×

อีกก้าวของ หมู Asava กับแบรนด์ใหม่ MOO ที่คุณผู้ชายควรมีไว้ในครอบครอง

26.07.2019
  • LOADING...
Asava

HIGHLIGHTS

6 Mins. Read
  • 11 ปีที่ผ่านมา Asava Group ได้ก่อกำเนิดแบรนด์ต่างๆ มากมาย ทั้ง ASV, White Asava, Uniform by Asava แตกไลน์ร้านอาหาร Sava Dining และล่าสุดได้คลอดแบรนด์ใหม่ MOO ซึ่งเป็นแบรนด์สำหรับสุภาพบุรุษ โดยใช้ความชื่นชอบของตัวเองเพื่อดีไซน์แต่ละไอเท็มออกมา
  • “การทำงานของ Asava ทั้งหมดมันจะพูดถึงตัวตนและจิตวิญญาณ ว่าผู้หญิงหรือผู้ชายคนนี้เป็นมนุษย์อย่างไร กินอยู่อย่างไร ใช้ชีวิตอย่างไร ถามว่าความคิดมันมาจากไหน มันมาจากสิ่งที่ชอบ มันไม่พ้นเสื้อผ้าที่ชอบแนว American Vintage และด้วยคาแรกเตอร์ยืดหยุ่น ชอบเดินทาง เสพศิลปะ ชอบดูหนัง ฟังเพลง MOO ก็เป็นผู้ชายที่ค่อนข้างมีไลฟ์สไตล์ชัดเจน เสื้อผ้าจึงมีคาแรกเตอร์ที่ชัดเจน”

Asava

 

เราคงคุ้นหูกับชื่อของ หมู Asava หรือ พลพัฒน์ อัศวะประภา Creative Director Founder และผู้ก่อตั้ง Asava Group ซึ่งในระยะเวลา 11 ปีที่ผ่านมา Asava Group ได้ก่อเกิดแบรนด์ต่างๆ มากมายตั้งแต่เสื้อผ้าไปจนถึงร้านอาหาร ทั้ง ASV, White Asava, Uniform by Asava, Sava Dining และความตื่นเต้นครั้งล่าสุดคือการคลอดแบรนด์ใหม่ ซึ่งเป็นแบรนด์สำหรับสุภาพบุรุษ 

THE STANDARD กลับมาพูดคุยกับ หมู Asava อีกครั้ง ถึงความตื่นเต้นเกี่ยวกับ MOO แบรนด์ใหม่ที่กำลังจะเปิดตัว ซึ่งนับว่าเป็นก้าวสำคัญและน่าจับตามองของ Asava Group รวมทั้งมุมมองของเขาต่ออุตสาหกรรมแฟชั่นไทยที่เปลี่ยนไป พร้อมๆ การเปลี่ยนแปลงในวงการแฟชั่นโลก

 

Asava

Asava มีโปรเจกต์อะไรที่น่าสนใจที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้
เยอะมาก กำลังจะคลอดออกมาอีกเยอะ ล่าสุดที่เพิ่งปล่อยออกมาก็แบรนด์ MOO และกำลังวางแผนเรื่องธุรกิจร้านอาหาร Sava Dining ที่จะเปิดสาขาใหม่เพิ่ม ที่สำคัญจะมีแบรนด์ของร้านอาหารเกิดขึ้นมาใหม่ที่ไม่ใช่ Sava Dining แต่ตอนนี้อยู่ในช่วงจัดการเวลาและความคิด เพราะโปรเจกต์ของ Asava เยอะมาก มีแทบทุกเดือน ทั้งแฟชั่นโชว์ถัดไปในเดือนพฤศจิกายน แล้วก็จะมีเปิดร้านอาหารใหม่ มีเปิดตลาดชื่อ ASV Caravan เป็นมาเก็ตเพลสของ ASV Collection คอนเซปต์อินเดีย

 

ที่พี่คิดจะทำคาราวานขึ้นมาเพราะรู้สึกว่าแฟชั่นโชว์มันจำเจ และคนที่เสพแฟชั่นก็อยากได้อะไรใหม่ๆ เราก็เลยอยากสร้างประสบการณ์ใหม่ในรูปแบบคาราวาน หรือเป็นมาเก็ตเพลส โดยเราจะปิดส่วนหนึ่งของเอ็มควอเทียร์แล้วทำเป็นตลาดนัด จะมีเวิร์กช็อป ดนตรี อาหาร และสอดแทรกแฟชั่นเข้าไป

 

เนื้องานมันสำคัญตรงที่ว่าสามารถกระตุ้นคนในองค์กรให้ทำในสิ่งที่ท้าทายอยู่เสมอ นั่นจึงจะทำให้องค์กรก้าวไปข้างหน้า


Asava

 

อะไรคือจุดเริ่มต้นการทำแบรนด์ MOO
เราแค่ทำเสื้อผ้าที่เราอยากใส่ ซึ่งทุกชิ้นทำมาจากความเชื่อ โดยใช้ประสบการณ์ รวมถึงมุมมองของการแต่งตัวผู้หญิงและการแต่งตัวผู้ชายที่เรามี วิธีกิน วิธีอยู่ ซึ่งเฉพาะเจาะจงประมาณหนึ่ง โดยมีแกนหลักของไอเดียการแต่งตัวผู้ชายที่เราชอบ นั่นคือสุภาพบุรุษ เราไม่ชอบอะไรที่หวือหวา เราค่อนข้าง Work On Classic จับมาขยับ จับมารวม จับมาแต่ง แต่จะสอดแทรกไลฟ์สไตล์เข้าไปด้วย MOO เป็นแบรนด์ที่ค่อนข้างมีอารมณ์ขัน สนุกสนาน เลยเลือกทำ Collection Street เป็นเหมือนเสื้อผ้าใส่เล่น ซึ่งเป็นอีกมุมหนึ่งที่คนไม่ค่อยได้เห็น


จริงๆ แล้วมีโปรเจกต์อยู่ในหัวเยอะมาก แต่กว่าจะเขย่าออกมาได้มันก็ต้องอาศัยแรง มันต้องเจอคนที่เหมาะสม คนที่เชื่อในสิ่งที่เราเชื่อ ซึ่งโปรเจกต์เสื้อผู้ชายก็คิดไว้ 2-3 ปีแล้ว กว่ามันจะคลอดได้ก็ยาก เพราะทุกคนงานล้นมือ แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งที่เรารู้สึกว่าถึงเวลาแล้ว เราก็ต้องปล่อยออกมา 

 

Asava Group ไม่เคยงอกโปรเจกต์ตามงบกำไร ขาดทุน ทุกโปรเจกต์ขึ้นอยู่กับความอยากของเรา เราอยากมีความสุขกับอะไร เชื่อในสิ่งที่ตัวเองทำได้ บางทีไม่ได้สร้างอะไรมากมายในเชิงธุรกิจ แต่ว่าในเชิงแรงบันดาลใจกับคนในบริษัท เราเลือกที่จะทำให้พวกเขามีความคิดสร้างสรรค์เป็นพื้นฐาน บางโปรเจกต์เราก็เลือกทำเพราะอยากให้ทุกคนได้ลองวิชา ได้ใส่ความคิดสร้างสรรค์ลงไปในชีวิต เนื้องานมันสำคัญตรงที่ว่าสามารถกระตุ้นคนในองค์กรให้ทำในสิ่งที่ท้าทายอยู่เสมอ นั่นจึงจะทำให้องค์กรก้าวไปข้างหน้า 

 

Asava

Asava

 

MOO คอลเล็กชันนี้ได้แรงบันดาลใจจากอะไร
ในฐานะนักออกแบบคนหนึ่ง มุมมองการทำเสื้อผ้าเราเปลี่ยนไป เราไม่ได้มองหาแรงบันดาลใจเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ในวันนี้คือการเล่าความจริง การหาตัวตน การหาสัจธรรมให้กับลูกค้า 

 

การทำงานของ Asava ทั้งหมดจะพูดถึงตัวตนและจิตวิญญาณว่าผู้หญิงหรือผู้ชายคนนี้เป็นมนุษย์อย่างไร กินอยู่อย่างไร ใช้ชีวิตอย่างไร ถามว่าความคิดมาจากไหน มันมาจากสิ่งที่ชอบ มันไม่พ้นเสื้อผ้าที่ชอบแนว American Vintage และด้วยคาแรกเตอร์ยืดหยุ่น ชอบเดินทาง เสพศิลปะ ชอบดูหนัง ฟังเพลง MOO ก็เป็นผู้ชายที่ค่อนข้างมีไลฟ์สไตล์ชัดเจน เสื้อผ้าจึงมีคาแรกเตอร์ที่ชัดเจน

อีกอย่างเราจะ Collaborate กับแบรนด์ไทยที่เป็นไอคอนิกหรือตำนานของประเทศไทยไปเรื่อยๆ อย่างซีซันนี้เรา Collab กับ Mc Jeans คือเราอยากจะทำเหมือนเวลาที่เราเดินทางไปต่างประเทศ แล้วรู้สึกว่าคนแต่ละประเทศเขาภูมิใจกับแบรนด์ตำนานของเขา จริงๆ ประเทศไทยมันมีหลายแบรนด์อยู่คู่กับคนไทย แต่เราอาจจะลืมไปว่ามันเป็นแบรนด์ที่เราเติบโตมา เราอยากจะเอาเขากลับมาอีกครั้ง ซึ่งซีซันแรกเราจะเปิดด้วย Mc Jeans ต่อไปเราจะมีนันยาง, คาร์สัน, โป๊ยเซียน โดยเราจะนำแบรนด์เหล่านี้กลับมาทำให้สนุก ซึ่งสิ่งนี้จะทำให้แบรนด์ MOO เป็นแบรนด์ไลฟ์สไตล์ของคนไทย 

 

ในฐานะของคนทำงานออกแบบ การที่เราวิ่งตามโลกมากจนลืมกลับมามองดูตัวเอง เลยมีความรู้สึกว่าเราอยากจะทำให้แบรนด์ MOO เป็นเหมือนการย้อนกลับมาดูตัวเอง มันจะเป็นแบรนด์ที่มีความทรงจำที่ดีกับชีวิตเรา 

 

โลกคือการเปลี่ยนแปลง มนุษย์ส่วนใหญ่ที่จะรู้สึกสะดุดกับเรื่องบางอย่างนั้น เป็นเพราะว่าเราไม่ยอมรับสมการของความเป็นจริงข้อนี้

 

Asava

 

ในช่วงที่ทุกวงการกำลังถูก Disrupt ไม่พ้นแม้แต่วงการแฟชั่น คุณสัมผัสประสบการณ์ตั้งแต่ยุคปรินต์จนถึงโลกดิจิทัล ในตอนนี้มีความคิดอย่างไรกับอุตสาหกรรมแฟชั่นในแง่ของทั่วโลกและแฟชั่นไทย

ไม่ใช่แฟชั่นอย่างเดียวที่กำลังถูก Disrupt ทั้ง Content Provider หรือแม้แต่ธุรกิจร้านอาหารก็โดนอยู่ แต่สิ่งหนึ่งที่พูดกับตัวเองเสมอก็คือ Relevant หรือคำว่าเกี่ยวโยง เพราะธุรกิจจะอยู่รอดได้มันต้องเกี่ยวโยงกับชีวิตของคนในยุคนั้นๆ ในยุคปัจจุบันมันต้องตอบสนองความต้องการของคน ทั้งวิธีคิด การใช้ชีวิต เพราะฉะนั้นมันเป็นเรื่องปกติที่เราจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเพื่อให้สอดคล้องกับวิถีชีวิต แต่มันก็เป็นเรื่องน่าเศร้าในฐานะที่คนเติบโตในยุคเทปคาสเซ็ตต์ ตั้งแต่แผ่นเสียง จนมาฟังซีดี MP3 จนกระทั่งดาวน์โหลดเพลง 

 

สื่อสิ่งพิมพ์ก็ไม่ต่างกัน เราเป็นคนซื้อหนังสืออ่าน ทุกวันนี้ก็ยังซื้ออยู่ แต่ในฐานะของคนที่ทำงานเกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ มันก็ต้องยอมรับว่าโลกคือการเปลี่ยนแปลง มนุษย์ส่วนใหญ่ที่จะรู้สึกสะดุดกับเรื่องบางอย่างนั้น เป็นเพราะว่าเราไม่ยอมรับสมการของความเป็นจริงข้อนี้ เพราะมนุษย์เปลี่ยนแปลงทุกวัน โลกเปลี่ยนแปลงทุกวัน แต่สิ่งที่เราเรียกว่าวิวัฒนาการนั้นเราต้องยังคงรากฐานความต่อเนื่องที่มันมีคุณค่าต่อโลกเดิมเอาไว้ให้ได้ มันเป็นหน้าที่ของคนทุกคนที่หมุนไปกับการเปลี่ยนแปลงโดยยังมีแก่นของมัน ซึ่งตัวเราเองต้องมีความสุขและมีคุณค่ากับตัวเอง และหาสาระจากการทำสิ่งต่างๆ ได้ การเปลี่ยนแปลงมันเป็นธรรมชาติของโลกที่เราต้องยอมรับ

 


Asava

 

พูดถึงเทคโนโลยี โลกดิจิทัล อินเทอร์เน็ต คิดว่ามีข้อดีและข้อเสียอย่างไรบ้าง
มันเป็นธรรมดาของทุกสิ่งที่จะมีทั้งข้อดีและข้อเสีย อยู่ที่เราจะหยิบจับไปทำในบริบทไหน ความคิดของโลกตอนนี้มันหมุนด้วยแนวระนาบ แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญก็คือความคิดในแนวดิ่ง หมายถึงเรื่องการหาสาระ หาความรู้ ความงาม หรือสัจธรรม เพราะสุดท้ายแล้วมนุษย์ทุกคนก็ยังจะต้องหยั่งรากลึกเข้าไปในตัวเอง หรือสิ่งที่ตัวเองคิด เพราะฉะนั้นเมื่อคุณวิ่งมาจนถึงจุดหนึ่ง คุณก็ต้องมาหาว่าคุณวิ่งไปเพื่ออะไร แก่นอยู่ตรงไหน มันมีข้อดีตรงไหน เพราะทุกวันนี้การสื่อสารติดต่อกันได้รวดเร็ว การหาข้อมูลข่าวสารมันเชื่อมต่อเป็นโลกใบเดียว แต่ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้ Identity สูญหายไป

อุตสาหกรรม Fast Fashion ก็มีปัญหามากเช่นกัน มีบางแบรนด์ที่กำไรติดลบ เพราะฉะนั้นเราจึงต้องมีความคิดในแนวดิ่ง คือความเกี่ยวโยงกับผู้บริโภค เราไปนั่งอยู่ที่ไหนในใจเขา และหน้าที่ของคนสร้างแบรนด์ก็คือสร้างลักษณะทางกายภาพให้ดี ในขณะเดียวกันมันต้องตอบโจทย์ความรู้สึกด้วย การที่คนจะอยู่กับอะไรได้สักอย่างมันไม่ได้ใส่แล้วรูปร่างสวยอย่างเดียว ต้องรู้สึกสวยจากข้างในด้วยในเวลาเดียวกัน 

 

ยกตัวอย่างง่ายๆ เสื้อสเวตเตอร์สีดำตัวหนึ่ง เราซื้อได้ตั้งแต่แบรนด์หรูตัวละ 3-4 หมื่น จนกระทั่งตัวละ 99 บาทจากตลาดนัด ซึ่งมีหน้าตาคล้ายกัน แต่แน่นอนว่าความละเอียดอ่อนทางกรรมวิธีสร้างสรรค์แตกต่างกันไป นั่นหมายความว่าทุกคนสามารถหาลุคที่มีความใกล้เคียงภายใต้ราคาที่มันกว้างได้ ซึ่งทำให้แบรนด์ที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศไทย (ไทยดีไซเนอร์) ไม่ได้มีความสำคัญมากนักกับคนสมัยนี้ เพราะฉะนั้นหน้าที่ของคนทำแบรนด์ก็คือ ทำแบรนด์อย่างไรให้มันเข้าไปเกาะอยู่ในใจคน นั่นก็คือเรื่องของวิธีสร้างแบรนด์ในความคิดแนวดิ่ง

 

Asava

 

ตอนนี้ทุกคนเป็น Editor หมด เป็น Editor ของตัวเอง เพราะฉะนั้นเขาไม่อยากจะฟังเรื่องราวจาก Editor เขาอยากฟังเรื่องราวจากประสบการณ์ตรง สัมผัสได้ด้วยตัวเอง ไม่ได้ปรุงแต่ง

 

Asava Group มีการใช้โซเชียลมีเดียในการขับเคลื่อนองค์กรอย่างไร

เราก็มีแพลตฟอร์มเกือบทุกอย่าง ทั้งเว็บไซต์ อินสตาแกรม ทวิตเตอร์ คือมีทุกอย่างที่เราคิดว่ามันจำเป็นต้องมี อย่างแบรนด์ใหม่ MOO เราก็ทำงานคู่กับบริษัทดิจิทัลโดยเฉพาะ มีคลังสินค้าที่เป็น Manage Logistic สำหรับอีคอมเมิร์ซ ซึ่งเมื่อได้ทำงานกับพวกเขาแล้วทำให้ความคิดเราเปลี่ยน เราไม่ได้คิดว่าช่องทางการสื่อสารหรือช่องทางการขายของเรามันจะต้องเป็นเดิมๆ เสมอไป

ถ้าเราจะต้องการคนรุ่นใหม่ วิธีสื่อสารที่มันจะต้องผ่านดิจิทัล ผ่านระบบต่างๆ หรือสื่อต่างๆ ก็ดี หรือแม้กระทั่งการที่เราทำงานกับ THE STANDARD ที่เรามองว่าเป็นสื่อสำหรับคนรุ่นใหม่ ซึ่งเรารู้สึกว่าเสื้อผ้าที่เราทำนั้นต้องสื่อสารกับกระบวนการคิดของคนรุ่นใหม่ เราไม่สามารถสื่อสารด้วยแฟชั่นโชว์หรือการถ่ายแบบได้อีกต่อไป จึงต้องสื่อสารทางอื่น

จะเห็นได้ว่าแฟชั่นโชว์จากแบรนด์แฟชั่นระดับโลกบางแบรนด์ยังมีการยกเลิก ในฐานะคนทำงาน สิ่งสำคัญคือต้องรู้ว่าถ้าจะดำรงอยู่และก้าวไปข้างหน้าได้ เราต้องปรับตัว เพราะตอนนี้ทุกคนเป็น Editor หมด เป็น Editor ของตัวเอง เพราะฉะนั้นเขาไม่อยากจะฟังเรื่องราวจาก Editor เขาอยากฟังเรื่องราวจากประสบการณ์ตรง สัมผัสได้ด้วยตัวเอง ไม่ได้ปรุงแต่ง แม้กระทั่งการทำสงครามก็เปลี่ยนไปจากการสู้รบ ก็กลายเป็น Trade War ทุกอย่างบนโลกมันเปลี่ยนไปหมด ซึ่งในฐานะคนทำแบรนด์เราต้องรับรู้ทุกเรื่อง เพื่อเติบโตไปพร้อมๆ กับการเปลี่ยนแปลง

 

ภาพ: Asava, เทอดพงศ์ ตระการรุ่งโรจน์
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising