×

กำลังเมาท์เจ้านายอยู่แต่ดันส่งข้อความผิดกรุ๊ป จะทำอย่างไรดีคะ

08.08.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

3 Mins. Read
  • ประเด็นหลักที่เราควรโฟกัสไม่ใช่การทำอย่างไรให้ไม่ส่งผิดกรุ๊ป แต่เราต้องปรับ Mindset ในการทำงานของเรามากกว่า การบ่นอาจทำให้เรารู้สึกดีขึ้น แต่ไม่ได้ทำให้ปัญหาหมดไป เวลาเจอปัญหา ถ้าเรารู้สึกว่าเราจะแก้ไขมันให้ได้ มันจะไม่เหลือเป็นปัญหาให้เราบ่นครับ
  • ทีนี้ถ้าไม่สบายใจจะบ่นได้ไหม บ่นได้ครับ ระบายได้ การระบายไม่ได้ทำให้ปัญหาหายไป แต่ทำให้เรามีพลังต่อที่จะเผชิญปัญหา เหนื่อยนักก็ไม่ต้องรีบแบกมาก็ได้ วางลงก่อน ระบายก่อน แต่ประเด็นมันคือเราระบายด้วยวิธีไหนมากกว่า ถ้าเราระบายในไลน์กรุ๊ป วันหนึ่งเกิดมีคนแคปหน้าจอไปประจานต่อ เราจะแย่ไปเลย การระบายที่ดีที่สุดน่าจะเป็นการระบายกับคนแบบเจอหน้ากัน ไม่ต้องระบายกับคนเยอะๆ ก็ได้ ขอแค่คนไม่กี่คนที่ยินดีรับฟังเราจริงๆ
  • หัวหน้าที่เขารู้เรื่องในแชต เราก็ต้องปล่อยไป สิ่งที่เขาเห็นคือความคิดในอดีตของเรา หน้าที่ของเราคือทำให้เห็นว่าเราปรับปรุงตัวแล้ว เรามีความคิดใหม่ หัวหน้าก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้ได้เอง หรือถ้าเรื่องไหนที่เราเห็นว่าเป็นปัญหาขององค์กรที่ควรต้องแก้ไข เราลองบอกหัวหน้าสิครับ บางทีหัวหน้าอาจจะไม่รู้ก็ได้ว่ามันมีปัญหานี้อยู่

Q: ในไลน์หนูมีกรุ๊ปแชตระหว่างเพื่อนๆ ที่ทำงานด้วยกันอยู่ ปกติเราก็จะคุยกัน มีอะไรก็ระบายกันในกรุ๊ปไลน์เป็นปกติ ปรากฏว่ากำลังเมาท์เจ้านายอยู่ดีๆ หนูดันส่งข้อความเข้ากรุ๊ปที่มีหัวหน้าอยู่ด้วย เจ้านายก็เลยเรียกหนูคุย ไม่อยากไปทำงานเลยค่ะ รู้สึกตะขิดตะขวงใจเวลาเจอเจ้านาย หนูควรทำอย่างไรดีคะ

 

A: นี่คือปัญหาของการมีกรุ๊ปไลน์เยอะไปหมดและเราไม่ระวังในการสื่อสาร เห็นไหมครับว่าไม่มีความลับในโลก แม้กระทั่งกรุ๊ปลับในไลน์ก็ยังมีแชตหลุดได้ เรื่องดีๆ นี่ไม่ค่อยมีหลุดกันหรอกครับ หลุดแต่เรื่องไม่ดี ฮ่าๆ

 

ให้เรื่องนี้เป็นบทเรียนกับน้องแล้วกันนะครับ อย่างแรก เราต้องยอมรับก่อนว่าเราเป็นคนพิมพ์ข้อความนั้นจริง เรารู้สึกไม่สบายใจจริง ถ้าเราพูดจริงเราก็ไม่ต้องโกรธครับ เพราะมันคือความจริง พี่ว่าเรามาจัดการที่ตัวเราดีกว่าว่าเราจะจัดการชีวิตต่อไปอย่างไร และจะป้องกันไม่ให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดได้อย่างไร

 

พี่คิดว่าประเด็นหลักที่เราควรโฟกัสไม่ใช่การทำอย่างไรให้ไม่ส่งผิดกรุ๊ป อันนั้นเราก็ต้องตั้งชื่อกรุ๊ปที่มันไม่ใกล้เคียงกัน หรืออ่านชื่อกรุ๊ปให้ถูกก่อน แค่นั้นเอง แต่ประเด็นใหญ่กว่าคือการจัดการกับปัญหาในที่ทำงานที่เรารู้สึก การจัดการกับ Mindset ในการทำงานของเรามากกว่า พี่คิดว่าการบ่นอาจทำให้เรารู้สึกดีขึ้น แต่ไม่ได้ทำให้ปัญหาหมดไป เวลาเจอปัญหา ถ้าเรารู้สึกว่าเราจะแก้ไขมันให้ได้ มันจะไม่เหลือเป็นปัญหาให้เราบ่นครับ เราจะคิดหาวิธีจัดการกับปัญหาจนไม่เหลือให้เราต้องบ่น น้องลองกลับไปดูเรื่องที่น้องบ่นๆ ในแชตมา น้องอาจจะพบว่าหลายปัญหามันแก้ไขได้โดยที่เราไม่ต้องเสียพลังงานบ่นเลย หลักการง่ายๆ ในชีวิตครับ เมื่อเจอปัญหา เราต้องหาทางแก้ไข ไม่ใช่บ่น ไม่อย่างนั้นทุกครั้งที่เราเจอปัญหาเราจะต้องพรั่งพรูระบายความคับข้องใจอยู่ตลอด ปัญหามันก็ไม่ได้แก้ หรือถ้าจะถูกแก้ เราก็ดันต้องเสียพลังงาน เสียเวลาไปกับการบ่นเสียเยอะ

 

อะไรที่น้องพบว่าเป็นความคับข้องใจในที่ทำงานนั้น มันอาจเป็นประโยชน์ในการพัฒนาองค์กรได้นะครับ แทนที่จะบ่นในไลน์แล้วไม่เกิดการแก้ปัญหา ลองเอาปัญหานี้ไปบอกหัวหน้าว่าน้องพบเห็นปัญหาอะไร และน้องอยากให้องค์กรพัฒนาไปทางไหน บอกด้วยเจตนาที่ดีของเรานี่แหละครับ พี่คิดว่ามันอาจจะช่วยให้องค์กรเห็นปัญหานี้ และเผลอๆ การที่น้องพูดมันออกมาอาจเป็นการช่วยเพื่อนพนักงานคนอื่นๆ ด้วยก็ได้ เพราะเขาก็อาจจะรู้สึกแบบเดียวกันกับน้อง เห็นไหมครับ เราเปลี่ยนความคับข้องใจในที่ทำงานให้กลายเป็นการพัฒนางานได้ ไม่เหลืออะไรให้เราต้องเสียแรงบ่นแล้ว

 

หรือถ้ามีเพื่อนร่วมงานคนไหนทำตัวไม่น่ารักจนเราต้องเก็บมาเมาท์ต่อ ระบายต่อ พี่คิดว่าเราก็กำลังทำสิ่งที่ไม่น่ารักอยู่เหมือนกัน แน่นอนว่าชีวิตเราต้องเจอคนที่เราไม่ได้อยากจะอยู่ใกล้ด้วยเลย แต่ในเมื่อเราต้องทำงานร่วมกัน พี่คิดว่าแทนที่จะไปเมาท์เขาในกรุ๊ปลับ ลองหาทางจัดการว่าเราจะใช้ชีวิตในที่ทำงานร่วมกับคนคนนี้ได้อย่างไรดีกว่าไหม เป็นไปได้ไหมที่เราจะอยู่ด้วยกันได้โดยไม่ต้องตีกัน หรือเป็นไปได้ไหมว่าเราจะไม่ใส่ใจคนนี้ไปซะ เราเอาพื้นที่ในสมองไปจดจำเรื่องอื่นที่ดีกับตัวเราดีกว่า ไม่ต้องเสียพื้นที่ให้กับคนที่เราไม่ควรต้องใส่ใจพอ ไม่ใส่ใจแล้วเราก็จะไม่แม้แต่จะใช้เวลาที่เรามีไปกับการเมาท์เขา ดีนะ ไม่เสียเวลาเราด้วย เอาไปทำอะไรได้อีกตั้งเยอะ

 

พอเราปรับ Mindset แบบนี้ เราจะจัดการกับชีวิตได้ง่ายขึ้น เราจะเหลือเรื่องที่เข้ามาในสมองเราเฉพาะเรื่องที่สำคัญกับเราจริง ไม่ต้องเสียเวลากับเรื่องหยุมหยิม เราจะไม่มองทุกเรื่องเป็นปัญหา หรือมีอะไรนิดอะไรหน่อยก็ต้องบ่นไว้ก่อน มันจะกลายเป็นว่าเราไม่มีอะไรเหลือให้บ่นแล้ว ซึ่งพี่ว่าเป็นชีวิตที่สบายมากเลยนะ ฮ่าๆ

 

ทีนี้ถ้าไม่สบายใจจะบ่นได้ไหม บ่นได้ครับ ระบายได้ การระบายไม่ได้ทำให้ปัญหาหายไป แต่ทำให้เรามีพลังต่อที่จะเผชิญปัญหา เหนื่อยนักก็ไม่ต้องรีบแบกมาก็ได้ วางลงก่อน ระบายก่อน แต่ประเด็นมันคือเราระบายด้วยวิธีไหนมากกว่า ถ้าเราระบายในไลน์กรุ๊ป วันหนึ่งเกิดมีคนแคปหน้าจอไปประจานต่อ เราจะแย่ไปเลย ซึ่งบางทีเรื่องที่เขาแคปไปนั้นเราอาจจะไม่ได้รู้สึกแล้วก็ได้ แต่คำพูดมันยังอยู่ พี่คิดว่าการระบายที่ดีที่สุดน่าจะเป็นการระบายกับคนแบบเจอหน้ากัน ไม่ต้องระบายกับคนเยอะๆ ก็ได้ ขอแค่คนไม่กี่คนที่ยินดีรับฟังเราจริงๆ ไม่ต้องเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับเราแต่ขอให้เขายินดีให้เราระบายจริงๆ พอระบายเสร็จแล้ว เราจะโล่งขึ้นและเห็นเองว่าจะจัดการกับปัญหานั้นอย่างไร

 

เราคงต้องเลือกคนฟังที่เราไว้ใจได้จริงๆ บางทีเลือกระบายเรื่องงานกับคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานนั้นเลยก็อาจจะสบายใจดีไปอีกแบบ ตัดปัญหาเรื่องโดนเขาเอาไปเมาท์ให้คนที่ทำงานฟังได้ หรือถ้าจะระบายกับคนที่ทำงาน เพราะรู้สึกว่าเขาน่าจะเข้าใจเราได้มากที่สุด ให้เลือกระบายกับคนไม่กี่คน เป็นการคุยกัน พี่ว่ามันใกล้ชิดกันมากกว่าบ่นในไลน์กรุ๊ปอีกนะ เราสบายใจแล้วมีคนแตะไหล่เรา กอดเรา มันรู้สึกดีกว่าได้สติกเกอร์อีก

 

ทีนี้ระบายเสร็จแล้ว น้องต้องให้กำลังใจตัวเองด้วย เมื่อกี้เราระบายเรื่องลบไปแล้ว ลองมองหาเรื่องบวกๆ กลับมาเติมให้ชีวิตเรา จริงๆ แค่เรามองเห็นว่าปัญหาที่เราระบายไปมันมีทางออกและเราเชื่อมั่นว่าเราจะแก้ไขได้นี่ก็บวกแล้ว หรือกลับมามองว่าเราได้บทเรียนอะไรจากเรื่องที่เกิดขึ้น และเราจะไม่เจ็บซ้ำเดิมได้อย่างไร พอเรามี Mindset แบบนี้ การบ่น การระบาย มันจะเป็นประโยชน์กับตัวเราเอง เพราะเราระบายแล้วเราไม่ได้เจอแต่ชีวิตแย่ไปหมด แต่เราระบายแล้วเห็นว่าชีวิตยังมีความหวังอยู่ ปัญหาทุกอย่างมันแก้ได้นี่หว่า เราก็จะมีกำลังใจมากขึ้น

 

เรื่องหัวหน้าที่เขารู้เรื่องในแชตแล้ว พี่คิดว่าเราก็ต้องปล่อยไป สิ่งที่เขาเห็นคือความคิดในอดีตของเรา หน้าที่ของเราคือทำให้เห็นว่าเราปรับปรุงตัวแล้ว เรามีความคิดใหม่ หัวหน้าก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้ได้เอง หรือถ้าเรื่องไหนที่เราเห็นว่าเป็นปัญหาขององค์กรที่ควรต้องแก้ไข เราลองบอกหัวหน้าสิครับ บางทีหัวหน้าอาจจะไม่รู้ก็ได้ว่ามันมีปัญหานี้อยู่ พูดด้วยความปรารถนาดีน่าจะเป็นประโยชน์กับองค์กร เราก็ไม่ต้องเสียเวลาไปกับการบ่นลับหลังอีกด้วย สบายใจ!

 

ถ้าหัวหน้าจะเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส พี่คิดว่านี่เป็นโอกาสที่ทำให้เรารู้ได้เลยว่าลูกน้องมีความไม่สบายใจอะไรกับหัวหน้าอยู่ มันคงเป็นเรื่องที่เขาไม่อยากบอกตรงๆ จนต้องไปบ่นไปเมาท์ในกรุ๊ปลับ หัวหน้าจะใช้โอกาสนี้ในการปรับปรุงตัว เป็นโอกาสในการทำความเข้าใจลูกน้อง อะไรที่ลูกน้องไม่สบายใจหัวหน้าก็ควรต้องพร้อมรับฟัง พี่ว่าการโดนเมาท์มันไม่ได้แย่เสมอไปหรอกนะครับ ปัญหามันคือการที่ไม่สื่อสารกันอย่างตรงไปตรงมา

 

ส่วนคนอื่นๆ ที่อยู่ในกรุ๊ปที่ได้เห็น พี่คิดว่าเราก็ต้องปล่อยไปเช่นกัน เอาว่าพวกเขาเองก็คงได้บทเรียนเหมือนกัน น้องก็ทำตัวปกติ อาจต้องอดทนหน่อยในช่วงแรกๆ แต่ถ้าเราแก้ไขปรับปรุงตัว พี่เชื่อว่าคนก็ต้องเห็นนะ

 

ไม่มีใครไม่เคยทำผิดมาก่อน ให้เหตุการณ์นี้เป็นบทเรียน ยืดอกยอมรับ ผิดพลาดก็แก้ไขปรับปรุงตัว พี่เป็นกำลังใจให้ครับ

 

*ส่งคำถามดราม่าในที่ทำงานที่คุณสงสัยมาได้ที่อีเมล [email protected] หรืออินบ็อกซ์ไปที่ FB: ท้อฟฟี่ แบรดชอว์ 

 

ภาพประกอบ: Nisakorn Rittapai

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising