วานนี้ (17 มิถุนายน) เมธา มาสขาว เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) กล่าวว่า การที่ ดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะจัดประชุมอาเซียนหารือประเด็นเมียนมา หรือ Track 1.5 ที่พัทยา ประเทศไทย ในวันที่ 18-19 มิถุนายนนี้ ว่าการที่รัฐบาลริเริ่มกระทำเรื่องดังกล่าวในช่วงที่เป็นรัฐบาลรักษาการเป็นเรื่องไม่เหมาะสม เนื่องจากจะกระทบกับนโยบายต่างประเทศที่ผูกพันกับไทยในอนาคต ซึ่งรัฐบาลในอนาคตอาจมีนโยบายต่างประเทศไม่เหมือนกับ ดอน ปรมัตถ์วินัย ก็ได้ และนักการทูตส่วนใหญ่ก็ไม่เห็นด้วยกับการทำงานที่ไม่ประสบความสำเร็จในการต่างประเทศที่ผ่านมา และทำให้ภาพลักษณ์ทางการทูตไทยตกต่ำในรอบหลายปี ดอน ปรมัตถ์วินัย จึงควรยุติบทบาทใดๆ ในช่วงรักษาการโดยทันที
โดยเฉพาะท่าทีต่อความขัดแย้งในเมียนมาที่ดูเหมือนว่ารัฐบาลไทยมีผลประโยชน์ทับซ้อนในหลายเรื่องที่ผูกพันกับผู้บัญชาการทหารเมียนมา ทำให้มีท่าทีที่พยายามสนับสนุนรัฐบาลทหารเมียนมาของ พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย มาโดยตลอด และแต่งตั้งคนสนิทติดต่อธุระโดยตรงแทนวิถีทางการทูตที่สมควร และการแก้ไขปัญหาเมียนมาเป็นบทบาทที่อาเซียนกำลังดำเนินการแม้จะไม่มีความคืบหน้า เพราะที่ผ่านมาจัดมากี่ครั้งแล้วยังไม่เห็นความก้าวหน้าที่จะช่วยสนับสนุนการลดการใช้ความรุนแรง การแก้ปัญหาโดยสันติวิธีและหยุดสงครามภายใน
การประชุม Track 1.5 ที่รวมรัฐมนตรีอาเซียนและฝ่ายวิชาการของกระทรวง มีกำหนดการประชุมครั้งที่ 3 ที่สปป.ลาว แต่ดอนกลับช่วงชิงสถานการณ์ในช่วงนี้จัดที่ไทยแทน ประเทศไทยสามารถมีบทบาทที่ก้าวหน้าได้ แต่การกระทำของรัฐบาลรักษาการนี้กำลังมีบทบาทที่ถอยหลัง เพราะเชิญชวนรัฐมนตรีทหารเมียนมามาด้วย ซึ่งกลายเป็นเครื่องมือของรัฐบาลทหารเมียนมา แทนที่จะผลักดันให้ชนกลุ่มน้อยและรัฐบาลพลัดถิ่นของเมียนมาร่วมหารือด้วยเพื่อสันติภาพ การกระทำนี้เป็นการส่งสัญญาณการยอมรับรัฐบาลทหารเมียนมาโดยชอบด้วยกฎหมาย ทำให้บรรดาประเทศอาเซียนอื่นปฏิเสธกันทันที เพราะรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศแตกแถวจากสิ่งที่อาเซียนตกลงหลักการกันไว้ และพยายามสร้างการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายในอาเซียนโดยตรง
เป็นที่หน้าละอายที่การต่างประเทศของไทยถูกดูแคลนในยุคนี้ ตามที่มีจดหมายจากรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศอินโดนีเซีย ในฐานะประเทศประธานอาเซียน ที่เหมือนตบหน้า ดอน ปรมัตถ์วินัย โดยตรงว่ากระทำการไม่เหมาะสมในเรื่องนี้ รวมถึงจดหมายจากรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสิงคโปร์ที่ปฏิเสธไม่มา และบอกว่ามึนงงกับความเห็นของดอนที่ยืนยันไม่มีเสียงคัดค้านอย่างชัดเจนต่อข้อเสนอแนะของรัฐสมาชิกอาเซียนในการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 42 เมื่อเดือนที่แล้วว่าถึงเวลาแล้วที่อาเซียนจะต้องกลับมามีส่วนร่วมกับรัฐบาลเมียนมาอย่างเต็มที่ในระดับผู้นำอีกครั้ง เพราะในความเป็นจริง ผู้นำหลายคน รวมทั้งนายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์คัดค้านข้อเสนอแนะให้เข้าร่วมกับสภาบริหารแห่งรัฐเมียนมา (SAC) เนื่องจากขาดความคืบหน้าที่สำคัญและรัฐบาลทหารเมียนมาไม่เคารพหลักการคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ 5 ข้อ
การประชุมใดๆ ก็ตามที่จัดขึ้นภายใต้ร่มของอาเซียน ทั้งที่เป็นทางการหรือไม่เป็นทางการ ควรยืนยันและปฏิบัติตามหลักการความร่วมกันอย่างเคร่งครัด จุดยืนของอาเซียนต่อเมียนมาขึ้นอยู่กับฉันทามติ 5 ประการ ที่รัฐบาลเมียนมาจะยอมรับหรือไม่ และไทยในฐานะประเทศเพื่อนบ้าน ควรให้เกียรติกับประชาชนชาวเมียนมาที่กำลังต่อสู้กับรัฐบาลทหารเมียนมาในวันนี้ด้วย และหากพวกเขาเป็นรัฐบาลในวันหน้า รัฐบาลไทยในวันนี้จะมองหน้าเขาได้อย่างไร นี่คือการดำเนินนโยบายต่างประเทศที่ผิดพลาดอย่างมหันต์เพราะไม่เคารพหลักการพื้นฐานที่สำคัญ โดยเฉพาะหลักการสิทธิมนุษยชนสากล