International Energy Forum (IEF) องค์กรด้านพลังงานระหว่างประเทศออกมาเตือนว่า ราคาน้ำมันในตลาดโลกมีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้จากอุปสงค์ที่เร่งตัวขึ้นเร็วกว่าฝั่งอุปทาน โดยเฉพาะจาก 2 ผู้นำเข้ารายใหญ่อย่างจีนและอินเดียที่จะคาดว่าจะมีความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นรวมกันราว 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน
“ความต้องการใช้น้ำมันของโลกได้กลับมาอยู่ในจุดเดียวกับช่วงก่อนเกิดวิกฤตโควิดแล้ว แต่กำลังการผลิตยังไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้นตาม ทำให้ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้เราจะเผชิญกับภาวะที่ราคาน้ำมันเร่งตัวสูงขึ้น” Joseph McMonigle เลขาธิการ IEF กล่าว
McMonigle ระบุว่า ปัจจัยที่ยังทำให้ราคาน้ำมันในปัจจุบันยังทรงตัวอยู่คือความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่อาจเกิดขึ้นระยะข้างหน้า อย่างไรก็ดี IEF เผยว่าปริมาณน้ำมันในคลังสำรองของหลายประเทศได้เริ่มปรับลดลง ซึ่งสะท้อนถึงอุปสงค์ที่สูงขึ้นเช่นกัน
เมื่อถามว่าราคาน้ำมันดิบมีโอกาสจะกลับไปแตะระดับ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเหมือนช่วงก่อนหน้านี้หรือไม่ McMonigle กล่าวว่า ราคาน้ำมันดิบในปัจจุบันได้ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่เหนือระดับ 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลแล้ว และเขาเชื่อว่ามีความเป็นไปได้ที่ราคาจะปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี เลขาธิการ IEF ยังเชื่อมั่นว่า กลุ่ม OPEC+ ซึ่งประกอบไปด้วยประเทศผู้ผลิตน้ำมัน 23 ประเทศ จะปรับเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อตอบสนองต่ออุปสงค์ที่เพิ่มสูงขึ้นเพื่อสร้างความสมดุลของราคาเช่นกัน
“กลุ่ม OPEC+ ค่อนข้างระมัดระวังในการปรับกำลังการผลิต พวกเขาต้องการรอจนแน่ชัดว่าอุปสงค์ในตลาดโลกได้ปรับเพิ่มขึ้นแล้ว ก่อนจะตัดสินใจปรับเปลี่ยนกำลังการผลิต” McMonigle กล่าว
ทั้งนี้ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (21 กรกฎาคม) ราคาน้ำมันดิบ Brent futures ปิดตลาดที่ระดับ 81.07 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ปิดตลาดที่ระดับ 76.83 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
อ้างอิง:
