×

“เราอยากผลักดันไลฟ์โค้ชเข้าไปในระบบการศึกษา” คุยกับ ‘โค้ชจิมมี่’ โค้ชไทยรุ่นบุกเบิกในวันที่ไลฟ์โค้ชถูกตั้งคำถาม

05.06.2017
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

8 Mins. Read
  • จิมมี่-พจนารถ ซีบังเกิด เป็นที่รู้จักกันในนามไลฟ์โค้ชจิมมี่ เธอมีความสนใจในศาสตร์ไลฟ์โค้ชตั้งแต่ช่วงประมาณปี พ.ศ. 2542 และลงทุนลงทะเบียนเรียนหลักสูตรโค้ชไกลถึงประเทศออสเตรเลียเป็นระยะเวลากว่า 2 ปี ก่อนจะกลับมาประกอบอาชีพไลฟ์โค้ชที่ไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2554
  • เปิดสถาบันพัฒนาโค้ชในชื่อ Jimi The Coach เมื่อปี พ.ศ. 2555 ด้วยจุดประสงค์ที่อยากจะขยายศาสตร์นี้ในวงกว้าง และเห็นว่าเป็นอาชีพทำรายได้และสามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้ในเวลาเดียวกัน
  • เธอรู้สึกไม่ต่างจากคนนอกที่มองว่าไลฟ์โค้ชในทุกวันนี้ดูไม่น่าเชื่อถือ ทั้งเหตุผลของการมีโค้ชเกิดขึ้นมาเป็นจำนวนมาก ใครๆ ก็สามารถเป็นโค้ชได้ หรือการกล่าวอ้างสรรพคุณความสามารถที่เกินจริง โดยโค้ชทุกคนย่อมรู้อยู่แก่ใจว่าเจตนาของตนคือการช่วยเหลือคนหรือหวังเพียงเงินจากคนที่เข้ามา

     เมื่อ 18 ปีที่แล้ว (พ.ศ. 2542) จิมมี่-พจนารถ ซีบังเกิด หรือที่ปัจจุบันรู้จักกันในนาม โค้ชจิมมี่ มีโอกาสได้เข้ารับการอบรมบุคลากรจากบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในหัวข้อ ‘การจัดลำดับความสำคัญของสิ่งที่ทำ’ จากวิทยากรไลฟ์โค้ชชาวอังกฤษ ซึ่งต่อมากลายเป็นแรงบันดาลใจให้เธออยากเรียนรู้และทำความเข้าใจศาสตร์ของไลฟ์โค้ชให้ถ่องแท้กว่าเดิม

     10 ปีถัดมา (พ.ศ. 2552) พจนารถจึงตัดสินใจบินข้ามน้ำข้ามทะเลไปยังประเทศออสเตรเลีย จ่ายค่าเล่าเรียนเป็นหลักล้านบาทแลกกับศาสตร์ความรู้ด้านไลฟ์โค้ชที่ตั้งคำถามมาเป็นเวลานาน และเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้พจนารถตัดสินใจกลับมาประกอบอาชีพโค้ชไทยคนแรกๆ อย่างเต็มตัวในปี พ.ศ. 2554 ก่อนเปิดสถาบัน Jimi The Coach สอนความรู้และผลิตบุคลากรไลฟ์โค้ชมาจนถึงปัจจุบัน

     ในยุคที่อาชีพไลฟ์โค้ชกำลังเฟื่องฟูและกลายเป็นประเด็นถกเถียงในสังคมไทยอย่างไม่รู้จบ เราชวนพจนารถมาพูดคุยถึงแรงบันดาลใจและความคิดเห็นที่มีต่อประเด็นต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับวงการไลฟ์โค้ชในปัจจุบัน

คนที่จ่ายเงินให้คุณไม่ได้จ่ายเพราะคุณเก่ง แต่จ่ายเพราะคุณช่วยเหลือให้เขาหลุดพ้นจากปัญหา

 

หลังจบการศึกษาหลักสูตรไลฟ์โค้ชจากประเทศออสเตรเลีย คุณเริ่มต้นการทำงานในตำแหน่งไลฟ์โค้ชได้อย่างไร

     เราใช้เวลาในการศึกษาศาสตร์ไลฟ์โค้ชอยู่ที่เมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย 2 ปี และจบการศึกษาในระดับอนุปริญญาเมื่อปี พ.ศ. 2554 พอกลับมาที่ประเทศไทยเราก็บอกคนใกล้ตัว เพื่อน ญาติมิตร และคนในบริษัทที่ทำงานเก่าว่าเราไปศึกษาหลักสูตรโค้ชมา ผู้บริหารบางส่วนที่เคยเป็นหัวหน้าเราก็ลองให้เราไปโค้ชเขาเพราะความเชื่อใจ นอกจากไลฟ์โค้ชเราก็ไปเรียนศาสตร์ NLP (Neuro-Linguistic Programming: กระบวนการศึกษาภาษาพูดและภาษากายที่มีผลต่อระบบประสาท) มาด้วย ปรากฏว่ามีเพื่อนชวนให้เราไปแชร์ความรู้กับเพื่อนๆ ของเขาอีก 80 กว่าคนในรูปแบบทักษะเบื้องต้น 101 เก็บเงินคนละ 400 บาทและนำไปสมทบทุนช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในสมัยนั้น พอเห็นว่าผลตอบรับดีก็เปิดคอร์สสอน NLP เป็นระยะเวลา 7 วัน มีคนมาเรียนประมาณ 22 คน เก็บเงินคนละ 20,000 บาท

 

ช่วงนั้นคุณไม่กลัวว่าใครจะมองคุณว่าไปหลอกเอาเงินเขาหรือ
     ไม่กลัวนะ เพราะเราไม่ได้ไปบังคับใคร เรารู้สึกว่าเรามีของที่อยากแบ่งปัน สมัยที่เรายังศึกษาศาสตร์ไลฟ์โค้ช เราเคยบอกอาจารย์และเพื่อนในห้องว่าพอกลับไปเป็นโค้ชจะไม่เก็บเงินคนที่มาขอให้เราช่วยโค้ช แต่อาจารย์ถามกลับมาว่า “คุณคิดว่าตัวเองเป็นนางฟ้าแล้วคนอื่นในห้องเป็นปีศาจเหรอ โรงเรียนนี้สอนคนให้จบมาประกอบอาชีพโค้ช เพราะฉะนั้นต้องเก็บเงิน” อย่างตัวเขาเองก็คิดเงินคนที่มาให้โค้ชชั่วโมงละ 10,000 ดอลลาร์ออสเตรเลีย แต่ทุกอาทิตย์เขาก็จะส่งเงินไปช่วยเหลือมูลนิธิต่างๆ เขาบอกว่า คนที่จ่ายเงินให้คุณไม่ได้จ่ายเพราะคุณเก่ง แต่จ่ายเพราะคุณช่วยเหลือให้เขาหลุดพ้นจากปัญหา พอเข้าใจเรื่องนี้มันก็ทำให้เรามั่นใจในการตั้งเรตเก็บเงินค่าโค้ช และทำให้เราโฟกัสคนที่มาขอรับการโค้ชมากกว่า

 

หลังจากที่เริ่มเปิดคอร์สสอนตามที่ต่างๆ และเป็นโค้ชให้กับคนระดับผู้บริหาร คุณเกิดความคิดเปิดสถาบันพัฒนาโค้ชของตัวเองเมื่อไร

     พอเริ่มทำงานเป็นโค้ชมาประมาณหนึ่งปี เรามีรายรับต่อปีเกินฐานเงินเดือนของพนักงานบริษัททั่วไป (ตามมาตรฐานของกรมสรรพากร ผู้ที่มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปีจะต้องไปจดทะเบียนบริษัทเพื่อทำเรื่องเสียภาษี) ทำให้เราถูกปรับภาษีย้อนหลัง 200,000 กว่าบาท เลยทำการจดทะเบียนบริษัทขึ้นมาในชื่อ Jimi The Coach เมื่อปี พ.ศ. 2555 พอเริ่มโค้ชคนมากขึ้นเรื่อยๆ จนเวลาส่วนตัวน้อยลง เลยรู้สึกว่าถ้าเราประกอบอาชีพนี้แล้วมีรายได้และได้ช่วยเหลือคนอื่น เราก็ควรที่จะเปิดโรงเรียนสอนคนอื่นให้เขามีอาชีพ มีรายได้ และได้ช่วยเหลือคนอื่นเหมือนๆ กับเรา หลังจากนั้นก็ยื่นหลักสูตรของสถาบันไปสหพันธ์โค้ชนานาชาติ (International Coach Federation – ICF) จนผ่านการรับรอง

     ช่วงแรกๆ เราจะลงไปสอน ไปโค้ชด้วยตัวเอง แต่หลังๆ ก็อาศัยให้โค้ชที่เราสอนเขาขึ้นมาจนมีความสามารถเริ่มลงไปสอนแทนแล้ว อย่างทุกวันนี้เรามีนักเรียนที่ผ่านหลักสูตรกับเราประมาณ 700 กว่าคน ส่วนโค้ชที่เราสามารถพัฒนาขึ้นมาจนสอนได้มีอยู่ประมาณ 5 คน และโค้ชที่ไม่ได้เป็นคนสอนหลักอีกประมาณ 20 คน

ไม่จำเป็นนะว่าทุกคนจะต้องมาศึกษาศาสตร์ไลฟ์โค้ชแล้วถึงจะมีความสุข แค่คุณรู้จักว่าชีวิตคืออะไร รู้ว่าอารมณ์ที่เกิดขึ้นมาจากสาเหตุใด จะควบคุมได้อย่างไรก็พอ

 

คุณไม่กลัวว่าโค้ชที่คุณสอนขึ้นมาจะแย่งงาน แย่งอาชีพของคุณหรือ

     ไม่นะ เราทำเพราะรู้สึกมั่นคงและปลอดภัยมากๆ เราเชื่อว่าทุกคนบนโลกนี้ต่างก็ต้องการไลฟ์โค้ชเหมือนกันหมด ต่อให้มีไลฟ์โค้ชเกิดขึ้นมากมาย แต่สิ่งที่แต่ละคนมีไม่เหมือนกันคือเรื่องอื่นที่ไม่ใช่ทักษะ เช่น ความปรารถนาดี ความเชื่อ และความเมตตา ถ้าคนที่เป็นโค้ชไปโค้ชเพื่อมุ่งหวังเรื่องเงินเมื่อไร เมื่อนั้นก็จะไม่ได้เงิน ตั้งแต่ที่เราประกอบอาชีพเป็นโค้ช เราจะบอกตัวเองเสมอว่าไม่มีคู่แข่งเพราะมนุษย์ทุกคนต้องการโค้ช ถ้าคิดว่าเงินหายาก เราก็จะมองว่าทุกคนเป็นคู่แข่งของเราหมด แต่ถ้าไปหาเขาเพื่อรับฟังและแก้ปัญหา เขาก็จะรู้สึกปลอดภัยและเชื่อมั่นในตัวคุณ มันไม่จำเป็นต้องแข่งกันหรอก เพราะมันมีช่องทางตลาดมากมาย แค่คุณช่วยเขาแก้ปัญหาได้จริง เขาก็ยินดีจะจ่ายคุณแล้ว แต่ถ้าอยากรวยคุณก็แค่เรียกเงินเขาเยอะๆ เดี๋ยวสักวันคุณก็จะตายไปเอง เพราะไม่มีใครจ่ายคุณไหว

 

ตอนนี้ที่ไทยมีสมาคมที่มาตรวจสอบวิชาชีพไลฟ์โค้ชหรือเปล่า

     ไม่มีนะ แต่ล่าสุดเห็นว่ากระทรวงสาธารณสุขเขาพยายามจะออกกฎหมายเพื่อควบคุมคนที่อ้างว่าตัวเองเป็นไลฟ์โค้ชแล้วคอยไปบำบัดคนอื่นๆ แล้ว เพราะต่อให้คุณจะเป็นไลฟ์โค้ชจริงๆ มีใบรับรองผ่านหลักสูตร NLP มา แต่ก็ไม่มีสิทธิไปบำบัดใคร เพราะไม่มีใบประกอบโรคศิลป์ หน้าที่บำบัดเป็นของจิตแพทย์ ซึ่งปัจจุบันก็มีไลฟ์โค้ชบางกลุ่มที่กล่าวอ้างเกินจริงเรื่องการบำบัด จนคนนอกมองไลฟ์โค้ชกลายเป็นเรื่องดราม่า สมมติคุณไปบำบัดหรือสะกดจิตใครจนเคมีในสมองเขาปั่นป่วนแล้วเสียสติขึ้นมา คุณจะรับผิดชอบอย่างไร

 

โดยส่วนตัวคุณคิดว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้สังคมไทยทุกวันนี้หันไปพึ่งไลฟ์โค้ชกันมากขึ้น
     เพราะว่าโลกมันหมุนเร็ว สภาพแวดล้อมและเทคโนโลยีเปลี่ยนเร็ว ต้องวิ่งตามสิ่งที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา คนเลยไม่มีเวลาในการย่อยเรื่องราวต่างๆ หรือลงรายละเอียดกับอะไรก็ตามในชีวิตจนเกิดความรู้สึกตัดขาดจากตัวเอง ไม่เข้าใจตัวเอง บางคนก็เลือกไปปฏิบัติธรรมเพื่อให้รู้สึกสงบ แต่พอออกมาเจอโลกวุ่นก็กลับไปรู้สึกเหมือนเดิม เรามองว่าไลฟ์โค้ชเป็นศาสตร์ที่สอนให้คนนิ่ง ได้รู้จักและควบคุมตัวเอง

     ปัญหาส่วนใหญ่ที่คนในสังคมกำลังเผชิญคือ การไม่รู้ว่าตัวเองคาดหวังอะไร คนมีทุกข์ก็เพราะสิ่งที่เขาอยากได้ไม่ได้รับการตอบสนอง ถ้าสมัยพุทธกาลเขาจะบอกว่า หากหยุดคาดหวังก็จะหยุดทุกข์ แต่มนุษย์เราที่ยังอยู่ในโลกียะมันก็ยังหยุดคาดหวังไม่ได้ เรายังคาดหวังโดยที่เราไม่รู้ตัวในหลายๆ เรื่อง เช่น คาดหวังว่าตื่นมาแล้วจะมีพรุ่งนี้ คาดหวังว่ากลับบ้านไปบ้านจะยังอยู่ที่เดิม เพราะว่าพอเราสมหวังมันก็จะไม่ทุกข์

ลึกๆ แล้วคนเป็นโค้ชแต่ละคนย่อมรู้อยู่แก่ใจว่า เขาจริงใจหวังจะช่วยคนแก้ปัญหาหรือหวังแค่เงิน

 

เราจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขโดยไม่ต้องรู้จักไลฟ์โค้ชได้ไหม

     มันเป็นปณิธานของเราเลยนะ เราเชื่อว่าถ้าแค่คนไทยรู้จักศาสตร์นี้ เรียนรู้วิธีถามและแก้ปัญหาของตัวเองโดยที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งไลฟ์โค้ช ไทยก็จะกลายเป็นประเทศที่พลเมืองมีความสุขมากขึ้น มันไม่ใช่เรื่องของความรวยหรือจน พอมีความสุข เราก็จะสุขกับสิ่งที่เราเป็นและคิด เมื่อมีปัญหาก็จะคิดหาวิธีแก้ออกได้ คนที่มีปัญหาแล้วแก้ไม่ออก เพราะในหัวเขายังไม่โปร่งบวกกับไม่เชื่อมั่นในตัวเอง ยิ่งการที่คุณย้ำกับตัวเองอยู่ตลอดว่าคุณด้อยค่าและไร้ศักยภาพ นานวันเข้าคุณก็จะกลายเป็นคนไร้ศักยภาพไปจริงๆ เพราะฉะนั้นถ้าทุกคนมีศาสตร์นี้ ไลฟ์โค้ชอยู่ในใจ มีทักษะการรู้จักตัวเอง อยู่ที่ไหนก็รอด

     แต่ก็ไม่จำเป็นนะว่าทุกคนจะต้องมาศึกษาศาสตร์ไลฟ์โค้ชแล้วถึงจะมีความสุข แค่คุณรู้จักว่าชีวิตคืออะไร รู้ว่าอารมณ์ที่เกิดขึ้นมาจากสาเหตุใด จะควบคุมได้อย่างไรก็พอ

 

วงการไลฟ์โค้ชในปัจจุบันเฟื่องฟูจนคนกระโจนเข้ามาในวงการนี้กันมากขึ้น ส่งผลให้คนนอกวงการมองไลฟ์โค้ชว่าเป็นเรื่องหลอกหลวง เกินความเป็นจริง คุณคิดเห็นอย่างไร

     เราก็มีความเห็นไม่ต่างกันแหละ (หัวเราะ) ออกตัวก่อนว่าเราก็ไม่มีสิทธิจะไปวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นเหมือนกัน ไม่ใช่เพราะเราไม่รู้ว่าในวงการนี้ใครดีหรือแย่ แต่ถ้าเราเชื่อว่าไลฟ์โค้ชมันดี เราก็เผยแพร่ศาสตร์ความรู้ไลฟ์โค้ชในแบบของเราต่อไปเรื่อยๆ สิ ไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศอะไรมากมาย เพราะในความเป็นจริงแล้วไลฟ์โค้ชแทบจะไม่จำเป็นจะต้องมีตัวตนเลยด้วยซ้ำ แค่ทำหน้าที่ให้คนที่ถูกโค้ชได้รับประโยชน์มากที่สุดก็พอ เราไม่ได้บอกว่าตัวเองเป็นเทพแก้กรรมที่เก่งจนปลดล็อกให้ใครๆ ก็ได้ หรือมีหน้าที่ไปชี้ว่าโค้ชคนไหนของจริงหรือปลอม ต่สิ่งที่เราสามารถทำได้ด้วยศักยภาพที่มีคือการพูดให้คนเข้าใจในศาสตร์นี้

 

เพราะกลุ่มคนบางกลุ่มเข้ามาในวงการไลฟ์โค้ชทั้งๆ ที่อาจจะยังไม่มีความสามารถมากพอหรือเปล่า คนส่วนใหญ่จึงเกิดอคติกับอาชีพนี้

     มีส่วนนะ เพราะเดี๋ยวนี้ใครไปเรียนอะไรมานิดหน่อยก็ตั้งชื่อตัวเองว่าโค้ช แล้ว ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงเขาเข้าใจหรือเปล่าว่าโค้ชคืออะไร ตอนที่โค้ชเขาใช้เครื่องมือแบบไหน หรือทำให้การโค้ชมีภาพลักษณ์เป็นอย่างไร แต่เช่นเดียวกัน เราก็ไม่มีสิทธิไปตัดสินเขา เพราะไทยก็ยังไม่มีองค์กรที่เกิดขึ้นมาเพื่อมีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบหรือกำหนดมาตรฐานอาชีพการเป็นไลฟ์โค้ช อย่างสหพันธ์โค้ชนานาชาติก็ทำได้แค่ปลดโค้ชคนนั้นออกจากการเป็นสมาชิก ซึ่งก็ไม่ได้ถือเป็นเรื่องเดือดร้อนอะไร เพราะตัวเขาเองก็ยังเป็นโค้ชได้อยู่

 

รู้สึกแย่ไหมเวลาที่คนส่วนใหญ่มองไลฟ์โค้ชทุกวันนี้เป็นอาชีพที่หลอกคนให้เชื่อเรื่องอะไรก็ไม่รู้ หรือสร้างมูลค่าให้กับตัวเองเพื่อต่อยอดอะไรบางอย่าง

     ผิดหวังแต่ไม่ได้รู้สึกแย่ ครั้งหนึ่งคนในบริษัทเคยมาปรึกษาเราว่า “ไลฟ์โค้ชเป็นคำที่ฟังแล้วดูแย่ เข้าไปขายในองค์กรเขาก็ไม่มีใครเอา ควรจะเปลี่ยนชื่อดีไหม” เราก็บอกเขาว่า ไม่ เราต้องยืนหยัดในสิ่งที่เราเป็น ฉะนั้นแค่บอกว่าวงการนี้แย่ เราก็ไม่ควรรู้สึกว่าสิ่งที่เราทำมันแป้กไปด้วย ไม่ว่าคำวิพากษ์วิจารณ์มันจะเป็นเช่นไร มันไม่ได้หมายความว่าเราจะเป็นเช่นนั้นเสมอไป สิ่งสำคัญคือการย้อนกลับมาดูตัวเองว่าที่จริงแล้วตัวเราหรือไลฟ์โค้ชกันแน่ที่แย่ ถ้าตัวเราไม่ได้แย่ แต่คำว่าไลฟ์โค้ชต่างหากที่ดูแย่ ก็อย่าไปหวั่นไหวกับคำวิจารณ์เหล่านั้น

ไลฟ์โค้ชในระบบการศึกษาเป็นหนึ่งในสิ่งที่เราหวังจะเห็นภายในชาตินี้

 

มีคำกล่าวอีกประเภทที่ว่าไลฟ์โค้ชกลายเป็นพื้นที่สำหรับคนรวยหรือ Business Matching เท่านั้น คุณคิดเห็นอย่างไร

     ถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ มันก็อาจจะมีเรื่องอื่นแอบแฝง แต่พูดไปก็เหมือนเราไปเฉพาะเจาะจงใครเลย (หัวเราะ) จริงๆ เรื่องพวกนี้มันอยู่ที่การเจาะตลาดมากกว่า สมมติไลฟ์โค้ชเจาะตลาดล่าง เลือกทำงานช่วยคนในชุมชนแออัด คนนอกก็อาจจะมองว่าไลฟ์โค้ชเป็นเรื่องของคนจน แต่ถ้าเป็นเซเลบไลฟ์โค้ช คนที่เข้ามาหาเราเป็นดาราและไฮโซทั้งนั้น คนก็จะมองว่า อ๋อ ไลฟ์โค้ชมันแพง มันสำหรับคนรวยเท่านั้น

 

แล้วในกรณีที่ไลฟ์โค้ชใช้ความน่าเชื่อถือของเขามาต่อยอดทางธุรกิจ คุณมองว่าผิดไหม

     ไม่ผิดนะ เพราะมันอยู่ที่การตัดสินใจของผู้บริโภคหรือคนที่เขาเชื่อ แต่มันก็จะยืนระยะไม่ได้นาน วันหนึ่งคนก็จะฉุกคิดได้ว่าเขาถูกหลอกหรือเปล่า ฟุ่มเฟือยหรือไม่ หรือว่าเขาอาจจะได้รับประโยชน์จริงๆ ก็ได้ใครจะรู้ จริตคนเรามันไม่เหมือนกันอยู่แล้ว จะผิดอย่างเดียวคือในกรณีคนเป็นโค้ชมีเจตนาจะหลอกเงินคนจริงๆ เห็นเขารวยก็หวังจะเอาประโยชน์จากเขา เราว่าลึกๆ แล้วคนเป็นโค้ชแต่ละคนย่อมรู้อยู่แก่ใจว่า เขาจริงใจหวังจะช่วยคนแก้ปัญหาหรือหวังแค่เงิน

 

มุมมองของคนนอกที่มีต่อไลฟ์โค้ชจะดีขึ้นได้อย่างไร

     ต่อเมื่อคนที่เป็นไลฟ์โค้ชจริงๆ ไลฟ์โค้ชคือการเรียนทักษะเพื่อไปช่วยผู้อื่นโดยที่เราไม่มีตัวตน ดำรงตนเพื่อคนที่อยู่ข้างหน้าเราแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ ต้องซื่อสัตย์ต่ออาชีพและคนที่เข้ามารับการโค้ช สิ่งๆ นี้จะทำให้ภาพลักษณ์ของคนที่มีต่อวงการโค้ชดีขึ้น ที่สำคัญคนเป็นโค้ชต้องคิดอยู่ในใจเสมอว่า ‘เราไปให้เขา  ไม่ใช่ไปเอาจากเขา’

 

เป้าหมายในการประกอบอาชีพไลฟ์โค้ชของคุณเป็นอย่างไร

     เรามีเป้าหมายสองอย่าง เป้าหมายสำหรับตัวเองคือการลดอัตตาให้ได้มากกว่านี้ เพราะเป็นมนุษย์อย่างไรแล้วก็ต้องมีอัตตา แต่เมื่อรู้ว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิดก็ต้องรู้จักยอมรับต่อตัวเองและคนรอบข้างให้เร็วที่สุด

     ส่วนเป้าหมายของธุรกิจไลฟ์โค้ช คือการขยายศาสตร์นี้ออกไปให้ถึงทุกคนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เราพยายามผลักดันไลฟ์โค้ชให้เข้าไปในระบบการศึกษามาก เพราะถ้าครูทุกคนมีทักษะนี้ เขาก็จะไม่ตัดสินเด็ก พ่อแม่ก็จะไม่ตัดสินลูก เด็กไทยมักจะถูกพ่อแม่ตัดสินและแบกรับความคาดหวังจากพ่อแม่จนทำให้ไม่เป็นตัวของตัวเอง ถูกบังคับให้เป็นในสิ่งที่ไม่อยากเป็น ไม่อยากทำ เพราะกลัวผู้ใหญ่ไม่รัก ทั้งๆ ที่ตัวเองมีศักยภาพอยู่มากมาย ไลฟ์โค้ชในระบบการศึกษาจึงเป็นหนึ่งในสิ่งที่เราหวังจะเห็นภายในชาตินี้ ไม่ต้องรอให้มองลงมาจากสวรรค์แล้วจึงจะเห็น

FYI
  • พจนารถบอกว่า สำหรับคนที่อยากเป็นโค้ชจริงๆ จะต้องใช้ระยะเวลาในการเรียนแต่ละหลักสูตรไม่ต่ำกว่า 1 ปีครึ่งหรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับความขยันของแต่ละคน มีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นประมาณ 200,000 บาท
  • โลโก้จักรยานของสถาบัน Jimi The Coach หมายถึงการที่มนุษย์ทุกคนต้องรับผิดชอบชีวิต (จักรยาน) ให้ดำเนินไปด้วยสรรพกำลังของตนเอง ไม่มีใครสามารถใช้ชีวิตหรือขี่จักรยานแทนกันได้
  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising