×

ทำไมการทะเลาะกันของ มาเน-ซาลาห์ จึงเป็นเรื่องที่ดี

13.09.2019
  • LOADING...
Mohamed Salah Sadio Mane

HIGHLIGHTS

4 Mins. Read
  • ย้อนหลังกลับไปเมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว ประเด็นในโลกฟุตบอลที่ถูกพูดถึงอย่างหนาหูคือกรณีการแสดงออกถึงความไม่พอใจอย่างแรงของ ซาดิโอ มาเน ที่มีต่อโมฮาเหม็ด ซาลาห์ 
  • เรื่องที่เกิดขึ้นอาจจะทำให้แฟนบอลกังวลกับความสัมพันธ์ของทั้งสองคน แต่กับคล็อปป์ เขาดูมีความสุขกว่าใครเมื่อเห็นความกระหายในความสำเร็จออกมาจากการระเบิดอารมณ์ของลูกทีม
  • แม้ทั้งคู่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่อย่าลืมว่าต่างคนต่างก็ชอบแข่งขันซึ่งกันและกัน เพราะทั้งสองคนเป็นสตาร์ของแอฟริกา และอยากขึ้นชื่อว่าเป็นเบอร์หนึ่งของทวีปกันทั้งนั้น

ย้อนหลังกลับไปเมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้วในเกมพรีเมียร์ลีกนัดที่ลิเวอร์พูลบุกไปเอาชนะเบิร์นลีย์ได้อย่างสบายๆ 3-0 ประเด็นที่ถูกพูดถึงหลังจบเกมนี้ไม่ใช่เรื่องในสนาม แต่เป็นเหตุการณ์นอกสนาม เมื่อ ซาดิโอ มาเน ระเบิดอารมณ์ออกมาด้วยความไม่พอใจหลังถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนาม

 

เรื่องการโดนเปลี่ยนตัวก็เรื่องหนึ่ง แต่อีกเรื่องที่เป็นที่พูดถึงอย่างมากคือความไม่พอใจส่วนตัวของมาเนที่มีต่อเพื่อนร่วมทีมอย่าง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่ไม่ยอมจ่ายบอลให้เขาได้ทำประตูเพิ่ม ทั้งๆ ที่หากไหลบอลมาให้ สตาร์ชาวเซเนกัลก็น่าจะส่งบอลเข้าไปตุงตาข่ายเป็นประตู 4-0 ของทีม และเป็นประตูที่ 2 ของตัวเขาเองในเกมนั้น

 

เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นที่วิพากษ์อย่างกว้างขวาง เพราะปกติแล้วลิเวอร์พูลเป็นทีมที่มีสปิริตภายในทีมดีมาก มีความกังวลว่ามันจะเป็นรอยร้าวระหว่างสองสตาร์หรือเปล่า

 

Mohamed Salah Sadio Mane

 

หลังเกมจบลงก็มีความพยายามทำให้ประเด็นนี้ไม่ลุกลาม ไม่ว่าจะจากคำสัมภาษณ์ของ เจอร์เกน คล็อปป์ ผู้จัดการทีม หรือกัปตันทีม จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่ยืนยันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องใหญ่ เป็นแค่ ‘อารมณ์’ ที่เกิดขึ้นในเกม (รวมถึงคลิปน่ารักๆ ของ โรแบร์โต เฟอร์มิโน ที่ทำหน้าขำๆ ขณะอยู่ตรงกลางระหว่างมาเนและซาลาห์ในระหว่างการเดินกลับเข้าห้องพักนักกีฬาที่ช่วยให้บรรยากาศคลี่คลายขึ้นมาก)

 

แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหนึ่งในสิ่งที่ทุกคนจะจับตาเกมพรีเมียร์ลีกที่แอนฟิลด์ในเย็นวันเสาร์นี้ (14 ก.ย.) ระหว่างลิเวอร์พูลกับนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด คือการเล่นร่วมกันระหว่างดาวเด่นชาวแอฟริกาทั้งสอง

 

ซาลาห์จะจ่ายให้มาเนไหม 

 

แล้วมาเนจะจ่ายให้ซาลาห์หรือเปล่า

 

เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ต้องจับตากันอีกทีครับ เพียงแต่ในประเด็นนี้ยังมีอีกหลายแง่มุมที่น่าสนใจชวนให้คิดตามครับ

 

บางครั้งสิ่งที่เห็นแล้วเหมือนจะไม่ดี บางทีอาจจะมีเรื่องดีๆ ซ่อนอยู่

 

Mohamed Salah Sadio Mane

 

1. ใต้ความเดือดดาลของมาเน มีรอยยิ้มของคล็อปป์ซ่อนอยู่

อย่างที่คล็อปป์และใครต่อใครบอกครับว่าสิ่งที่มาเนแสดงออกมา ถึงจะดูน่าตกใจ แต่ก็เป็นเรื่องของอารมณ์พลุ่งพล่านที่เกิดขึ้นในสนาม ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ และไม่ใช่สิ่งผิดปกติแต่อย่างใด

 

คนที่ดีใจที่สุดที่ได้เห็นมาเนแสดงอาการดังกล่าวคือตัวของผู้จัดการทีมอย่างคล็อปป์ครับ

 

เหตุผลที่คล็อปป์จะมีรอยยิ้มกับเรื่องนี้ ก็เพราะการที่คนอย่างมาเนซึ่งเป็นคนที่เก็บอารมณ์ได้เก่ง ไม่ค่อยแสดงออกทางสีหน้าหรือท่าทางมากนักระเบิดความรู้สึกออกมาเช่นนี้ นั่นหมายถึงการที่เขาแคร์กับเรื่องของการทำผลงานในสนามให้ดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะกับทีมหรือกับตัวเองก็ตาม

 

ทั้งๆ ที่สถานการณ์ในเวลานั้น ลิเวอร์พูลนำห่างถึง 3-0 แล้ว แต่เขายัง ‘กระหาย’ ที่จะยิงประตูเพิ่มอีก ซึ่งมันสะท้อนถึงบุคลิกของทีมที่กระหายในความสำเร็จ

 

จากจุดเริ่มต้นที่คล็อปป์เข้ามาคุมทีมเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ลิเวอร์พูลเป็นทีมที่เปราะบาง อ่อนแอ พร้อมจะโดนคู่แข่งเล่นงานง่ายๆ แต่มาถึงวันนี้ ‘หงส์แดง’ กลายเป็นทีมที่แข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก ไม่มีคำว่าอ่อนโยนในการเล่น

 

และถ้าใครทำอะไรผิดพลาดในสนาม คนที่จะตำหนิไม่จำเป็นต้องเป็นคล็อปป์เสมอไป เพราะคนที่จะตำหนิคือเพื่อนร่วมทีมในสนาม หรือบ่อยครั้งที่ผู้เล่นจะรู้ตัวด้วยตัวเอง

 

เรื่องนี้เหมือนในยุคทองภายใต้การนำของ บ๊อบ เพสลีย์ และโจ ฟาแกน ในช่วงทศวรรษที่ 80 คนที่จะเป็น ‘พี่ใหญ่’ คอยคุมทุกคนให้อยู่ในร่องในรอยคือ เคนนี ดัลกลิช รวมถึง แกรม ซูเนสส์ และอลัน แฮนเซน (ครบเลย หน้า กลาง หลัง) นักเตะทั้งสามเป็นผู้นำที่ทำให้ดูเป็นแบบอย่าง 

 

ดังนั้นคนอื่นก็ไม่มีทางเลือกนอกจากทำตาม และนั่นเป็นหนึ่งในความลับที่ทำให้ลิเวอร์พูลยิ่งใหญ่ในวันวานครับ

 

Mohamed Salah Sadio Mane

 

2. ศัตรูที่รัก

สิ่งที่แฟนบอลลิเวอร์พูลจำนวนไม่น้อยรู้สึกในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาคือระหว่างซาลาห์และมาเนเหมือนจะมี ‘ซัมติง’ อยู่

 

โดยเฉพาะกับมาเนที่เหมือนจะมีปมในใจที่ต้องเป็นคนปรับและเปลี่ยนตัวเอง เมื่อคล็อปป์ดึงตัวสตาร์ชาวอียิปต์มาจากโรมาเมื่อ 2 ฤดูกาลที่แล้ว ซึ่งส่งผลให้เขาต้องสลับตำแหน่งจากการยืนปีกขวามายืนปีกซ้ายแทน และดูเหมือนจะถูกแย่งบท ‘พระเอก’ ที่เขาเคยเป็นคนแบกทีมในฤดูกาล 2016-17 ไป

 

ยิ่งซาลาห์ได้รับการยกย่องหรือได้รับความสนใจมากเท่าไร มาเนก็ดูเหมือนจะแสดงออกถึงความน้อยอกน้อยใจแบบรู้สึกได้ผ่านการเล่น

 

อย่างไรก็ดี สิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นในเรื่องนี้คือการมีอยู่ของคนหนึ่งนั้นทำให้อีกคนก็ดีขึ้นตามไปด้วย

 

ในอดีตลิเวอร์พูลก็เคยมีกรณีที่คล้ายกัน แต่หลายคนอาจไม่รู้ว่า หลุยส์ ซัวเรซ กับแดเนียล สเตอร์ริดจ์ คู่หูมหาประลัยในรหัส ‘SAS’ ที่ช่วยกันยิงกระฉูดจนเกือบทำให้ทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยแรกในฤดูกาล 2013-14 (ก่อนที่หนังจะหักมุมในตอนจบ…) ลึกๆ แล้วคู่นี้เป็นคู่ที่ไม่ถูกกันอย่างรุนแรง

 

ต่างฝ่ายต่างก็อยากจะ ‘ข่ม’ อีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งสิ่งที่จะทำได้คือการทำผลงานให้ดีกว่าอีกฝ่าย สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือต่างคนต่างช่วยกันยิงถล่มทลาย กลายเป็นดีไปเสียอย่างนั้น

 

หรืออย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในยุคทองของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ก็มีกรณีคล้ายกันระหว่าง เท็ดดี้ เชอริงแฮม กับแอนดี้ โคล ที่ไม่ถูกกันสักนิด แต่เมื่อลงสนามกลับประสานงานกันได้แบบไร้รอยต่อ

 

ดังนั้นมันอาจจะมีบ้างที่ทั้งซาลาห์และมาเนดูเหมือนจะแย่งกันยิง แต่การแข่งขันนั้นทำให้ทั้งสองมีพัฒนาการในการเล่นขึ้นจากเดิมโดยที่ไม่รู้ตัว

 

ถ้าไม่มีซาลาห์ มาเนก็อาจจะไม่ได้ยกระดับตัวเองขึ้นมาเหมือนในทุกวันนี้

 

เช่นเดียวกับซาลาห์ที่ถ้าไม่มีมาเน ฟอร์มของเขาอาจจะดรอปและกลายเป็น One Season Wonder ที่เก่งได้แค่ฤดูกาลเดียวแบบที่ใครเขาว่ากัน

 

Mohamed Salah Sadio Mane

 

3. เห็นแก่ตัว vs. ทำหน้าที่

ฟุตบอลเป็นกีฬาที่เล่นเป็นทีมก็จริง แต่ทุกคนในสนามต่างก็มีหน้าที่ของตัวเอง

 

ในกรณีของซาลาห์, มาเน (และเฟียร์มิโน) หน้าที่ของพวกเขาในฐานะกองหน้าคือการทำประตู ดังนั้นหากมีโอกาสที่จะได้ลองยิง ไม่ว่าจะได้ประตูหรือไม่ก็ต้องทำ

 

สำหรับซาลาห์ ถึงจะดูเหมือนเห็นแก่ตัวในหลายๆ จังหวะ (เคยถึงขั้นโดนวิจารณ์และเรียกร้องให้ดรอปจากทีมในช่วงฤดูกาลที่แล้ว) แต่ในอีกด้านหนึ่งแล้ว ดาวเตะชาวอียิปต์ก็เป็นคนที่มีประสิทธิภาพในการเล่นพื้นที่สุดท้าย (Final Third) สูงที่สุดภายในทีมลิเวอร์พูล

 

สิ่งที่ซาลาห์ทำได้ดีกว่าทั้งมาเนและเฟียร์มิโนคือการหาตำแหน่งและการสร้างโอกาส ซึ่งไม่ใช่เฉพาะกับตัวเอง แต่ยังสร้างโอกาสให้เพื่อนด้วย โดยตัวเลขสถิติในฤดูกาลที่แล้ว ซาลาห์สร้างโอกาสได้ 77 ครั้ง มากกว่ามาเน (55) หรือเฟียร์มิโน (46)

 

ในบางครั้งซาลาห์อาจจะเข้าทำเอง แต่ในหลายครั้งเขาเปิดพื้นที่ให้เพื่อนได้ และนั่นมีส่วนอย่างมากในการช่วยให้อีกสองประสานเล่นง่ายขึ้นในแนวรุก

 

และระหว่างซาลาห์​กับมาเน ทั้งสองเล่นร่วมกันได้ ‘เป็นอย่างดี’ โดยนับตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้ว ทั้งคู่สร้างโอกาสระหว่างกันได้รวมถึง 40 ครั้ง โดยมาเนสร้างโอกาสให้ซาลาห์มากกว่าเล็กน้อย 23 ครั้ง ขณะที่ซาลาห์ตอบแทนกลับ 17 ครั้ง 

 

ขณะเดียวกันซาลาห์ก็เล่นกับเฟียร์มิโนได้ดี โดยสร้างโอกาสร่วมกันได้ 38 ครั้ง เรียกว่าใกล้เคียงการเล่นประสานกับมาเน (ซาลาห์สร้างโอกาสให้ได้มากกว่าด้วยถึง 21 ครั้ง) ขณะที่เฟียร์มิโน ตัวเลขสถิติในการเล่นประสานกับมาเนน้อยกว่ามากแค่ 20 ครั้งเท่านั้น แต่สตาร์ชาวบราซิลก็ทำหน้าที่ในสิ่งที่เพื่อนอีกสองคนทำไม่ได้เช่นกันในการ ‘เชื่อม’ กับทุกคน

 

ดังนั้นจะเห็นได้ว่าซาลาห์หรือมาเนเองก็มีหน้าที่หรือสิ่งที่ตัวเองต้องทำในระหว่างเกม และการตัดสินใจที่นำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่ดีครั้งหรือสองครั้งไม่ได้แปลว่าสิ่งอื่นๆ ที่ทำมาจะไร้ความหมาย

 

มาเนเองก็เคยมีช่วงเวลาแบบเดียวกับที่ซาลาห์เผชิญมาก่อน ดังนั้นถ้าใครสักคนจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้ดีที่สุดก็คือตัวของเขาเอง

 

ขณะที่ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์​ ตำนานดาวยิงรุ่นพี่ ให้ความเห็นเรื่องนี้เป็นข้อสรุปได้ดีว่า “ใครก็ไม่มีวันเป็นกองหน้าระดับท็อปคลาสได้ ถ้าหากไม่มีความเชื่อว่าจะทำประตูได้”

 

ฟังคำของฟาวเลอร์ อยากให้ลองคิดถึงว่าถ้าจังหวะนั้นไม่ใช่ซาลาห์ แต่เป็น เซร์คิโอ อเกวโร เขาจะเลือกส่งให้มาเนหรือจะยิงเอง

 

เขียนมาทั้งหมดนี้ ต้องย้ำอีกทีว่าซาลาห์กับมาเน จริงๆ แล้วมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันนะครับ 

 

เพียงแค่ต่างคนต่างก็ชอบแข่งขันซึ่งกันและกัน (อย่าลืมว่าทั้งคู่ต่างก็เป็นสตาร์ของแอฟริกา และอยากขึ้นชื่อว่าเป็นเบอร์หนึ่งของทวีป) 

 

และถ้าจะแข่งขันกันทำผลงานแบบนี้ ต่อให้จะโมโหกันบ้าง น้อยใจกันบ้าง แต่ยิงเอาๆ แบบนี้ เดอะ ค็อป ทั้งหลายก็คงไม่ว่ากระไร

 

แต่จะให้ดีก็ขอให้กลับมายิ้มแย้มกอดกันเหมือนเดิมไวๆ เพราะงอนกันนานไปมันจะไม่ดีต่อหัวใจเอานะครับ 🙂

 

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising