ข้อเท็จจริงชนวนการฟ้องร้อง
กรณีวิทยานิพนธ์ของ ‘ณัฐพล ใจจริง’ ถูกฟ้องร้อง โดยณัฐพลในฐานะผู้เขียน เป็นจำเลยที่ 1 อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์คือ ‘กุลลดา เกษบุญชู มี้ด’ เป็นจำเลยที่ 2 ส่วนอีก 4 จำเลยคือสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวและผู้ที่เกี่ยวข้องรวมทั้งหมดเป็น 6 จำเลย
ขณะที่ฝ่ายโจทก์คือ ม.ร.ว.ปรียนันทนา รังสิต หลานของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร มอบหมายให้ทนายความยื่นคำฟ้องต่อศาลแพ่ง เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2564 เรียกค่าเสียหาย 50 ล้านบาท ต่อ 6 จำเลย ฐานความผิดละเมิดไขข่าวด้วยข้อความฝ่าฝืนความจริง
หนึ่งในพยานฝ่ายโจทก์คือ ‘ไชยันต์ ไชยพร’ นอกจากเขาจะเป็นอาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยแล้ว ยังเป็นหัวหน้าโครงการวิจัย ‘จากมวลชนปฏิวัติสู่มวลชนประชาธิปไตย กับ พระมหากษัตริย์: การศึกษาพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชในกระแสการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย’ ภายใต้การสนับสนุนทุนวิจัยจากสถาบันพระปกเกล้า
วิทยานิพนธ์ที่ถูกฟ้องเป็นวิทยานิพนธ์ดีมาก (Excellent) ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปีการศึกษา 2552 เรื่อง ‘การเมืองไทยสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ภายใต้ระเบียบโลกของสหรัฐอเมริกา (พ.ศ. 2491-2500)’ ณัฐพล ใจจริง เขียนก่อนสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก ปีการศึกษา 2552 จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
กรรมการสอบวิทยานิพนธ์ทั้ง 5 ท่านได้ลงมติเป็น ‘เอกฉันท์’ ให้เป็นวิทยานิพนธ์ดีมาก (Excellent) โดย ‘ไชยวัฒน์ ค้ำชู’ ในฐานะประธานกรรมการสอบวิทยานิพนธ์เป็นผู้เขียนเหตุผลที่คณะกรรมการประเมินให้เป็นวิทยานิพนธ์ระดับดีมาก
สำหรับกรรมการ 5 ท่าน ประกอบด้วย
- ไชยวัฒน์ ค้ำชู ประธานกรรมการสอบวิทยานิพนธ์
- นครินทร์ เมฆไตรรัตน์
- สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ
- วีระ สมบูรณ์
- กุลลดา เกษบุญชู มี้ด อาจารย์ที่ปรึกษา
นักวิชาการประวัติศาสตร์มองเป็นความขัดแย้งทางความคิดข้ามรัชสมัย
THE STANDARD สัมภาษณ์ ‘ชาญวิทย์ เกษตรศิริ’ นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ถึงปัญหาการฟ้องร้องงานวิชาการในอดีตและคดีฟ้องร้องกรณีล่าสุด
ชาญวิทย์กล่าวว่า กรณีวิทยานิพนธ์ถูกฟ้องร้องในอดีตที่ผ่านมามักจะเป็นปัญหาเรื่องว่าคนนี้ขโมยงานคนโน้น คนโน้นขโมยงานคนนี้ ขโมยไอเดียบ้างหรือไม่ก็ก๊อบปี้บ้าง แต่เรื่องที่ฟ้องกันใหญ่โตมโหฬารแบบกรณี ณัฐพล ใจจริง อาจจะเป็นกรณีพิเศษ เพราะเป็นปัญหาความขัดแย้งทางความคิดทางการเมืองของประเทศไทยยุคปัจจุบัน
“ผมคิดว่ามันเป็นปัญหาความขัดแย้ง ความแตกแยกทางความคิดในช่วงปลายรัชสมัยรัชกาลที่ 9 และสืบต่อมารัชกาลที่ 10 ปัจจุบัน เพราะฉะนั้นเรื่องเล็กจึงถูกทำให้เป็นเรื่องใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มบารมีเดิม อำนาจเดิม รับไม่ได้กับวิธีคิด วิธีมอง วิธีตีความปรากฏการณ์ทางประวัติศาสตร์ในช่วงรัชสมัยที่แล้วแบบนี้
“ฉะนั้นเมื่อบังเอิญมีปัญหาเชิงอรรถกรณีการใช้เอกสาร ก็เป็นโอกาสที่กลุ่มบารมีเดิม อำนาจเดิม จะทำเรื่องเหล่านี้ให้เป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา
“แต่ในแง่ของผม ถ้ามองอีกด้านหนึ่งก็ทำให้คนจำนวนไม่น้อยเลย ซึ่งอาจจะไม่ได้รับรู้เรื่องนี้ไม่ได้สนใจเรื่องนี้ เกิดความคิดความอ่าน เกิดความเข้าใจกับสิ่งที่เรียกว่าประวัติศาสตร์การเมืองของไทยในช่วงรัชกาลที่แล้ว
“คือเราต้องยอมรับว่าในช่วงรัชกาลที่แล้วซึ่งเป็นรัชสมัยที่ยาวมากๆ มีปรากฏการณ์อะไรหลายอย่าง ถ้าใช้คำของอาจารย์ธงชัย วินิจจะกูล ก็คือปรากฏการณ์ที่เห็นอย่างชัดเจนในเรื่องการตอกย้ำสิ่งที่เรียกว่าราชาชาตินิยม ถ้าเรากลับไปดูเราก็จะเห็นชัดเจนขึ้น ความขัดแย้งที่มาถกเถียงกันต้องขึ้นศาลเป็นคดีความแบบนี้ ทำให้เกิดภาพที่ชัดเจน
“หรือถ้าจะยืมคำของอาจารย์เกษียร เตชะพีระ ใช้คำสั้นๆ มากๆ ‘The Bhumibol Consensus’ (ฉันทามติภูมิพล) ซึ่งผมแปลเป็นภาษาไทยว่า ฉันทามติในหลวงรัชกาลที่ 9 ผมว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เรามองข้ามไป”
ความขัดแย้งในสายธารเดียวกันในรอบทศวรรษ
ชาญวิทย์กล่าวถึงความขัดแย้งในรอบสิบกว่าปีมานี้เป็นความต่อเนื่องนับแต่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 ถึงปัจจุบันว่า เป็นความขัดแย้งที่อยู่ในกระแสเดียวกัน จุดเปลี่ยนสำคัญคือวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540, การขึ้นมามีอำนาจของทักษิณปี 2544, การรัฐประหารทักษิณปี 2549, การรัฐประหาร ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปี 2557 กระทั่งความขัดแย้งในปัจจุบันปี 2564 ซึ่งกระบวนการตุลาการตีความข้อเรียกร้องปฏิรูปเป็นการล้มล้าง
“เริ่มจากยุคต้มยำกุ้ง วิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ซึ่งเปิดโอกาสให้คนแบบ ทักษิณ ชินวัตร วิธีคิดวิธีเล่นการเมืองแบบทักษิณขึ้นมาเป็นกระแสใหญ่ ทำให้กลุ่มบารมีเดิม กลุ่มอำนาจเดิมรับไม่ได้ ช่วงนั้นเกิดปรากฏการณ์ ‘เสื้อเหลือง’ ผมคิดว่าช่วงปลายรัชสมัยที่แล้วจะเห็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสังคมไทย
“ความขัดแย้งมาเห็นชัดเจนเมื่อมีการรัฐประหารล้ม ทักษิณ ชินวัตร ในปี 2549 ตามมาด้วยปรากฏการณ์แบ่งสี มี ‘เสื้อเหลือง-เสื้อแดง’ มีการปราบปราม มีกระบวนการตุลาการจัดการมาโดยตลอด
“ต่อมาเกิดการรัฐประหารล้มรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปี 2557 ความขัดแย้งก็ต่อเนื่องเป็นกระแสเดียวกัน ซึ่งยาวนานมาจนถึงปัจจุบัน
“กระบวนการตุลาการยาวนานมาจนถึงกระทั่งตีความว่า เรียกร้องให้มีการปฏิรูป แปลว่า ล้มล้าง ผมว่าความขัดแย้งนี้มาในกระแสเดียวกัน
“ส่วนงานเขียนที่เป็นงานซึ่งถูกมองว่าคุกคาม ทำลายความน่าเชื่อถือกลุ่มอำนาจเก่า หนังสือแบบนี้มีไม่น้อยและเด็กๆ ที่เคลื่อนไหวอ่านอะไรกันบ้าง บางครั้งก็น่าตกใจ อ่านอะไรที่เราไม่คิดว่าจะอ่าน อย่างเช่น Common Sense สามัญสำนึก”
มองเสรีภาพทางวิชาการผ่านกรณีณัฐพล
สำหรับข้อถกเถียงถึงเสรีภาพทางวิชาการกับข้อกล่าวหาว่าเป็นการบิดเบือน ชาญวิทย์กล่าวว่า “เสรีภาพก็ต้องมีขอบเขต มันไม่ใช่ทำอะไรก็ได้ ไม่ใช่พูดได้ตามใจคือไทยแท้ อะไรแบบนั้น ไม่ใช่แน่ๆ เพราะฉะนั้นก็ต้องอ้างอิงข้อมูล แต่ในกรณีนี้ส่วนที่มีปัญหาเชิงอรรถ อาจารย์ณัฐพลก็ขอแก้ไขกับทางจุฬาฯ แล้ว ถ้าจะยกเฉพาะกรณีขึ้นมาก็เฉพาะกรณีนี้
“ในส่วนหนึ่งผมคิดว่าอาจารย์ณัฐพลเขาก็ยอมรับไปแล้วเรื่องเชิงอรรถก็น่าจะจบ ถ้าในประเทศที่เป็นอารยะแล้ว เป็นประชาธิปไตยแล้ว เรื่องนี้จะเป็นเรื่องเล็ก อาจจะขอโทษและชี้แจงข้อเท็จจริงแล้วเรื่องก็จบ แต่กรณีนี้การที่ไม่จบเพราะมีความขัดแย้งกันซึ่งอยู่ลึกมาก ไม่ใช่ประเด็นวิชาการเพียวๆ แต่เป็นความขัดแย้งเรื่องตัวบุคคลด้วย มองอีกด้านหนึ่งก็สะท้อนปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองของสังคมไทย แม้กระทั่งจำนวนตัวเลขค่าเสียหาย 50 ล้านบาท อะไรแบบนี้มันก็ใหญ่โตมโหฬารเกินที่มนุษย์ธรรมดาจะคิดออก
“ในแง่ของผม ผมมองว่างานของอาจารย์ณัฐพลและงานของคนจำนวนไม่น้อยเลยที่พูดเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์เป็นสิ่งซึ่งเปิดหูเปิดตา เพราะแต่ก่อนเราคิดว่าสถาบันกษัตริย์ไทยก็เหมือนๆ กับสถาบันกษัตริย์ของอังกฤษ เหมือนๆ สถาบันจักรพรรดิของญี่ปุ่น แต่ผมว่าในกรณีของไทยไม่ใช่
“เพราะฉะนั้นวิธีมองของอาจารย์ธงชัย วินิจจะกูล อาจารย์เกษียร เตชะพีระ อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ หลายท่านที่ถูกจัดเป็นกลุ่มฝ่ายซ้าย ‘กลุ่มไม่เอาเจ้า’ ซึ่งเปิดให้เราเห็นสังคมไทยมากกว่าที่เราเคยเห็น ทำให้เราไม่เพ้อฝันหรือมีลักษณะไม่สัมผัสกับความเป็นจริงยิ่งกว่าอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์
“มันคล้ายๆ ยุคทศวรรษ 1960 ช่วงสงครามเย็น ยุคที่นักวิชาการโดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกตะวันตก ในสหรัฐอเมริกามองสังคมไทย ผมว่าเขาโรแมนติกกับมัน แต่เขาไม่ได้มองในอีกด้านหนึ่งที่มันไม่ใช่
“คืออย่างถ้าเราดูประวัติศาสตร์ไทยที่เป็นฉบับทางการ ก็จะเป็นอย่างนั้นคือเป็นเรื่องการฝันเฟื่อง
“แต่ถ้ามองอีกอย่างหนึ่ง สิ่งที่เราเรียกว่าพัฒนาการทางด้านการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของสยามไทย มันเป็นประวัติศาสตร์ที่เจ็บปวดมากๆ เหยื่อรายแรกๆ อาจจะเป็นพระองค์เจ้าปฤษฎางค์ ชุมสาย ที่เสนอเรื่องการปฏิรูป เสนอเรื่องว่าจะต้องมีรัฐธรรมนูญ เสนอว่าพระมหากษัตริย์ไม่ควรที่จะมามีบทบาทในการเมืองการปกครอง ควรจะมีนายกรัฐมนตรี ควรจะมีคณะรัฐมนตรีทำงาน อย่างในกรณีการปฏิรูปของญี่ปุ่น พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ก็เสนอแบบนี้ แต่จบลงที่พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ต้องไปอยู่นอกประเทศ ไปบวชเป็นพระจนกระทั่งอายุมาก เมื่อรัชกาลที่ 5 สวรรคตจึงได้กลับมาเมืองไทย ผมว่านี่คือเหยื่อรายแรก
“ถ้าเรามองต่อมาอีกอย่างไม่โรแมนติกเกินไป เมื่อถึงรัชกาลที่ 6 ก็มีคนอย่างกลุ่ม ร.ศ. 130 จะเรียกว่า กบฏหมอเหล็งหรือปฏิวัติหมอเหล็งก็ตาม นี่ก็อีกกลุ่มหนึ่งที่ต้องการจะเห็นบ้านเมืองของไทยเป็นสมัยใหม่ มีรัฐธรรมนูญ มีการปกครองที่เป็นประชาธิปไตย แต่ไม่สำเร็จ ถูกจับติดคุกยาวเลย แล้วมาสำเร็จในยุคคณะราษฎร 2475”
ชาญวิทย์เผย ถูกขอให้เป็นพยาน
สำหรับกรณีที่ฝ่ายโจทก์มีนักวิชาการที่เห็นต่างกับวิทยานิพนธ์ของณัฐพลเป็นผู้ให้ข้อมูลกับโจทก์และเป็นพยานฝ่ายโจทก์ด้วยนั้น ชาญวิทย์กล่าวว่า “ทางฝ่ายจำเลยคืออาจารย์กุลลดาก็ขอให้ผมไปเป็นพยานจำเลย ซึ่งผมได้ตอบตกลงด้วยความยินดี และอวยพรขอให้อาจารย์ปลอดภัยทั้งจากมารร้ายทางวิชาการและขอให้ปลอดภัยทั้งจากโรคห่าโควิด
“เป็นเรื่องประหลาดที่อาจารย์กุลลดาโดนฟ้องอยู่คนเดียว กรรมการคนอื่นไม่โดน เขาอาจจะเลือก เพราะงานวิชาการของอาจารย์กุลลดาก็คงไม่เป็นที่พอใจของคนกลุ่มหนึ่งจำนวนหนึ่งด้วยเช่นกัน” ชาญวิทย์กล่าว
ทนายความเผย เคสอาจารย์กุลลดา ต้องฟ้องศาลปกครอง
ความคืบหน้าล่าสุด (1 ธันวาคม) วิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของกุลลดา จำเลยที่ 2 ให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD ว่า วานนี้ (30 พฤศจิกายน) ศาลแพ่งนัดฟังคำสั่งคำร้องขอเพิกถอนกระบวนพิจารณาผิดระเบียบที่เกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 1 โดยศาลแพ่งมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยที่ 1 เนื่องจากเห็นว่าคำสั่งไม่อนุญาตให้ขยายเวลายื่นคำให้การของจำเลยที่ 1 เป็นคำสั่งโดยชอบด้วยกฎหมายมิใช่การดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ มีผลให้จำเลยที่ 1 ไม่อาจยื่นคำให้การต่อสู้คดีได้ การสู้คดีฝ่ายจำเลยจะไม่มีข้อต่อสู้หรือเหตุผลในการต่อสู้คดีของจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 1 สามารถมาเบิกความต่อศาล ให้ข้อเท็จจริงในฐานะพยานจำเลยอื่นๆ ได้แม้ไม่สามารถยื่นข้อต่อสู้ของตัวเอง
ทนายความจำเลยที่ 2 กล่าวด้วยว่า จำเลยที่ 2 และทีมทนายเห็นว่าคดีนี้ควรจะอยู่ในอำนาจศาลปกครอง เนื่องจากเป็นการฟ้องในขณะอาจารย์กุลลดาทำหน้าที่เจ้าหน้าที่ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ มาตรา 5 วางหลักว่า หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดต่อผู้เสียหายในผลแห่งละเมิดที่เจ้าหน้าที่ของตนได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่ ในกรณีนี้ผู้เสียหายอาจฟ้องหน่วยงานของรัฐดังกล่าวได้โดยตรง แต่จะฟ้องเจ้าหน้าที่ไม่ได้
ดังนั้นทนายจึงเห็นว่า โจทก์ต้องฟ้องหน่วยงานรัฐต่อศาลปกครอง ไม่สามารถฟ้องเจ้าหน้าที่รัฐได้ ทีมทนายจำเลยที่ 2 ได้ยื่นคำร้องต่อศาลแพ่ง ขอให้ส่งสำนวนให้ศาลปกครองกลางวินิจฉัยว่าคดีนี้อยู่ในเขตอำนาจศาลปกครองหรือไม่ ซึ่งศาลแพ่งจะทำความเห็นในสำนวนคดีส่งศาลปกครองว่าคดีนี้อยู่ในเขตอำนาจของศาลใด ถ้าหากศาลปกครองมีความเห็นต่างกับศาลแพ่ง ก็จะต้องส่งสำนวนคดีนี้ให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลต่อไป ทั้งนี้ ศาลแพ่งนัดฟังความเห็นของศาลปกครอง วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565 เวลา 09.30 น.