×

‘แม่ทัพมิตซูบิชิ มอเตอร์ส’ ประกาศชัด เดินหน้าสู้ในตลาดไทยต่อไป จับตาการออก ‘รถกระบะไฟฟ้า’ ที่กำลังอยู่ในช่วงพัฒนา

22.03.2023
  • LOADING...
มิตซูบิชิ มอเตอร์ส

การที่ ‘มิตซูบิชิ ไทรทัน’ เป็นรถรุ่นที่ขายดีที่สุดของแบรนด์มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ซึ่งผลิตจากโรงงานแหลมฉบังในประเทศไทย เพื่อส่งออกไปยังกว่า 150 ประเทศทั่วโลก จึงนับเป็นรถยนต์รุ่นสำคัญในเชิงกลยุทธ์ระดับโลก

 

จากเหตุผลดังกล่าวทำให้ ทาคาโอะ คาโตะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น ได้เดินทางมาไทยเพื่อเปิดตัวรถยนต์มิตซูบิชิ เอ็กซ์อาร์ที คอนเซปต์ ณ งานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 44

 

รถมิตซูบิชิ ไทรทัน รุ่นใหม่ จะเป็นรถกระบะขนาดกลางเจเนอเรชันที่ 6 ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ซึ่งได้รับการออกแบบใหม่ทั้งคันเป็นครั้งแรกในรอบ 9 ปี โดยหลังจากที่เปิดตัวในประเทศไทยภายในปีงบประมาณ 2566 แล้ว จะมีการเปิดตัวรถรุ่นนี้ในภูมิภาคอาเซียน โอเชียเนีย และตลาดอื่นๆ ทั่วโลก ตามลำดับ

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

“ปีงบประมาณ 2566 เป็นปีที่มีความสำคัญสำหรับมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ในการเร่งสร้างการเติบโตทางธุรกิจของเราในภูมิภาคอาเซียน ด้วยการเปิดตัวไทรทัน รุ่นใหม่ และรถคอมแพ็กเอสยูวีรุ่นใหม่ โดยรถไทรทัน รุ่นใหม่ อยู่ระหว่างการทดสอบในขั้นตอนสุดท้ายเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนการเปิดตัว” คาโตะกล่าว

 

สิ่งที่น่าสนใจคือจากแผนธุรกิจของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ในช่วงที่ผ่านมา เห็นว่าจะทำตลาดกระบะที่เป็นรถไฟฟ้าด้วย ซึ่งเรื่องนี้คาโตะกล่าวกับสื่อไทยว่า ปัจจุบันอยู่ในระหว่างการพิจารณาในการพัฒนารถกระบะแบบ BEV (Battery Electric Vehicle หรือรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่) อยู่ เพราะมองเห็นถึงความเป็นกลางทางคาร์บอน จึงวางแผนพัฒนารถที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมออกสู่ตลาดให้มากขึ้น

 

“ในกรณีของประเทศไทยก็ถือว่าเป็นตลาดที่มีความสำคัญ จึงอยากพัฒนารถรุ่นนี้ออกมารองรับตลาด โดยมิตซูบิชิ มอเตอร์สได้มีการประกาศธุรกิจในระดับ Global ออกมาว่าจะมีการพัฒนารถยนต์เพื่อตอบโจทย์ตลาดอาเซียนเพิ่มมากขึ้นด้วย”

 

คาโตะย้ำว่า ในประเทศไทยถือว่าเป็นตลาดที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งกับทางมิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น เพราะแบรด์ในไทยเองก็เป็นที่รู้จัก เพราะฉะนั้นต้องใส่ใจและสู้ในตลาดต่อไป ที่ผ่านมาอาจจะมี Model ใหม่ๆ ออกมาไม่มากสักเท่าไร แต่ต่อจากนี้ไปเกือบทุกปีจะมีการออกรถรุ่นใหม่ๆ เข้ามาในตลาดอาเซียน ซึ่งรวมถึงตลาดประเทศไทยด้วย

 

เมื่อเร็วๆ นี้ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น ได้ประกาศแผนธุรกิจระยะกลาง รอบ 3 ปี (ปีงบประมาณ 2566-2568) ภายใต้ชื่อแผน ‘ชาเลนจ์ 2025’ (Challenge 2025) เดินหน้าเต็มสูบผลักดันธุรกิจให้เติบโต เร่งเครื่องเตรียมพร้อมสำหรับตลาดคนรุ่นใหม่ ซึ่งประกอบไปด้วย

  • มุ่งสู่เป้าหมายยอดจำหน่ายรถยนต์ที่ 1.1 ล้านคัน และผลกำไรจากการปฏิบัติงาน 2.2 แสนล้านเยน หรือประมาณ 5.7 หมื่นล้านบาท (อัตราส่วนกำไรจากการปฏิบัติงาน 7%)
  • ให้ความสำคัญต่อการจัดการทรัพยากรเพื่อการดำเนินงานในภูมิภาคอาเซียน / โอเชียเนีย ควบคู่ไปกับการเพิ่มยอดขาย ส่วนแบ่งตลาด และรายได้
  • เปิดตัวรถยนต์ 16 รุ่น ภายใน 5 ปีข้างหน้า (รวมถึงรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า (xEV) 9 รุ่น)
  • ขยายการลงทุนเพิ่มประมาณ 30% ภายใน 6 ปีข้างหน้า จนถึงปี 2571 ด้านการวิจัยและพัฒนา และการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร (คาดว่าการจัดสรรการลงทุนด้านระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า ไอที และธุรกิจใหม่ จะมีอัตราส่วนประมาณ 70% ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2569 เป็นต้นไป)
  • ลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก เพื่อช่วยขับเคลื่อนสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน
  • ลงทุนมูลค่า 2.1 แสนล้านเยน หรือประมาณ 5.4 หมื่นล้านบาท ภายในปี 2573 เพื่อจัดหาแบตเตอรี่รวมทั้งหมด 15 กิกะวัตต์ชั่วโมง
  • กระชับความสัมพันธ์กับบริษัทพันธมิตร (การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยส่งเสริมกัน และอื่นๆ)
  • สร้างความท้าทายในธุรกิจใหม่ ด้วยการใช้สินทรัพย์ที่มีความพิเศษเฉพาะสำหรับบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ (การจัดการพลังงาน การนำแบตเตอรี่กลับมาใช้ใหม่ การจำหน่ายข้อมูล และอื่นๆ)

 

อย่างไรก็ตาม การเข้ามาในตลาดรถยนต์​ไฟฟ้าต้องเจอคู่แข่งจากจีน เรื่องนี้คาโตะได้แสดงความเห็นว่า สำหรับผู้ผลิตชาวจีน จะเห็นว่ารถมีดีไซน์ที่ล้ำยุคมากขึ้น และเรื่องของคุณภาพทางจีนก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ในการที่จะแข่งขันกับผู้ผลิตจากประเทศจีน คิดว่าเรื่องของดีไซน์นั้นจะมีโอกาสพัฒนารถของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ให้มีดีไซน์ที่ชัดเจนโดดเด่นเหนือแบรนด์จีนได้ แบบที่มองแล้วรู้เลยว่าเป็นมิตซูบิชิ มอเตอร์ส

 

ทั้งนี้ การเดินทางมาไทยของคาโตะไม่ได้มีเพียงการเปิดตัวรถยนต์มิตซูบิชิ เอ็กซ์อาร์ที คอนเซปต์ เท่านั้น แต่เขายังเดินทางมาเพื่อสื่อสารกับทางตัวแทนจำหน่าย (Dealers) โดยพูดคุยหารือแลกเปลี่ยนกับทางตัวแทนจำหน่ายว่าในอนาคตจะเป็น Hybrid หรือ Plug-in Hybrid หรือว่าแบตเตอรี่ EV โมเดลแบบไหนที่เหมาะสม

 

“ในส่วนของประเทศไทย ที่ผ่านมาพยายามจะเน้นในเรื่องของคุณภาพของการขายให้ดีขึ้น ซึ่งก็คือเรื่องของความพึงพอใจของลูกค้า และเรื่องของ Aftersales ที่จะต้องมีการบริการที่ดีขึ้น ที่จะส่งผลให้ราคาขายต่อ (Resale Value) ของรถมิตซูบิชิ มอเตอร์ส มีราคาที่สูงขึ้น ตรงนี้เราก็ประสบความสำเร็จแล้วส่วนหนึ่ง ซึ่งช่วงนี้เป็นช่วงที่เราจะป้อน Product ใหม่ๆ เข้าสู่ตลาดมากขึ้น ท่านประธานจึงมาด้วยตัวเอง เพื่อมาเป็นผู้สื่อสารว่าเราจะมีการกระตุ้นตลาดด้วยจำนวนรถรุ่นใหม่ๆ ที่จะออกมา และช่วงนี้เป็นช่วงกลยุทธ์ระยะที่ 2 ที่จะสร้าง Customer Satisfaction เน้นการบริการที่ดีขึ้น และเชื่อว่าตัวแทนจำหน่ายจะช่วยให้ Brand Value ดีขึ้นได้” คาโตะกล่าว

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising