เทสลา (Tesla) เตรียมเดินสายพานการผลิตรถยนต์โมเดล 3 วันศุกร์นี้ ชูจุดเด่นด้านราคาขายที่ถูกลงกว่าเดิม
เมื่อวันจันทร์ที่ 3 กรกฎาคมที่ผ่านมา อีลอน มัสก์ (Elon Musk) นักธุรกิจและผู้บริหารบริษัทรถยนต์เทสลา (Tesla) ได้ประกาศเตรียมเดินสายพานการผลิตรถยนต์เทสลา โมเดล 3 ในวันศุกร์นี้ ซึ่งถือว่าเร็วกว่าที่มัสก์คาดไว้ในตอนแรกถึง 2 อาทิตย์
มัสก์เผยผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัวของเขาว่า “โมเดล 3 ผ่านข้อกำหนดทางกฎหมายทุกข้อสำหรับกระบวนการผลิตล่วงหน้าตามกำหนดในตารางถึง 2 อาทิตย์ และคาดว่ารถยนต์โมเดล 3 คันแรกจะผลิตเสร็จในวันศุกร์นี้
“กำหนดส่งมอบรถยนต์โมเดล 3 จำนวน 30 คันแรกจะเริ่มต้นในวันศุกร์ที่ 28 กรกฎาคม กระบวนการผลิตค่อนข้างเป็นไปได้เร็วมากๆ และดูเหมือนว่าเราจะผลิตโมเดล 3 ได้มากถึง 20,000 คันต่อเดือนในช่วงธันวาคมปีนี้”
สำหรับงานส่งมอบรถยนต์โมเดล 3 ของเทสลาจะจัดขึ้นที่โรงงานเทสลาบนถนนฟรีมอนต์ (Fremont) รัฐแคลิฟอร์เนีย (California) โดยที่เทสลายังตั้งเป้าจะผลิตรถยนต์เพิ่มขึ้นให้ได้ถึง 10,000 คันต่อสัปดาห์ในช่วงปี 2018 ที่จะถึงนี้
รถยนต์เทสลาโมเดล 3 เป็นรถซีดาน 5 ที่นั่ง สมรรถนะสูง สามารถทำความเร็วจาก 0 ถึง 96 กิโลเมตร (60 ไมล์) ได้ภายในระยะเวลา 6 วินาที และสามารถวิ่งได้มากถึง 346 กิโลเมตรต่อการชาร์จไฟฟ้าหนึ่งครั้ง
ด้วยยอดจองที่เพิ่มขึ้นเช่นนี้น่าจะทำให้เทสลากลายเป็นมหาอำนาจบริษัทผลิตรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาไปโดยปริยาย ด้านมูลค่าตามราคาตลาด ซึ่งในวอลล์สตรีทพวกเขามีมูลค่าสูงถึง 60,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
ปรับราคาลงเพื่อเจาะกลุ่มตลาดแมส
เชื่อกันว่ารถยนต์พลังงานไฟฟ้าของมัสก์รุ่นใหม่นี้มีความตั้งใจจะเจาะตลาดกลุ่มผู้บริโภคที่หลากหลายมากขึ้น เนื่องจากราคาเปิดของเทสลาโมเดล 3 มีราคาเริ่มต้นแค่ 35,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1.2 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งถือว่าราคาถูกผิดคาดชื่อชั้นความเป็นรถยนต์เทสลาอยู่มากโข
ยิ่งเมื่อเทียบกับราคาของรถเทสลาทั้ง 2 รุ่นก่อนหน้านี้ที่กำลังวางจำหน่ายอยู่อย่าง เทสลารุ่นแรก ‘โมเดล เอส’ (Tesla Model S: Sedan) ที่มีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 69,500 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 2.36 ล้านบาท และเทสลารุ่นที่สองอย่าง ‘โมเดล เอ็กซ์’ (Tesla Model X: SUV) ที่มีราคาเริ่มต้นสูงถึง 82,500 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 2.8 ล้านบาท นั่นเท่ากับว่าเจ้าโมเดล 3 จะมีราคาถูกกว่ารถยนต์รุ่นพี่ๆ ของเขาถึงกว่าเท่าตัวเลยทีเดียว
นอกเหนือจากความตั้งใจในการเล่นกับตลาดผู้บริโภคที่หลากหลาย กลยุทธ์การหั่นราคาเทสลาโมเดล 3 ในครั้งนี้ยังเป็นไปเพื่อพลิกโฉมเทสลาให้กลายเป็นอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ขนาดใหญ่ เพราะตลอดทั้งปี 2016 ที่ผ่านมา ทั้งโมเดล เอส และ โมเดล เอ็กซ์ สามารถผลิตได้แค่ 84,000 คันเท่านั้น ซึ่งมัสก์ตั้งเป้าไว้ว่าเทสลาจะต้องผลิตรถยนต์ให้ได้มากกว่า 500,000 คันภายในปี 2018 และต้องทะยานไปให้ถึงหลักล้านคันภายในปี 2020
แน่นอนว่าหลังจากที่ปรับราคาของโมเดล 3 ให้ถูกลงเช่นนี้ ยอดจองล่วงหน้าของมันก็เพิ่มสูงขึ้นมาก ถึงขนาดที่หน้าเว็บไซต์ของเทสลาได้แจ้งลูกค้าที่จองรถยนต์ในช่วงนี้เอาไว้ว่าพวกเขาอาจจะได้รับส่งมอบรถยนต์ล่าช้า ซึ่งคาดว่าน่าจะได้รับส่งมอบในช่วงกลางปี 2018
ด้วยยอดจองที่เพิ่มขึ้นเช่นนี้น่าจะทำให้เทสลากลายเป็นมหาอำนาจบริษัทผลิตรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาไปโดยปริยาย ในด้านมูลค่าตามราคาตลาด ซึ่งในวอลล์สตรีทพวกเขามีมูลค่าสูงถึง 60,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ เจเนรัลมอเตอร์ (General Motors (GM)) บริษัทผู้ผลิตรถยนต์อย่างคาดิลแลค (Cadillac), เชฟโรเลต (Chevrolet) และ จีเอ็มซี (GMC) มีมูลค่าอยู่ที่ 53,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนฟอร์ด (Ford) มีมูลค่าอยู่ที่ 45,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
แม้ในความเป็นจริงพวกเขาจะยังไม่ทำกำไร ส่วนเจเนรัลมอเตอร์และฟอร์ดเองก็ผลิตรถยนต์ได้เป็นหลักล้านคันต่อปี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นหากกระบวนการผลิตโมเดล 3 ล่าช้าไม่เป็นไปตามกำหนดทิศทางของตลาดการเงิน (Financial Markets) ของเทสลาก็อาจจะเปลี่ยนเเปลงได้เช่นกัน
อุปสรรคใหญ่อยู่ที่ ‘แบตเตอรี่’
ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2017 นี้ (มีนาคม-พฤษภาคม) เทสลาสามารถส่งมอบรถได้มากกว่า 22,000 คัน แบ่งเป็นโมเดล เอส และ โมเดล เอ็กซ์ รุ่นละ 12,000 คัน และ 10,000 คันตามลำดับ ขายได้มากกว่าในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วถึง 53% และคาดการณ์ว่าในครึ่งปี 2017 นี้พวกเขาน่าจะทำยอดจำหน่ายรถได้มากกว่า 47,100 คันแน่นอน
ทั้งนี้บริษัทเทสลามองว่าปัญหาการขาดแคลนชุดแบตเตอรี่ที่เคยมีในรถยนต์ของเทสลาทั้ง 2 รุ่นก่อนหน้านี้ มีผลให้กระบวนการผลิตรถยนต์ล้าช้ากว่าที่คาดไว้ และเชื่อว่าหากสามารถแก้ปัญหาดังกล่าวได้ พวกเขาจะทำยอดขายและยอดผลิตได้เป็นประวัติการณ์ของบริษัทแน่นอน
ในแถลงการณ์ระบุว่า ‘ถ้าปัญหานี้ได้รับการแก้ไข ออเดอร์สั่งซื้อในเดือนมิถุนายนและการจัดส่งจะทรงประสิทธิภาพมากขึ้น จนอาจจะกลายเป็นยอดขายที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์บริษัทเทสลาเลยด้วยซ้ำ’
โดย ณ ขณะนี้เทสลาได้เริ่มเดินสายการผลิตเเบตเตอรี่เป็นจำนวนมากที่โรงงานในเนวาดา (Nevada) แล้ว
เทสลาเจาะตลาดรถยนต์ขนาดใหญ่ หวังกระตุ้นความซบเซาของตลาดรถยนต์สหรัฐอเมริกา
ทั้งนี้การปรับลดราคาของเทสลา โมเดล 3 ให้ถูกกว่ารถรุ่นอื่นๆ ของเทสลาน่าจะช่วยกระตุ้นปัญหาตลาดรถยนต์ในสหรัฐฯ ซบเซา ณ ช่วงเวลานี้ได้ไม่มากก็น้อย
จากข้อมูลระบุว่ายอดขายรถในอุตสาหกรรมรถยนต์ประเทศอเมริกาเดือนมิถุนายนตกลงจากเดือนพฤษภาคมปีนี้ถึง 3% ยิ่งไปกว่านั้นในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว อุตสาหกรรมรถยนต์อเมริกายังจำหน่ายรถได้มากกว่า 16.8 ล้านคัน เทียบกับช่วงเวลานี้ที่พวกเขาสามารถจำหน่ายรถได้แค่ 16.51 ล้านคัน ถือว่าลดลงจากเดิมพอสมควร
มิเชล เครบส์ (Michelle Krebs) นักวิเคราะห์อาวุโสจาก Autotrader ให้ความเห็นว่า “ยอดขายรถในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาช่วยยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าเราผ่านพ้นช่วงพีกของการจำหน่ายรถยนต์มาแล้ว เรายังคงคิดว่าตลาดยังอยู่ในทิศทางการเติบโตที่ดีและเป็นปีที่น่าจะไปได้สวย แต่ ณ เวลานี้ยอดขายมันยังต่ำกว่าที่ผ่านมาอยู่มาก”
นอกจากนี้มิเชลยังเชื่ออีกด้วยว่า การที่ค่ายรถยนต์ในสหรัฐฯ ณ เวลานี้หันมาเล่นโปรโมชันออกข้อเสนอพิเศษเพื่อให้ผู้ซื้อทำธุรกรรมกู้ยืมผ่อนได้ง่ายขึ้น รวมถึงการปรับราคารถในท้องตลาดให้ต่ำลงก็เป็นไปเพื่อหวังกระตุ้นยอดขายตลาดรถยนต์ให้สูงขึ้น
อย่างไรก็ตามมิเชลก็ยังกล่าวทิ้งท้ายไว้ว่าสถานะทางการเงินของผู้ผลิตรถยนต์ก็ยังคงไปได้สวยอยู่ ซึ่งไม่น่าจะมีปัญหาอะไรเมื่อเทียบกับยอดขายรถที่ดิ่งลงในเวลานี้
มีการเปิดเผยข้อมูลโดย Autodata ว่าตลอดทั้งเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เทสลาสามารถจำหน่ายรถยนต์ได้แค่ 3,900 คันเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าปัญหาการผลิตแบตเตอรี่ไม่ทันก็มีส่วนไม่น้อยที่ทำให้พวกเขาผลิตรถยนต์ออกจำหน่ายไม่ได้ตามเป้าหมาย แต่เมื่อไรก็ตามที่พวกเขาสามารถแก้ปัญหาเเบตเตอรี่ขาดตลาดได้ และผลิตรถยนต์เทสลา โมเดล 3 ออกมาสู่ท้องตลาดได้ตรงกับจำนวนที่มากพอกับความต้องการ เมื่อนั้นเราอาจจะเห็นภาพรวมของทิศทางและผลตอบรับของเทสลาได้ชัดเจนขึ้น
Photo: www.tesla.com/model3
อ้างอิง