×

จิบกาแฟในอาณาจักรดอกไม้ที่ Oneday Wallflowers x Nana Coffee Roasters

10.02.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

4 Mins read
  • Nana Coffee Roasters ร้านกาแฟในซอยนานา เกิดจากการรวมตัวกันของสไตลิสต์และเจ้าของธุรกิจร้านดอกไม้ Oneday Wallflowers ร่วมกับสองผู้ก่อตั้ง Nana Coffee Roasters ร้านกาแฟและโรงคั่วแถวหน้าของวงการกาแฟไทย เน้นเสิร์ฟกาแฟคุณภาพสูงจากแหล่งปลูกชั้นดี (Specialty Coffee)
  • เมนูซิกเนเจอร์ที่ใครๆ กล่าวถึงคือ Boisson de Kanda กาแฟดำมิกซ์กับน้ำลิ้นจี่และ Rose Lemonade ให้รสเปรี้ยวซ่าและสดชื่น ดื่มง่าย แต่สำหรับคอกาแฟ เราอยากแนะนำกาแฟฟิลเตอร์ เช่น Maker Series และ Nitro Cold Brew ที่ใช้กาแฟดริปแทนกาแฟสกัดเย็น

 

เราเดินลัดเลาะเข้าไปในตรอกเล็กๆ ของซอยนานา ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากหัวลำโพงและเยาวราช แวดล้อมไปด้วยตึกเก่าทรงเสน่ห์ กลิ่นหอมสดชื่นจากดอกไม้เคล้าอโรมาของกาแฟที่ลอยโชยออกมา บอกให้รู้ว่าเรามาถึงที่นัดหมายแล้ว

 

Nana Coffee Roasters (นานา ค็อฟฟี โรสเตอร์ส) ซอยนานา คือร้านกาแฟแห่งใหม่ประจำย่านที่ซ่อนตัวอยู่ในร้านดอกไม้ Oneday Wallflowers Oldtown ของ คุณลักษณ์-ณัฐพัชร สุริยะกำพล ซึ่งตอนแรกตั้งใจจะทำเป็นออฟฟิศส่วนตัวและเปิดให้คนทั่วไปมาเยี่ยมชมเฉพาะเวลามีงาน Open House ประจำปีเท่านั้น แต่ด้วยพื้นที่ของชั้น 2 ที่ยังว่าง และสไตล์การตกแต่งร้านอันแสนมีเอกลักษณ์ (เช่นเดียวกับดอกไม้ที่เขาคัดสรรมาให้เลือก) ก็เป็นที่ถูกใจของผู้มาเยือน ทำให้เขาตัดสินใจชวน คุณกุ้ง-วรงค์ ชลานุชพงศ์ กับ คุณกุ้ง-กานดา โทจำปา สองผู้ก่อตั้ง Nana Coffee Roasters ร้านกาแฟและโรงคั่วกาแฟแถวหน้าของวงการมาร่วมงานกันในฐานะพาร์ตเนอร์ ที่สำคัญ พวกเขาให้ความสำคัญกับคุณภาพของวัตถุดิบและรสชาติสุดๆ กับเครื่องดื่มทุกแก้วและขนมโฮมเมดทุกจาน โดยเฉพาะการคัดสรรเมล็ดกาแฟสายประกวดจากแหล่งปลูกต่างๆ ที่ผ่านกระบวนการชั้นดีและได้รับรางวัลการันตีมาให้ทุกคนได้สัมผัสกับประสบการณ์ที่ดีที่สุดตามสโลแกน ‘Best Aroma Everyday’

 

เมื่อเครื่องดื่มถูกเสิร์ฟและบทสนทนาเริ่มต้นขึ้น เราก็ตกหลุมรักและสนุกกับการดื่มด่ำประสบการณ์กรุ่นกลิ่นกาแฟในร้านนี้ทันที ไม่ว่าคุณจะเป็นคอกาแฟหรือไม่ เราก็ไม่อยากให้ใครพลาด

 

 

The Vibe

หลายๆ คนอาจคุ้นเคยกับการออกแบบตกแต่งคาเฟ่ของสไตลิสต์ฝีมือดีอย่างคุณลักษณ์จาก Casa Lapin สุขุมวิท 26 อยู่บ้าง แต่ร้านนี้พิเศษตรงที่เป็นการผสมผสานกันระหว่างอินดัสเทรียลดีไซน์กับมินิมัลลิสต์ โดยยังคงเสน่ห์ของโครงสร้างตึกแถวเก่าอายุเกือบ 100 ปีเอาไว้ เน้นความโปร่งของพื้นที่ด้วยเพดานสูง ให้แสงลอดผ่านตามธรรมชาติ บวกกับการตกแต่งบรรยากาศรอบๆ ด้วยดอกไม้นานาชนิดก็ชวนให้รู้สึกเหมือนกำลังนั่งอยู่ในสวนเรือนกระจกอยู่ไม่น้อย แต่ละชั้นจะมีมุมน่ารักๆ สำหรับนั่งจิบกาแฟ และแน่นอน แชะภาพสวยมากตามสมัยนิยม

 

บาร์กาแฟบนชั้น 2

 

ชั้น 2 จะมีบาร์กาแฟด้านใน ซึ่งหากใครเดินเข้าไปก็จะสะดุดตาทันทีกับเคาน์เตอร์ทองแดงแวววาว ตัดกับสีเข้มของผนังแผ่นไม้ที่ใช้เทคนิคการเผาไม้ตั้งตระหง่านอยู่ด้านล่างพร้อมกับภาพวาดแผนที่โลก ที่เด็ดสุดคือทางร้านใช้ Modbar หรือบาร์ชงกาแฟดีไซน์เฉียบล้ำของ La Marzocco เพื่อที่จะดึง Floral (กลิ่น) และ Flavour (รสสัมผัส) ของกาแฟออกมาให้ดีที่สุดอีกด้วย และถ้าใครอยากจะปลีกวิเวกก็ยังมีดาดฟ้าชั้น 3 ซึ่งเหมาะกับการนั่งละเลียดขนมและเครื่องดื่มสุดโปรด พลางชมวิวของเมืองเก่าเป็นที่สุด

 

“คอนเซปต์ของเราก็คือสิ่งที่เราทำกันเองและดีที่สุดสำหรับเรา ไม่อย่างนั้นเราจะไม่ทำ เราคิดว่าลูกค้าก็เหมือนกับแขกที่มาเที่ยวที่บ้าน เราจึงอยากให้เขารู้สึกประทับใจและอยากกลับมาอีก ทุกอย่างมันมาจากความตั้งใจเต็มที่ ส่วนเรื่องสไตล์มันก็เป็นสไตล์ของ Oneday Wallflowers มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แค่เพิ่มเติมอะไรนิดหน่อย แล้วก็จะมีดีไซน์บางส่วนที่เราอยากทำ เช่น เอาไม้ไปเผา ใช้พร็อพเป็นแผ่นทองแดงจริงๆ” คุณลักษณ์เล่าถึงไอเดียการออกแบบร้านแห่งนี้

 

เมนูซิกเนเจอร์ Boisson de Kanda

 

The Drinks

คุณกานดา โทจำปา แชมป์บาริสตาอันดับ 3 จากเวทีการแข่งขัน World Es Yenn Championship คือผู้อยู่เบื้องหลังการออกแบบเมนูเครื่องดื่มทั้งหมดของทางร้าน ซึ่งมีหลากหลายเมนูให้เลือกสรร ตั้งแต่ประเภทเมล็ดกาแฟไปจนถึงวิธีชง เช่น Drip, Aeropress, Cold Brew ส่วนราคาก็ขึ้นอยู่กับคุณภาพ เริ่มจากเมนูกาแฟดำ (Black) เช่น Espresso (100 บาท) โดย House Blend ของทางร้านจะใช้เมล็ดกาแฟมากถึง 5 แหล่งคือ บราซิล, โคลัมเบีย, กัวเตมาลา, เคนยา, และเอธิโอเปีย เพื่อให้ได้รสชาติที่บาลานซ์ ดื่มง่าย ไม่ติดขม และทิ้งความหวานในตอนท้าย (เราสามารถเลือกเป็นเมล็ด Single Origin ก็ได้)

 

สำหรับคอกาแฟที่มองหาความซับซ้อนหน่อย แนะนำให้ลองสั่งกาแฟฟิลเตอร์ (Filter) เพราะที่นี่จะเลือกใช้เมล็ดจาก Ninety Plus ที่แชมป์แต่ละประเทศได้ทำ process เอง โดยจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ในแต่ละเดือน เช่น Juliette (300 บาท) กาแฟดำสายพันธุ์เกอิชา ปานามา ที่ใช้ Natural Processed ส่งกลิ่นหอมของดอกไม้อวลในปากตั้งแต่แรกจิบ นอกจากนี้เรายังได้ข่าวมาว่าเดือนนี้ทางร้านยังเอากาแฟระดับตำนาน Jamaica Blue Mountain มาให้ลองกันอีกด้วยนะ!

 

Dirty

 

Nitro Cold Brew

 

สำหรับคนที่อยากลองประสบการณ์ใหม่ๆ หรือมองหาสตอรีที่น่าสนใจ ทางร้านมีเมนูซิกเนเจอร์ Boisson de Kanda (250 บาท) กาแฟดำที่มีส่วนผสมของเอสเพรสโซช็อต ลิ้นจี่ และเพิ่มความเปรี้ยวซ่าด้วย Rose Lemonade พร้อมโรยกลีบกุหลาบสีสวยและใบมินต์เป็นอันจบ เมนูนี้คุณกุ้งตั้งใจสร้างสรรค์กาแฟที่คล้ายกับไวน์ แต่ไม่มีแอลกอฮอล์ เน้นความสดชื่น ดื่มง่าย รุ่มรวยทั้งรสและกลิ่น จนได้รับรางวัล Signature Drink Award 2016 มาแล้ว

 

นอกจากนี้ยังมี Dirty (150 บาท) กาแฟนมสูตรพิเศษที่เพิ่มความมันเข้มข้นด้านล่างด้วย Half Cream เข้าคู่กันดีกับรสออกแนวถั่วและช็อกโกแลตของกาแฟสัญชาติบราซิล เมนูนี้ยังเหมาะสำหรับคนที่ไม่ค่อยดื่มกาแฟบ่อยๆ อีกด้วยนะ แต่ที่เซอร์ไพรส์เราเป็นพิเศษคือ Nitro Cold Brew (250 บาท) ซึ่งทางร้านจะดริปกาแฟแทนการสกัดเย็น แล้วอัดก๊าซไนโตรเจนจนได้กาแฟพร้อมโฟมเนียนนุ่มด้านบน ทำให้ยังคงคาแรกเตอร์ของกาแฟเอธิโอเปียที่ออกเปรี้ยวแบบฟรุ้ตตี้ได้เด่นชัด และไม่ขมเข้มเกินจนไร้มิติ

 

 

เห็นเมนูละลานตาขนาดนี้ก็อย่าเพิ่งตกใจ ใครกลัวสั่งไม่ถูกก็สามารถขอคำแนะนำจากบาริสตาและพนักงานได้ที่เคาน์เตอร์เลย สำหรับคนที่ไม่ถนัดกาแฟแต่ใจรักคาเฟ่ก็ยังมีอีกหลายเครื่องดื่มที่น่าลอง เช่น Curiosity Cola (150 บาท) และ Thai Tea – Level Up (150 บาท)


“ราคามันอาจจะสูงกว่าคาเฟ่ปกติ แต่สินค้าทุกอย่างเกรดดี เราเทียบแค่ราคาอย่างเดียวไม่ได้ เลยอยากให้ชิมกาแฟของเราก่อน เพราะเมล็ดกาแฟแต่ละสายพันธุ์ แต่ละสถานที่ แต่ละคนคั่วนั้นมีกระบวนการที่แตกต่างกันมากและมีราคาสูงมากด้วย ซึ่งก็เหมือนกับงานศิลปะชิ้นหนึ่งที่หาซื้อในท้องตลาดไม่ได้ บางล็อตต้องรอเป็นปีๆ กว่าจะได้มา” คุณลักษณ์กล่าว

 

“เราตั้งราคาเริ่มต้นไว้ที่ 100 ไปจนถึง 750 บาท ซึ่งเป็น Maker Series หรือกาแฟของแชมป์แต่ละประเทศ เพราะกรีนบีนมันแพง ประมาณ 5,000 เหรียญต่อกิโลกรัม ยังไม่ได้คั่วนะ แต่มันหาไม่ได้ง่ายๆ ราคาสูงก็จริง แต่คนก็ยอมรับกันมาก เพราะเขาไม่เคยกินแบบนี้มาก่อน” คุณกุ้งเสริม

 

Dark Beer Cake

 

The Dishes

ทางร้านยังมีเบเกอรีทำเองสดใหม่พร้อมเสิร์ฟทุกวัน แถมยังไม่ทิ้งคอนเซปต์การตกแต่งด้วยดอกไม้ เช่น Brownie (75 บาท) และ Dark Beer Cake (150 บาท) คุณลักษณ์ยังแอบบอกกับเราว่าพวกเขาวางแผนจะเปิดโซนร้านอาหารราวๆ เดือนเมษายนนี้ ซึ่งจะเป็นจิ๊กซอว์ที่มาเติมเต็มให้โปรเจกต์ The Ground of Wallflowers แห่งนี้สมบูรณ์

 

“โปรเจกต์นี้เราใช้ชื่อว่า The Ground of Wallflowers หมายถึงอาณาจักรของร้านดอกไม้ ก็จะมีร้านอาหารที่ใช้คอนเซปต์เดียวกัน เราจะเลือกเฉพาะวัตถุดิบดีๆ คนปรุงมีความตั้งใจทำให้เหมือนกัน มันก็เหมือนกับที่เราหาดอกไม้หน้าตาประหลาด คุณภาพดีๆ มาจัดให้กับลูกค้า”

 

Oneday Wallflowers x Nana Coffee Roasters

Open: วันจันทร์-อาทิตย์ (ปิดเฉพาะวันพุธ) เวลา 11.00-19.00 น.

Address: เลขที่ 31-33 ซอยนานา ป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ

Contact: 08 9775 0006

Budget: เริ่มต้นที่ 100 บาท

Page: www.facebook.com/nanacoffeeroasters

Map:

 

 

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising