และเป็นเจ้าหนูค็อบบี้ ไมนู ที่ซัดประตูตีเสมอ 4-4 ก่อนที่นาทีสุดท้ายของการต่อเวลา ก่อนที่คาเซมิโรจะเปิดบอลให้ แฮร์รี แม็กไกวร์ โขกพังประตูชัยสุดดราม่า 5-4 (รวม 2 นัดชนะ 7-6) ท่ามกลางเสียงเฮสนั่นของแฟนบอล และตำนานกุนซืออย่าง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่อยู่เป็นสักขีพยานในสนาม

 

ชัยชนะเกมนี้ทำให้ลูกทีมของ รูเบน อโมริม ผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ ยูโรปาลีก ไปพบกับ แอธเลติก บิลเบา ต่อไป

 

 

🔥 เกมที่ไร้ซึ่งเหตุผลใดๆ

 

ก่อนเกมจะเริ่ม ยูไนเต็ดโชว์ผืนผ้าใบขนาดใหญ่หน้าสแตนด์เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่มีภาพกัปตันทีมทั้ง 5 คนที่เคยชูถ้วยยุโรป พร้อมข้อความว่า Never. Gonna. Stop. ราวกับเป็นลางบอกเหตุถึงค่ำคืนประวัติศาสตร์

 

เพราะก่อนหน้า…พวกเขาเคยชนะเกมยุโรปด้วยสกอร์ 5-4 เพียงครั้งเดียว คือชุด “บัสบี้ เบ๊บส์” ที่เอาชนะอาร์เซนอล ก่อนโศกนาฏกรรมที่มิวนิก และครั้งนี้ก็ถูกบันทึกเป็นเกมยุโรปครั้งแรกที่มีการยิงกันถึง 5 ประตูในช่วงต่อเวลาพิเศษ

 

แม้จะโดนยิงนำในช่วงต่อเวลา 2-4 ซึ่งดูเหมือนเกมจะจบแล้ว แต่ยูไนเต็ดยังไม่ยอมแพ้ และจัด 3 ประตูในเวลาไม่ถึง 7 นาที สร้างตำนานคัมแบ็กครั้งใหญ่ในโอลด์แทรฟฟอร์ดอีกครั้ง

 

หลังจากนั้น เราได้เห็นภาพที่ไม่ได้เห็นกันบ่อยๆ อย่าง อโมริม ที่แสดงออกถึงความสะใจอย่างเต็มอารมณ์ เหล่านักเตะวิ่งกรูไปตามข้างสนามฉลองประตูชัยในแบบเดียวกับที่โชเซ มูรินโญ เคยทำในปี 2004 เมื่อปอร์โตบุกมาเขี่ยยูไนเต็ดตกรอบที่สนามแห่งนี้

 

ขณะเดียวกัน ริโอ เฟอร์ดินานด์ ในบทบาทนักวิเคราะห์ให้ TNT Sports ถึงกับลุกขึ้นกระโดดโลดเต้นด้วยความสะใจ

 

ซึ่งไม่ต่างจากแฟนบอลยูไนเต็ดหลายหมื่นคนที่ยังอยู่ในสนาม ต่างลุกขึ้นตะโกนสุดเสียง เพราะเกมนี้จะกลายเป็นความทรงจำที่ไม่มีวันลืมของชาวยูไนเต็ด

 

🔥 ชัยชนะ…ที่ปลุกสปิริตจากเถ้าถ่าน

 

ในฤดูกาลที่พวกเขาหล่นไปอยู่อันดับ 14 ในพรีเมียร์ลีก จากการเล่นไปแล้ว 32 นัด คือสิ่งที่สะท้อนผลงานตลอดฤดูกาลว่า มันย่ำแย่มากแค่ไหน?

 

นั่นทำให้ ยูโรปาลีก คือหนทางเดียวที่จะทำให้พวกเขายิ้มได้ในวันที่ส้มไม่หวาน

 

และหากมองย้อนกลับไปในเกมล่าสุด ชัยชนะสุดบ้าคลั่งเหนือโอลิมปิก ลียง ที่เหมือนปาฏิหาริย์ ไม่เพียงจุดประกายความหวังให้ทีม แต่มันคือประกายไฟที่จุดให้หัวใจของแมนฯ ยูไนเต็ดกลับมาเต้นแรงอีกครั้ง พร้อมปลุกสัญชาตญาณนักสู้ที่เหมือนจะมอดไปให้กลับมาลุกโชน

 

แม้แต่ตัวของอโมริมเอง…ก็ยังสัมผัสถึงพลังนั้นได้เช่นกัน

 

“ในสนามแห่งนี้ กับสโมสรแห่งนี้ คุณจะรู้สึกอยู่เสมอว่า อะไรก็เกิดขึ้นได้

 

“ตลอดทั้งฤดูกาลนี้ เต็มไปด้วยความผิดหวัง ทั้งในฐานะโค้ช ทั้งในฐานะคนทำทีม เราเผชิญช่วงเวลาที่ยากลำบากมาเยอะ…แต่พอมีช่วงเวลาแบบนี้ มันทำให้ทุกอย่างที่ผ่านมาคุ้มค่าจริงๆ

 

“โมเมนต์แบบนี้แหละ ที่จะสร้างความผูกพันระหว่างแฟนบอลกับนักเตะขึ้นมาได้

มันทำให้เราลืมฤดูกาลที่ยากลำบากนี้ไปได้ชั่วครู่ วันนี้รู้สึกดีมาก แต่พรุ่งนี้ เราต้องเริ่มต้นกันใหม่อีกครั้ง” อโมริมอธิบายถึงความรู้สึกทั้งหมดในเกมนี้

 

ในมุมของความจริง แมนฯ ยูไนเต็ด ยังมีภารกิจสำคัญรออยู่ข้างหน้า นั่นคือรอบรองชนะเลิศกับ แอธเลติก บิลเบา และหากผ่านไปได้ อาจเจอกับ สเปอร์ส ในรอบชิงฯ ซึ่งอาจเป็นการตัดสินทั้งถ้วยแชมป์ และโควตาแชมเปียนส์ลีก ที่จะช่วยเยียวยาฤดูกาลที่เต็มไปด้วยความยากลำบากของพวกเขา

 

แต่ก่อนจะถึงจุดนั้น…เชื่อเหลือเกินว่า ค่ำคืนแห่งนี้จะต้องถูกพูดถึงต่อไปอีกนาน คุณก็คิดแบบนั้นไหม?

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising