×

สภาพัฒน์ชี้ GDP ไทยไตรมาส 2/63 หดตัว 12.2% รับผลเครื่องยนต์เศรษฐกิจทรุด

โดย THE STANDARD TEAM
17.08.2020
  • LOADING...

ทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 2 ของปี 2563 ปรับตัวลดลง 12.2% ต่อเนื่องจากการลดลง 2.0% ในไตรมาสก่อนหน้า (%YoY) และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 2 ของปี 2563 ลดลงจากไตรมาสแรกของปี 2563 (%QoQ_SA) 9.7% รวมครึ่งแรกของปี 2563 เศรษฐกิจไทยปรับตัวลดลง 6.9%

 

ด้านการใช้จ่าย การระบาดของโรคโควิด 19 ทั้งในและต่างประเทศ ส่งผลให้การส่งออกสินค้าและบริการ การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนปรับตัวลดลง ขณะที่การใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐขยายตัวสนับสนุนเศรษฐกิจ

 

การบริโภคภาคเอกชนปรับตัวลดลง 6.6% เทียบกับการขยายตัว 2.7% ในไตรมาสก่อนหน้า สอดคล้องกับการลดลงของฐานรายได้ในระบบเศรษฐกิจและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 และการดำเนินมาตรการควบคุมและป้องกันการระบาดของภาครัฐ ซึ่งทำให้การบริโภคภาคเอกชนลดลงทั้งในหมวดสินค้าคงทน กึ่งคงทน และหมวดบริการ สอดคล้องกับการลดลงของการใช้จ่ายในกลุ่มสินค้าและบริการสำคัญๆ เช่น

 

  • การซื้อยานยนต์ (ลดลง 43.0%) 
  • การใช้จ่ายเกี่ยวกับเสื้อผ้าและรองเท้า (ลดลง 21.4%) 
  • การใช้จ่ายในร้านอาหารและโรงแรม (ลดลง 45.8%) 
  • การใช้จ่ายซื้อสินค้าเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ (ลดลง 17.1%) 
  • ขณะที่การใช้จ่ายเพื่อค่าน้ำและค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 3.8%

 

การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาลเพิ่มขึ้น 1.4% เทียบกับการปรับตัวลดลง 2.8% ในไตรมาสก่อนหน้า อัตราการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายรวมในไตรมาสนี้อยู่ที่ 22.3% (สูงกว่าอัตราเบิกจ่าย 19.7% ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน) รวมครึ่งแรกของปี 2563 การบริโภคภาคเอกชนลดลง 2.1% และการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาลลดลง 0.7%

 

การลงทุนรวมปรับตัวลดลง 8.0% เทียบกับการลดลง 6.5% ในไตรมาสก่อนหน้า แบ่งเป็น 

  • การลงทุนภาคเอกชนปรับตัวลดลง 15.0% ต่อเนื่องจากการลดลง 5.4% ในไตรมาสก่อนหน้า เป็นผลจากการลดลงของการลงทุนในเครื่องมือเครื่องจักรและการลงทุนในสิ่งก่อสร้าง 18.4% และ 2.1% ตามลำดับ
  • การลงทุนภาครัฐเพิ่มขึ้น 12.5% เทียบกับการปรับตัวลดลง 9.3% ในไตรมาสก่อนหน้า เป็นผลจากการลงทุนรัฐบาลเพิ่มขึ้น 21.0% ในขณะที่การลงทุนรัฐวิสาหกิจลดลง 0.8% สำหรับอัตราการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนในไตรมาสนี้อยู่ที่ 17.9% เทียบกับอัตราเบิกจ่าย 10.8% ในไตรมาสก่อนหน้า และ 16.8% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน

 

รวมครึ่งแรกของปี 2563 การลงทุนรวมลดลง 7.2% โดยการลงทุนภาคเอกชนลดลง 10.2% ขณะที่การลงทุนภาครัฐเพิ่มขึ้น 1.2%

 

ในด้านภาคต่างประเทศ การส่งออกสินค้ามีมูลค่า 49,787 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 17.8% เทียบกับการขยายตัว 1.4% ในไตรมาสก่อนหน้าตามภาวะถดถอยรุนแรงของเศรษฐกิจและการค้าโลก โดยปริมาณการส่งออกลดลง 16.1% และราคาส่งออกลดลง 2.0%

 

กลุ่มสินค้าส่งออกที่มูลค่าลดลง เช่น ข้าว (ลดลง 0.9%) ยางพารา (ลดลง 41.0%) น้ำตาล (ลดลง 28.4%) รถยนต์นั่ง (ลดลง 45.2%) รถกระบะและรถบรรทุก (ลดลง 67.7%) ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ยานยนต์ (ลดลง 45.0%) เครื่องจักรและอุปกรณ์ (ลดลง 23.4%) เคมีภัณฑ์ (ลดลง 20.4%) ปิโตรเคมี (ลดลง 18.9%) และผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม (ลดลง 42.7%) เป็นต้น

 

กลุ่มสินค้าส่งออกที่มูลค่าขยายตัว เช่น ผลไม้ (47.4%) ปลากระป๋องและปลาแปรรูป (17.9%) ผลิตภัณฑ์ยาง (23.4%) อาหารสัตว์ (24.0%) และคอมพิวเตอร์ (5.8%) เป็นต้น การส่งออกสินค้าไปยังตลาดสหรัฐฯ จีน กลับมาขยายตัว ขณะที่การส่งออกไปยังตลาดญี่ปุ่น อาเซียน (9) สหภาพยุโรป (15) ออสเตรเลีย และตะวันออกกลาง (15) ปรับตัวลดลงเมื่อหักการส่งออกทองคำที่ยังไม่ขึ้นรูปออกแล้ว มูลค่าการส่งออกลดลง 21.4% และมูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปของเงินบาทลดลงร้อยละ 16.8 รวมครึ่งแรกของปี 2563 การส่งออกสินค้าคิดเป็นมูลค่า 110,654 ล้านดอลลาร์สหรัฐลดลง 8.2%

 

การนำเข้าสินค้ามีมูลค่า 41,746 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 23.4% (ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 6) เทียบกับการลดลง 1.0% ในไตรมาสก่อนหน้า สอดคล้องกับการลดลงของการส่งออก อุปสงค์ในประเทศ และราคานำเข้าสินค้า โดยปริมาณการนำเข้าลดลง 19.3% ส่วนราคานำเข้าลดลง 5.1% รวมครึ่งแรกของปี 2563 การนำเข้าสินค้าคิดเป็นมูลค่า 94,562 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 12.3%

 

สถานการณ์การว่างงาน ผู้ว่างงานมีจำนวนทั้งสิ้น 0.75 ล้านคน คิดเป็นอัตราการว่างงาน 1.95% เพิ่มขึ้น 1 เท่าจากอัตราการว่างงานในช่วงปกติ และเป็นอัตราการว่างงานที่สูงสุดตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2552 ผู้ว่างงาน 64.2% เคยทำงานมาก่อน โดย 58.7% สาเหตุที่ว่างงานเกิดจากสถานที่ทำงานเลิก/หยุด/ปิดกิจการ หรือหมดสัญญาจ้าง 

 

ทั้งนี้ผู้ประกันตนรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน (รายใหม่) ในช่วงไตรมาส 2 เพิ่มสูงขึ้นตั้งแต่เดือนเมษายน จำนวน 0.12 ล้านราย โดยสูงสุดในเดือนพฤษภาคมที่ 0.17 ล้านราย และปรับตัวลดลงในเดือนมิถุนายน เหลือ 0.13 ล้านราย ทั้งนี้รัฐบาลมีมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจภายใต้ พ.ร.ก. กู้เงินฯ วงเงิน 4 แสนล้านบาท ณ วันที่ 13 สิงหาคม 2563 ได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีไปแล้วจำนวน 11 โครงการ รวมวงเงิน 42,964 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะสามารถสร้างงานได้ 86,103 ตำแหน่ง โดยมีระยะเวลาการจ้างงาน 3-12 เดือน ที่จะช่วยให้ผู้ว่างงานสามารถมีงานทำและมีรายได้เพิ่มขึ้น

 

ขณะที่ประเด็นที่ต้องติดตามในระยะต่อไปในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 ตลาดแรงงานจะยังได้รับผลกระทบที่ต่อเนื่องจากช่วงครึ่งแรกของปี โดยมีประเด็นที่ต้องติดตามคือ 

 

  1. แนวโน้มเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี ที่ยังไม่มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างชัดเจน จะส่งผลให้ธุรกิจซึ่งส่วนใหญ่ที่มีสภาพคล่องสำรองเพียงพอสำหรับรองรับวิกฤตได้ไม่เกิน 6 เดือน อาจเลิกจ้างงานและปิดกิจการ โดยเฉพาะสถานประกอบการที่ขอใช้มาตรา 75 ซึ่งเป็นกลุ่มที่ขอหยุดชั่วคราว แต่ยังต้องรับภาระในการจ่ายค่าจ้างให้กับลูกจ้างอยู่ และผู้จบการศึกษาใหม่ในปี 2563 ที่กำลังจะเข้าสู่ตลาดแรงงาน 0.52 ล้านคน มีแนวโน้มจะหางานทำได้ยากขึ้น หรืออาจต้องใช้ระยะเวลาในการหางานนานกว่าปกติ

 

  1. ปัญหาภัยแล้งที่ต่อเนื่อง และสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก จะส่งผลต่อการจ้างงานในภาคเกษตร และกระทบต่อรายได้แรงงาน อีกทั้งภาคเกษตรอาจจะสูญเสียความสามารถในการดูดซับแรงงานจากนอกภาคเกษตรที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 

 

  1. ผลของมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจต่อการจ้างงาน ซึ่งต้องติดตามผลของการฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิดว่าสามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างงานได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ โดยปัจจุบันแม้ว่าจะได้รับการอนุมัติโครงการไปแล้วบางส่วน แต่โครงการส่วนใหญ่จะเริ่มการจ้างงานภายในเดือนตุลาคม 2563 ซึ่งหากมีความล่าช้าอาจทำให้ไม่สามารถช่วยเหลือแรงงานที่ตกงานได้อย่างเต็มที่

 

ส่วนหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัว ขณะที่คุณภาพสินเชื่อด้อยลงทุกประเภทสถานการณ์หนี้สินครัวเรือนในไตรมาส 1 ปี 2563 มีมูลค่า 13.48 ล้านล้านบาท ขยายตัว 3.9% ชะลอลงจาก 5.1% ในไตรมาสก่อน โดยเป็นผลจากความเชื่อมั่นที่ลดลงตามสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่มีความไม่แน่นอนสูง ส่งผลให้ความต้องการอุปโภคบริโภคของครัวเรือนปรับตัวลดลง รวมถึงความต้องการสินเชื่อของครัวเรือนในเกือบทุกประเภท สัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อ GDP อยู่ที่ 80.1% สูงสุดในรอบ 4 ปี นับตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2559 ขณะที่ภาพรวมคุณภาพสินเชื่อด้อยลง โดย ณ สิ้นสุดไตรมาส 1 ปี 2563 ยอดคงค้างหนี้เพื่อการอุปโภคบริโภคที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) มีมูลค่า 156,226 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.6% และมีสัดส่วนต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ 3.23% เพิ่มขึ้นจากสัดส่วน 2.90% ในไตรมาสก่อน

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising