×

ปวดไมเกรน, รักแร้แฉะ, หน้าแข็ง โบท็อกซ์จะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้อย่างไร

05.11.2021
  • LOADING...
ปวดไมเกรน, รักแร้แฉะ, หน้าแข็ง โบท็อกซ์จะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้อย่างไร

HIGHLIGHTS

2 mins. read
  • ทางแพทย์อาจแนะนำให้รักษาไมเกรนด้วยโบท็อกซ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่มีอาการปวดศีรษะมากกว่า 15 ครั้งต่อเดือน แต่ละครั้งปวดศีรษะนานกว่า 4 ชั่วโมง โดยที่โบท็อกซ์จะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า ศีรษะ และลำคอทั้ง 7 มัด ที่ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ
  • โบท็อกซ์สามารถรักษาภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติ หรือที่ทางการแพทย์เรียกว่า Primary hyperhidrosis คนไข้กลุ่มนี้จะมีเหงื่อออกมากกว่าคนทั่วไป และมักมีอาการชัดเจนบริเวณรักแร้หรือผ่ามือ-ผ่าเท้า 
  • ความเชื่อที่ว่า อยากฉีด Botulinum Toxin type A น้อยๆ จะได้เป็นธรรมชาติ ถึงต้องฉีดบ่อยหน่อยก็ไม่เป็นไร เป็นความเชื่อที่ผิด เพราะนอกจากจะทำให้ได้ผลการรักษาไม่เต็มที่ และริ้วรอยจะกลับมาเร็วกว่าที่ควรจะเป็นแล้ว การฉีด Botulinum Toxin type A บ่อยๆ ยังทำให้ร่างกายของเราดื้อยา

แม้โบท็อกซ์ (Botox) จะสร้างชื่อในแวดวงความงาม แต่ในความเป็นจริงแล้ว โบท็อกซ์นั้นมีต้นกำเนิดจากการเป็นยาที่ใช้ในการรักษาโรค หาใช่เรื่องความงามอย่างที่คิด 

 

แรกเริ่มโบท็อกซ์ หรือชื่อสามัญทางยา Botulinum Toxin type A เริ่มใช้ในวงการแพทย์มาตั้งแต่ปี 1989 หรือกว่า 32 ปีแล้ว โดยเริ่มด้วยการคิดค้นเพื่อรักษาโรคต่างๆ1 เช่น ภาวะหนังตากระตุก (Blepharospasm) ภาวะใบหน้ากระตุก (Hemifacial spasm) ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ (Urinary incontinence) และภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติ (Primary hyperhidrosis) เป็นต้น 

 

จวบจนถึงยุคของคุณหมอ Jean Carruthers ที่ได้รับการยกย่องให้เป็น ‘Mother of Botox’ ได้สร้างจุดเปลี่ยนโดยการศึกษาและใช้โบท็อกซ์ในการรักษาคนไข้อย่างจริงจัง อย่างที่กล่าวไปว่าโบท็อกซ์ได้รับ US FDA ให้ใช้ครั้งแรกในปี 1989 แต่เพื่อการรักษาโรคเท่านั้น แต่หลังจากที่คุณหมอ Jean Carruthers จักษุแพทย์ชาวแคนาดา ได้ใช้ Botox รักษาโรคหนังตากระตุกให้คนไข้แล้วพบว่าคนไข้ดูอ่อนเยาว์ลง เนื่องจากริ้วรอยขมวดคิ้วหายไป เธอจึงแนะนำให้สามี ซึ่งเป็นนายแพทย์ผิวหนังอย่างคุณหมอ Alastair Carruthers ลองใช้รักษาคนไข้ดูบ้าง ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็ดีมาก พบว่าริ้วรอยจากการแสดงอารมณ์ของคนไข้ลดลงอย่างชัดเจน ทั้งคู่จึงได้เสนอผลงานทางวิชาการชื่อ The Cosmetic Use of Neuromodulators ในปี 19924 นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการรักษาโบท็อกซ์ด้านความงามที่เป็นที่นิยมมาจนถึงปัจจุบัน รวมถึงการใช้โบท็อกซ์ในการรักษาอาการหรือโรคเหล่านี้ด้วย

 

ปวดไมเกรน โบท็อกซ์ช่วยคุณได้  

 

 

เชื่อหรือไม่ว่าโบท็อกซ์สามารถป้องกันอาการปวดไมเกรนเรื้อรังได้ดีอีกด้วย (Chronic Migraine) เนื่องจากไมเกรนเป็นกลุ่มอาการที่ทำให้เกิดการปวดศีรษะเรื้อรัง ซึ่งเป็นปัญหาหนักอกของคนกว่า 12% ทั่วโลก2 ซึ่งหากการรักษาด้วยยารับประทานไม่สามารถควบคุมอาการปวดไมเกรนเรื้อรังได้แล้ว ทางแพทย์อาจแนะนำทางเลือกในการรักษาด้วยโบท็อกซ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่มีอาการปวดศีรษะมากกว่า 15 ครั้งต่อเดือน และแต่ละครั้งปวดศีรษะนานกว่า 4 ชั่วโมง โดยที่โบท็อกซ์จะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า ศีรษะ และลำคอทั้ง 7 มัดที่ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับว่าอาการปวดมีสาเหตุจากกล้ามเนื้อมัดใดบ้าง โดยการรักษาจะใช้โบท็อกซ์ 155-195 ยูนิตต่อครั้ง ซึ่งในแต่ละครั้งจะช่วยป้องกันอาการได้ 4-6เดือนเลยทีเดียว1

 

รักแร้แฉะ ฉีดโบท็อกซ์ช่วยลดเหงื่อ  

ใครเคยถูกทักว่า “ตื่นเต้นเหรอ? รักแร้เปียกเชียว” ทำให้ขาดความมั่นใจ อาจลองใช้โบท็อกซ์รักษาภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติ หรือที่ทางการแพทย์เรียกว่า Primary hyperhidrosis คนไข้กลุ่มนี้จะมีเหงื่อออกมากกว่าคนทั่วไป และมักมีอาการชัดเจนบริเวณรักแร้หรือผ่ามือ-ผ่าเท้า ทั้งนี้ ก่อนรักษาด้วยโบท็อกซ์ เราต้องให้แพทย์วินิจฉัยแยกโรคก่อนว่าอาการเหงื่อมากนี้ไม่ได้เป็นผลมาจากโรคอื่นๆ ที่แฝงอยู่ เช่น ไทรอยด์เป็นพิษ เบาหวาน โรคอ้วน หรือรูมาตอยด์ เป็นต้น3 ซึ่งหากรักษาโรคที่เป็นสาเหตุให้ดีขึ้น อาการเหงื่อออกมากก็จะดีขึ้นได้เอง แต่ถ้าไม่มีโรคที่เป็นสาเหตุที่กล่าวมา การฉีดโบท็อกซ์ก็เป็นทางเลือกอันดับต้นๆ ในการรักษาที่คาดหวังผลการรักษาได้แม่นยำ ด้วยการฉีดครั้งละประมาณ 50 ยูนิต และอาจให้ผลการรักษานาน 6-8 เดือนเลยทีเดียว

 

 

 

ไม่อยากหน้าแข็งให้ฉีดน้อยๆ แต่ถี่ๆ จริงไหม  

ความเชื่อที่ว่า อยากฉีด Botulinum Toxin type A น้อยๆ จะได้เป็นธรรมชาติ ถึงต้องฉีดบ่อยหน่อยก็ไม่เป็นไร เป็นความเชื่อที่ผิดครับ เพราะนอกจากจะทำให้ได้ผลการรักษาไม่เต็มที่ และริ้วรอยจะกลับมาเร็วกว่าที่ควรจะเป็นแล้ว การฉีด Botulinum Toxin type A บ่อยๆ ยังทำให้ร่างกายของเราดื้อยา ผลคือฉีด Botulinum Toxin type A แล้วไม่ได้ผล สำหรับการฉีดโบท็อกซ์เพื่อลดริ้วรอยแนะนำให้ใช้ปริมาณ 64 ยูนิต จะให้ผลลัพธ์ยาวนานกว่า 6 เดือน และลดความเสี่ยงต่อการดื้อโบท็อกซ์อีกด้วย

 

เวลาที่เกิดการดื้อยา ร่างกายของเราจะดื้อต่อ Botulinum Toxin type A ทุกยี่ห้อ ไม่ว่าจะเป็น Botox Dysport Xeomin หรือจะเป็นโบเกาหลี โบจีน ก็ตาม คนไข้ต้องเปลี่ยนไปใช้ Botulinum Toxin type B ซึ่งไม่มีในประเทศไทย ดังนั้นในประเทศไทยถ้าเกิดการดื้อยาทางออกเดียวคือ หมอจะแนะนำให้คนไข้หยุดฉีดโบท็อกซ์ไป 1-2 ปี (แสดงว่าเราจะมีริ้วรอยจากการแสดงอารมณ์ไปอีก 1-2 ปี) แล้วจึงลองฉีดดูใหม่ว่า เห็นผลหรือไม่? ข่าวร้ายคือ มีคนไข้จำนวนมากที่แม้จะหยุดยาไปนานหลายปีก็ยังคงดื้อยาอยู่ และการดื้อยานี้เกิดขึ้นทั่วร่างกาย ไม่ใช่เฉพาะจุดที่ฉีด เช่น ถ้าดื้อยาจากการฉีดลดน่อง ต่อไปไม่ว่าจะฉีดกราม ริ้วรอย หรือรักแร้ ก็จะดื้อยาเช่นกัน

 

จากการศึกษาของ Allergan พบว่า หากเป็นการฉีดลดริ้วรอยด้วยโบท็อกซ์ โดยการฉีดครั้งละไม่เกิน 100 ยูนิต และฉีดห่างกันแต่ละครั้งมากกว่า 2 เดือน เมื่อติดตามคนไข้เหล่านี้ไปมากกว่า 10 ปี พบว่าแทบไม่เกิดการดื้อยาเลย ต่างจากการฉีดเพื่อการรักษาโรค ซึ่งใช้ปริมาณยูนิตมากกว่า ทำให้เกิดการดื้อยาได้มากกว่าในคนไข้กลุ่มนี้

 

อ้างอิง: 

  • 1. www.botoxmedical.com
  • 2. Migraine: Epidemiology, Burden, and Comorbidity, Burch RC, Buse DC, Lipton RB.Neurol Clin. 2019 Nov;37(4):631-649. doi: 10.1016/j.ncl.2019.06.001. Epub 2019 Aug 27.
  • 3. Causes of Hyperhidrosis (Excessive Sweating), https://www.webmd.com/skin-problems-and-treatments/hyperhidrosis-causes-11, Brunilda Nazario, MD, September 14, 2020
  • 4. the cosmetic use of neuromodulators, the Journal of Dermatologic Surgery and Oncology,https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/?term=treatment+of+glabellar+frown+lines+with+c.+botulinum-A+exotoxin, 1992
  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising