×

แคมปิ้งในอุทยาน นอนเต็นท์ท่ามกลางหมู่ดาว เผามาร์ชเมลโลว์กินที่ยูทาห์

15.12.2017
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

5 Mins. Read
  • อุทยานแห่งนี้เริ่มเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางขึ้นในหมู่ชาวต่างชาติจากภาพยนตร์คลาสสิกช่วงปี 1969 เรื่อง Mackenna’s Gold หรือขุมทองแมคเคนน่า แต่อาจจะไม่คุ้นเคยสำหรับผู้อายุไม่ถึง 50 ปี ถ้าจะให้เด็กๆ ไปจนถึงวัยกลางคนนึกออก คงต้องให้นึกถึงการ์ตูนตอนสั้นเรื่อง Road Runner ที่เจ้านกสีฟ้าวิ่งหนีหมาป่าหิวโหยไปทั่วบริเวณที่ราบสลับภูเขาสีแดง
  • การเดินทางครั้งนี้มีคุณพ่อคุณแม่ที่ร่วมทริปด้วย ทำให้ต้องเลือกเที่ยวเฉพาะจุดที่ไม่ลำบากเกินไป บริเวณนี้จึงเหมาะเพราะสิ่งน่าสนใจใช้เวลาเดินดูไม่ถึง 2 ชั่วโมงก็ครบ
  • Moab Under Canvas เป็นสถานที่พักที่เน้นการออกแบบได้กลมกลืนกับสิ่งแวดล้อม รวมถึงผู้มาพักจะได้ประสบการณ์จากการนอนภายใต้เต็นท์ผ้าใบที่มีแต่เตาฟืนคอยให้ความอบอุ่นภายในเต็นท์ท่ามกลางฟ้าพร่างดาว

“แคมปิ้งในอุทยานสักแห่ง นอนเต็นท์ท่ามกลางหมู่ดาว เผามาร์ชเมลโลว์ทำสมอร์กิน”

 

อยู่ดีๆ ความปรารถนานี้ก็เกิดขึ้นระหว่างการแพลนทริปขับรถเที่ยวสหรัฐอเมริกา เป็นที่รู้กันว่าสหรัฐฯ เป็นประเทศกว้างใหญ่ ขับรถจากเมืองหนึ่งไปอีกเมืองหนึ่งก็ใช้เวลานาน ยิ่งขับข้ามระหว่างรัฐบางเส้นทางใช้เวลาเป็นวัน ทริปของผมเริ่มต้นที่การลงเครื่องที่ซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย จากนั้นต่อเครื่องไปยังซอลต์เลกซิตี รัฐยูทาห์ จากนั้นจึงเริ่มเช่ารถขับจากที่นี่ ตามแพลนใช้ระยะเวลาทั้งสิ้น 15 วัน สิ้นสุดที่เมืองลอสแอนเจลิสในรัฐแคลิฟอร์เนียอีกครั้ง ระหว่างทางเราจะผ่านรัฐต่างๆ ได้แก่ ไวโอมิง, แอริโซนา, เนวาดา แวะเที่ยวหลายจุดมากมาย

 

 

จากความต้องการข้างต้นนั้นทำให้เกิดคำถามที่ตามมาว่า “แล้วเราจะทำอะไรกันที่ไหนล่ะ” หลังจากเลือกแล้วเลือกอีก ไม่ว่าจะเป็น เยลโลว์สโตน (Yellowstone) แกรนด์เตตัน (Grand Teton) แกรนด์แคนยอน (Grand Canyon) สุดท้ายผมก็ตัดสินใจเลือกที่อุทยานแห่งชาติอาร์เชส (Arches National Park) ในรัฐยูทาห์ เนื่องจากตั้งอยู่ในพื้นที่ที่เห็นดาวได้สวยงามชัดเจน รวมถึงมีที่พักที่น่าสนใจอย่าง Moab Under Canvas ทำให้ผมไม่ลังเลที่จะส่งเมลไปจองที่พักนี้ พร้อมกับบรรจุกิจกรรมและรายละเอียดการเดินทางไปที่พักแห่งนี้ลงในแพลน ‘West Side Story Road Trip’ ที่นานแสนนานของผมทันที

 

 

The Park

Arches National Park หรืออุทยานแห่งชาติอาร์เชส หรือชื่อเล่นว่าอุทยานแห่งชาติสะพานหินโค้ง มีพื้นที่ 300 ตารางกิโลเมตร ตั้งอยู่ในรัฐยูทาห์ ความโดดเด่นของอุทยานแห่งชาติแห่งนี้คือหินทรายสีแดงรูปทรงแปลกตาที่กระจายตัวกันอยู่ทั่วพื้นที่อุทยาน ใครมีพละกำลัง มีเวลาแค่ไหน ก็สามารถเลือกชมได้ตามความสะดวก บางจุดสามารถจอดรถชมความมหัศจรรย์ของธรรมชาติตรงหน้าได้เลย ส่วนบางจุดเช่น เดลิเคตอาร์ช (Delicate Arch), พาร์ทิชัน อาร์ช (Partition Arch), ทันเนล อาร์ช (Tunnel Arch) หรือแลนด์สเคป อาร์ช (Landscape Arch) ก็ต้องอาศัยสองเท้าของเราในการเดินต่อเข้าไป ซึ่งการชมสถานที่น่าสนใจภายในบริเวณนี้ อาทิมีสะพานหินโค้งที่ที่นี่มีมากกว่า 200 แห่ง และมีสะพานหินโค้งแลนด์สเคปที่ยาวกว่า 89 เมตร และเป็นสะพานหินโค้งที่ยาวที่สุดในโลก แต่ถ้าให้พูดตรงๆ คือเหมาะแก่การแวะมาชมหินโค้งแล้วขับรถต่อ เพราะเดินเข้าไปดูทุกอย่างไม่ถึง 2 ชั่วโมงก็ครบ

 

 

อุทยานแห่งนี้เริ่มเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางขึ้นในหมู่ชาวต่างชาติจากภาพยนตร์คลาสสิกช่วงปี 1969 เรื่อง Mackenna’s Gold หรือขุมทองแมคเคนน่า แต่อาจจะไม่คุ้นเคยสำหรับผู้อายุไม่ถึง 50 ปี ถ้าจะให้เด็กๆ ไปจนถึงวัยกลางคนนึกออก คงต้องให้นึกถึงการ์ตูนตอนสั้นเรื่อง Road Runner ของสตูดิโอวอร์เนอร์บราเธอร์ส ที่เจ้านกสีฟ้าวิ่งหนีหมาป่าหิวโหยร้อง “บี๊บๆ” ไปทั่วบริเวณที่ราบสลับภูเขาสีแดง นั่นคือภูมิประเทศทะเลทรายในแถบนี้นั่นเอง

 

 

สำหรับการเดินทางของผมมีผู้สูงอายุนั่นคือคุณพ่อคุณแม่ที่ร่วมทริปด้วย ทำให้ต้องเลือกเที่ยวเฉพาะจุดที่ไม่ลำบากเกินไป ผมจึงมองว่าบริเวณนี้เหมาะ โดยใช้เวลาประมาณครึ่งวันบ่ายจนถึงพระอาทิตย์เริ่มตกที่นี่ แล้วจึงค่อยขับออกมาที่พัก Moab Under Canvas ซึ่งอยู่ห่างจากทางเข้าเขตอุทยานแห่งชาติเพียง 5 นาทีเท่านั้น ทำให้บรรยากาศโดยรอบที่พักนั้นไม่ต่างกับภายในอุทยานเลย คือเป็นที่ราบกึ่งทะเลทราย เวิ้งว้าง เห็นเนินเขา และภูเขาเตี้ยๆ สลับไปมา แต่นี่คือฉากนำในเรื่องราวของผม

 

 

Starry Under Canvas

ครั้งแรกที่ได้เห็นที่พักอย่าง Moab Under Canvas คือบนอินสตาแกรม และมีความประทับใจกับสิ่งที่ได้เห็นมาก เพราะเป็นการออกแบบได้กลมกลืนกับสิ่งแวดล้อม รวมถึงผู้มาพักที่ผมสังเกตแลดูจะได้ประสบการณ์ที่ดีจากการนอนภายใต้เต็นท์ผ้าใบที่มีเตาฟืนคอยให้ความอบอุ่นภายในเต็นท์ แต่ดูจากสถานที่ตั้งแล้ว ตอนนั้นผมได้แต่คิดว่าคงไม่มีโอกาสไปหรอก เพราะอยู่เกือบกลางประเทศสหรัฐฯ ไม่มีสนามบินนานาชาติใกล้เคียงที่จะสะดวกเดินทางไป แต่แล้วความตั้งใจนั้นก็ถูกรื้อกลับมาทำให้สำเร็จจนได้

 

 

‘Moab Under Canvas’ เป็นหนึ่งในที่พักของเครือ Under Canvas เครือโรงแรมที่พักที่มีรูปแบบที่พักใกล้เคียงกัน คือเน้นความใกล้ชิดธรรมชาติ มีบรรยากาศเหมือนการมาแคมปิ้งแต่ก็ไม่ทรหดจนเกินไป เพราะกึ่งๆ เป็นเต็นท์ลักซูรีที่ไม่เบียดเบียนทรัพยากรธรรมชาติของอุทยานแห่งชาตินั้นๆ จนเกินไปมากกว่า แนวคิดของที่พักนี้ส่วนหนึ่งมีอธิบายอยู่ในเว็บไซต์ และข้อมูลเพิ่มเติมได้จากพนักงานตอนเช็กอินเข้าที่พัก เต็นท์ที่พักนี้มีทั้งแบบมีห้องน้ำภายในตัว หรือใช้ห้องน้ำรวม

 

 

บริเวณล็อบบี้ต้อนรับเป็นเต็นท์ทรงกรวยคว่ำขนาดใหญ่มหึมาสองเต็นท์ต่อกัน คล้ายๆ บ้านหัวหน้าอินเดียนแดง ภายในตกแต่งด้วยไฟไม่กี่ดวงเพื่อประหยัดพลังงาน มีเตาผิงตรงกลาง รอบๆ เป็นโซฟาสำหรับนั่งพัก มีมุมชากาแฟและน้ำร้อนคอยบริการตลอดเวลา ด้านหลังเต็นท์ล็อบบี้มีลานกองไฟกลางแจ้งสำหรับนั่งเล่นกันภายใต้แสงดาวนับล้านดวงในคืนเดือนมืด ถัดออกไปประมาณ 100 เมตรเป็นที่ตั้งของเต็นท์ขนาดเล็ก พร้อมเตาย่างบาร์บีคิวที่ผู้เข้ามาพักสามารถจัดเตรียมวัตถุดิบมาทำอาหารกันได้อย่างอิสระ ด้วยเหตุนี้มุมนี้จึงตั้งห่างออกมาจากพื้นที่เต็นท์พักอาศัย เพื่อหลีกเลี่ยงกลิ่นอาหารที่จะรบกวนผู้พักท่านอื่นๆ ซึ่งผมก็ได้เตรียมทำการบ้านล่วงหน้ามาว่ามื้อค่ำใต้แสงดาวครั้งนี้จะทำอะไรกินกันบ้าง จึงซื้อวัตถุดิบเตรียมไว้ล่วงหน้าเป็นที่เรียบร้อยก่อนมาถึง

 

 

Hello, Milky Way

ก่อนการทำบาร์บีคิวจะเริ่มต้นขึ้น ทางพนักงานของที่พักได้พาเราไปรู้จักตำแหน่งเต็นท์ที่พักก่อน ซึ่งเต็นท์ที่นี่ดูภายนอกจะเหมือนกันทั้งหมด ต่างกันแค่ขนาด ซึ่งประเภทที่ผมจองมาคือแบบขนาดใหญ่มีห้องน้ำภายในตัว ซึ่งเต็นท์ประเภทนี้จะตั้งอยู่ริมนอกและหันหลังเข้าพื้นที่ที่พัก และหน้าเต็นท์ออกไปด้านนอก ซึ่งเป็นทางทิศตะวันออกทั้งหมด ทำให้ต้องเดินอ้อมเข้า ในทีแรกผมก็รู้สึกแปลกใจว่าทำไมถึงจัดวางมาแบบนี้ ทำให้ผู้มาพักเดินเข้าออกลำบาก ยิ่งมีกระเป๋าเดินทางด้วยยิ่งลำบากเพราะพื้นทางเดินภายในบริเวณที่พักนั้นเป็นพื้นดินขรุขระทั้งหมด แต่ก็มาทราบในภายหลังจากพนักงานว่า ทางที่พักต้องการให้ผู้มาพักทุกเต็นท์รู้สึกส่วนตัว เวลาอยู่ภายในเต็นท์แล้วเปิดผ้าใบที่เป็นเสมือนประตูเข้าออกค้างไว้ มองออกมาก็จะเห็นภูมิประเทศอันน่าอัศจรรย์ของอุทยานแห่งชาติแห่งนี้ นอกจากนี้ยังเป็นการตั้งใจหลบแสงไฟจากพื้นที่ส่วนกลาง เมื่อถึงกลางดึกแค่เดินออกมาหน้าเต็นท์ไม่กี่ก้าว เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ก็จะพบกับดาวเต็มท้องฟ้า รวมถึงเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมสามารถมองเห็นทางช้างเผือกได้

 

แต่ความตั้งใจของผู้ออกแบบที่พักแห่งนี้ก็ไม่สิ้นสุดแค่การมอบแสงดาวบนท้องฟ้าให้แก่ผู้มาพักในยามค่ำคืน การที่เต็นท์หันออกไปทางทิศตะวันออกก็ทำให้ผู้มาพักได้ตื่นมาพร้อมกับการชื่นชมพระอาทิตย์ขึ้น เพียงเปิดผ้าใบหน้าเต็นท์เอาไว้ก็สามารถนอนชมพระอาทิตย์ขึ้นได้เลย หรือจะไปชงกาแฟสักแก้ว แล้วเอามานั่งจิบที่ชานไม้หน้าเต็นท์ก็ได้บรรยากาศที่ลืมไม่ลงเช่นกัน แต่ไม่ว่าจะชมทะเลดาวตอนกลางคืนหรือพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าเราก็อาจจะต้องอดทนความหนาวเย็นสักหน่อย ควรเตรียมเครื่องนุ่งห่มไปให้เพียงพอ

 

 

สำหรับภายในเต็นท์นั้นประกอบด้วยเตียงมาตรฐาน โต๊ะ เก้าอี้ ไม่ต่างกับรีสอร์ตโรงแรมทั่วไป แต่ความน่าสนใจอยู่ที่ห้องน้ำที่แยกกับห้องสุขาที่กั้นด้วยม่าน เนื่องจากความตั้งใจจะเบียดเบียนธรรมชาติน้อยที่สุด การใช้น้ำในการอาบน้ำจึงถูกออกแบบมาให้ใช้อย่างจำกัดด้วยคันชักของฝักบัว นั่นแปลว่าตลอดเวลาที่อาบน้ำเราต้องดึงคันชักค้างไว้ เพราะเมื่อไรที่ปล่อย น้ำก็จะหยุดไหลทันที อาจจะลำบากสักหน่อยแต่ก็ได้ประสบการณ์ที่ดี เอาจริงๆ ขอแค่มีน้ำร้อนให้อาบ เราทุกคนก็ดีใจกันมากแล้ว

 

ถัดออกมาอีกหน่อยตรงกลางพื้นที่เต็นท์เป็นที่ตั้งของเตาผิงที่วัสดุเป็นเหล็กกล้าอย่างหนา พนักงานจะสอนเราจุดไต้ก่อน เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงตั้งต้น จากนั้นจึงนำไม้แห้งสุมเข้าไป เพื่อทำให้เปลวไฟลุกโชนขึ้นสร้างความอบอุ่นผสมกลิ่นไม้ให้กับเต็นท์ของเรา ในทีแรกเราก็คิดว่าสนุกดีจนกระทั่งพนักงานบอกว่า ให้เตรียมหากิ่งไม้แห้งรอบๆ เต็นท์มาตุนเอาไว้ด้วย เพราะกลางดึกหลังจากคุณหลับไปแล้ว ไฟอาจจะดับแล้วคุณจะหนาว ต้องลุกมาจุดเตาใหม่ ถ้าไม่อยากออกไปเดินหากิ่งไม้กลางดึก เตรียมตุนเอาไว้ก็ดี ทางเราก็ได้แต่ตอบ “โอเค” ก็คงต้องทำตามนั้น และสุดท้ายก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะราวๆ ตีสาม ผมผู้นอนใกล้เตาที่สุด ต้องรับผิดชอบความงัวเงียของตัวเอง ลุกขึ้นมาจุดไต้ โยนกิ่งไม้เข้าเตาอีกครั้ง มิฉะนั้นทุกคนอาจจะนอนหนาวยันเช้าได้ หลายๆ จุดที่ทางที่พักนี้คิดมาเป็นอย่างดีแสดงให้เห็นถึงความเอาใจใส่ทุกรายละเอียด ที่ไม่เพียงเน้นแต่งานออกแบบที่น่าประทับใจ แต่ยังสามารถกลมกลืนกับธรรมชาติและสร้างความสุขให้กับผู้มาพักได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

 

 

S’more Time

เมื่อระเบียบต่างๆ ในเต็นท์พักเสร็จสิ้น ก็ได้เวลาทำอาหารค่ำกัน ต้องสารภาพตามตรงว่า ทุลักทุเลทุกขั้นตอนเพราะอากาศหนาวยะเยือก ลมแรงจนผักสลัดปลิว แสงไฟมีน้อย รวมถึงอุปกรณ์เตาและแก๊สที่เราไม่คุ้นเคย แต่ก็สนุกและน่าประทับใจมาก เป็นประสบการณ์ใหม่ในชีวิตที่คงลืมไม่ลงกับมื้อค่ำแบบลำบากๆ ที่ทุกคนในครอบครัวช่วยกันทำ หลังจากอิ่มจากของคาว ผมก็ไม่พลาดที่จะลองทำสมอร์ (S’more) ขนมคลาสสิกของคนอเมริกันเวลาไปแคมปิ้ง จริงๆ หน้าตาก็ออกมาไม่ได้ดีเท่าไร แต่ก็ถือว่าได้บรรลุจุดประสงค์ทุกอย่างที่คิดขึ้นมาแบบไม่คาดหวังในทีแรกเรียบร้อย

 

เสร็จสิ้นจากมื้อค่ำอันแสนวุ่นวายและการเดินทางอันแสนยาวนานมาทั้งวัน ก็เป็นช่วงเวลานั่งสงบๆ ภายใต้ทะเลดาวแห่งรัฐยูทาห์ คืนนั้นเป็นคืนที่ผมได้เห็นดาวเยอะที่สุดในชีวิต ได้เห็นกลุ่มดาวแทบทุกชนิดที่เคยเรียนมาตอนเด็กๆ ทั้งได้ลองตั้งกล้องหัดถ่ายดาวเป็นครั้งแรก

 

นี่เป็นช่วงเวลาประทับใจครั้งหนึ่งในชีวิตนักเดินทางที่ทำให้ผมรู้สึกว่าหลายครั้งที่เราได้พบเห็นสถานที่สวยงามต่างๆ บนโลกนี้ผ่านสื่อที่พบเห็นได้ง่ายขึ้น แต่กลับรู้สึกว่ามันช่างไกลเกินเอื้อม แต่ใครจะรู้วันหนึ่งวันใดในอนาคตที่ในฝันแห่งนั้นก็อาจจะมีโอกาสวนเวียนเข้ามาหาเราได้ถ้าโอกาสประจวบเหมาะ เหมือนกับดวงดาวนั่นแหละ ที่บางจังหวะเวลาเราไม่สามารถมองเห็นมันได้ แต่เมื่อถึงเวลามันก็จะมีโอกาสโคจรกลับมาให้เราได้เจอได้ทึ่งเอง ประสบการณ์ของผมที่อุทยานแห่งนี้และ Moab Under Canvas ก็เช่นกัน

 

ขอเพียงเรายังเก็บความตั้งใจของเราเอาไว้ สักวันมันก็จะมีโอกาสเป็นไปได้เอง เพราะสุดท้ายแล้วที่เคยคิดว่าที่นั่นที่นี่ไกลแค่ไหน ยังไงเสียมันก็ยังอยู่บนโลกใบเดียวกับเราอยู่ดี

 

Photos: ภาวิต นิลยนิมิต, Moab Under Canvas

FYI
  • ที่พัก Moab Under Canvas อยู่ที่ 13784 US-191, Moab, Utah 84532, USA  อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  www.moabundercanvas.com
  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising