หากเปรียบรายการ มาสเตอร์เชฟ ประเทศไทย (MasterChef Thailand) เป็นละครไทยสักเรื่อง ในตอนนี้ก็คงดำเนินมาถึงช่วงท้ายเรื่องใกล้จบบริบูรณ์ พระนางใกล้จะครองรักกัน ตัวละครทุกตัวจะตาสว่าง ปมเริ่มคลี่คลาย ส่วนนางร้ายก็จะกลับตัวกลับใจเป็นคนดี (หรือในอีกทางก็ต้องเป็นบ้า) ซึ่งในเอพิโสดลำดับที่ 13 นี้ก็การันตีความสนุกประหนึ่งละครน้ำเน่าที่เรารอชมกันหลังข่าว แต่กลับกันว่ามันเป็นจริงใจ เข้มข้น น่าขนลุก และสารภาพตามตรงว่ากลั้นน้ำตาไม่อยู่จริงๆ เมื่อรายการเอพิโสดนี้สิ้นสุดลง
ในสัปดาห์นี้เหลือผู้เข้าแข่งขันเพียง 7 คนเท่านั้นกับภารกิจกล่องปริศนา (Mystery Box) ที่ครั้งนี้กรรมการต่างตักเตือนอย่างดุดันว่า พวกเขาต้องการ ‘ความคิดสร้างสรรค์’ ที่มากกว่านี้ ให้สมกับการเดินทางมาอย่างยาวนานของผู้เข้าแข่งขันตลอด 3 เดือนที่ผ่านมา โดยโจทย์นั้นเหมือนจะง่ายแต่ก็ไม่ง่ายเสียทีเดียวกับโจทย์ ‘อาหารจากเนื้อหมู’ พร้อมทั้งวัตถุดิบเสริมอย่างฟัวกราส์, ข้าวโพด, แป้งพัฟ, เห็ดแชมปิญอง, พริกฮาบาเนโร (ขึ้นชื่อว่าเป็นพริกที่เผ็ดที่สุดในโลก), ลูกพีช, องุ่นเขียว, เกาดาชีส และสิ่งที่ไม่น่าจะเข้ากันได้กับใครเลยอย่าง ‘หอยดอง’ ซึ่งเป็นโจทย์ที่ค่อนข้างท้าทายด้วยรสชาติที่เค็มเปรี้ยวโดดเด่นกว่าวัตถุดิบอื่น เพราะฉะนั้นผู้เข้าแข่งขันจึงจะต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์อย่างมากในการใช้หอยดองเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเมนู ถ้าทำดีก็ถือว่าเรียกคะแนนได้เยอะมากเชียวล่ะ!
สิ่งที่เราปลาบปลื้มที่สุดในสัปดาห์นี้คงจะเป็นการได้ ‘แสดงฝีมือ’ จริงๆ สักทีของผู้เข้าแข่งขันผู้มาพร้อมกับท่าผมทัดหูอย่าง ‘เดียว’ ที่นำวัตถุดิบทั้งหลายมารังสรรค์ในรูปแบบของเมนูบ้านๆ ทางภาคเหนืออย่าง ‘แอ็บ’ อาหารที่มีวิธีการทำคล้ายๆ กับห่อหมก แต่แทนที่จะนำไปนึ่ง กลับนำไปปิ้งย่าง และเดียวยังใช้เปลือกข้าวโพดแทนที่จะใช้ใบตองอย่างสูตรดั้งเดิม จึงทำให้เขาได้เป็นผู้ชนะในรอบนี้ไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ล้วนๆ
วัตถุดิบ ‘ลิ้นวัว’ (ซ้าย) หางวัวและอัณฑะวัว (ล่าง) คือวัตถุดิบสุดโหดในสัปดาห์นี้
ส่วนโจทย์ในรอบคัดคนออกนั้นก็เป็นโจทย์ที่โคตรยากเช่นเคย กับโจทย์อวัยวะส่วนต่างๆ ของวัว อาทิเช่น ลิ้นวัว หางวัว และอัณฑะวัว ซึ่งล้วนแล้วแต่มีความยากและวิธีการจัดการวัตถุดิบแตกต่างกันไป
แงะวัตถุดิบ: ฟัวกราส์เจ้าปัญหา
อย่างที่เราทราบกันดีว่ากว่าจะได้มาซึ่ง ‘ฟัวกราส์’ รสชาติเยี่ยมสักชิ้น ต้องผ่านกระบวนการเลี้ยงที่บังคับให้สัตว์ปีกอย่างเป็ดหรือห่านรับอาหารผ่านหลอดจ่ายอาหาร ซึ่งเป็นแท่งเหล็กยาวเพื่อให้ตับของพวกมันขยายตัวที่เรียกว่า ‘กาวาจ’ (Gavage) ซึ่งมีหลากหลายประเด็นที่เคยเกิดขึ้นในสังคมโลกถึงกระบวนการดังกล่าวว่าเข้าข่ายทารุณกรรมสัตว์หรือไม่ แต่แท้จริงแล้วคุณอาจจะต้องย้อนกลับไปตั้งแต่ยุค 2500 ปีก่อนคริสตกาล ในช่วงยุคอียิปต์โบราณที่มีแนวคิดของการ ‘ขุนสัตว์’ เพื่อเป็นอาหารเกิดขึ้น โดยในช่วงนั้นมีการขุนนกให้จ้ำม่ำเพื่อเป็นอาหารด้วยการสอดท่ออาหารแล้วยัดอาหารใส่เข้าไปเรื่อยๆ ก่อนที่กระบวนการดังกล่าวจะแพร่หลายไปยังฝั่งชาวโรมัน และสืบทอดต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน เพราะฉะนั้นเราจึงไม่แปลกใจหากจะมีกลุ่มคนจำนวนมากที่ลดละเลิกการกินฟัวกราส์ไปด้วยเหตุของการผลิตที่ทรมานเจ้าสัตว์มากเกินไปนั่นเอง
ภาพวิธีการขุนสัตว์ในสมัยอียิปต์โบราณ (บน) และ ‘ลัท’ ผู้เข้าแข่งขันที่ทำ ‘ฟัวกราส์’ ผิดพลาด
และดูเหมือนว่าวัตถุดิบดังกล่าวจะดูจะเป็นปัญหาที่สุดในโจทย์มาสเตอร์เชฟสัปดาห์นี้ที่ทำให้ผู้เข้าแข่งขันที่โดดเด่นที่สุดคนหนึ่งอย่าง ‘ลัท’ ถึงกับไปไม่ถูก โดยปัญหาของเธอกับการใช้วัตถุดิบนั้นคือเธอไม่ได้นำฟัวกราส์ไปจี่ในกระทะก่อนนำไปปรุงขั้นตอนอื่น ซึ่งการนำไปจี่นั้นช่วยให้ฟัวกราส์สุกและคายน้ำมันออกมา โดยวิธีนั้นง่ายดายมากเพียงแค่ฝานฟัวกราส์เป็นชิ้นขนาดกำลังดี ปรุงด้วยเกลือและพริกไทยดำ ก่อนจะนำไปเซียร์ (Sear) หรือจี่กับกระทะที่ตั้งไฟร้อนด้านละเพียง 30 วินาทีเท่านั้นก็ได้ที่
ความเป็นครูและนางร้ายผู้กลับใจ
สุดท้ายแล้วที่เรากล่าวไปตอนต้นว่าเราเองก็เสียน้ำตาไปให้กับมาสเตอร์เชฟเอพิโสดนี้ เหตุก็เพราะผู้เข้าแข่งขันอย่าง ‘ยูริ’ ที่ขึ้นชื่อเรื่องความน่ารำคาญ ชอบจิกกัด และทำงานร่วมกับคนอื่นไม่ค่อยจะดีนักได้ออกจากการแข่งขันไป (สักที) ใจหนึ่งก็รู้สึกว่าถึงเวลาของเธอแล้วจริงๆ แต่อีกใจกลับรู้สึกเห็นใจเธอมากๆ หลังจากใน 2 เอพิโสดที่ผ่านมาตัวยูริเองก็มีพัฒนาการที่ดี เธอรับฟังผู้อื่น ปรับตัว และแสดงความสามารถในการทำอาหารออกมามากขึ้น มากกว่าจะแสดงแต่ฝีปากอย่างเดียว
และถึงแม้ในใจจะก่นด่าเธอมากแค่ไหนมาตลอด 13 ตอน บ่อยครั้งที่เราอยากจะให้เธอออกจากรายการใจจะขาด แต่สุดท้ายเพียงเธอกะเทาะเปลือกบางๆ ของเธอออกพร้อมน้อมรับความผิดพลาดที่เธอก่อไว้ พร้อมทั้งที่เชฟหม่อมป้อม ผู้เป็นเสมือนไม้เบื่อไม้เมาของเธอเดินเข้าไปปลอบประโลมและให้กำลังใจ เราพบว่านี่คือโมเมนต์ที่ดีที่สุดตั้งแต่ดูรายการนี้มาเลย เราขนลุกน้ำตารื้นไปกับความจริงของมนุษย์ เพราะต่อให้ยูริจะปากร้าย กิริยาแย่แค่ไหน แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่เชฟป้อมพร่ำสอนเธอมาตลอดในฐานะทั้งกรรมการและครูก็ทำให้เธอได้เห็นตัวเองชัดเจนมากขึ้น และเราก็อยากจะเห็นเธอโลดแล่นในวงการอาหารต่อไป ขอให้โชคดี
สัปดาห์หน้าจะมีวัตถุดิบ เมนู สูตรลับ และทิปส์ดีๆ อะไรจาก มาสเตอร์เชฟประเทศไทย บ้าง ต้องติดตาม
ชมย้อนหลัง EP.13 ได้ที่นี่
Photo: MasterChef Thailand
- MasterChef คือรายการแข่งขันทำอาหารลิขสิทธิ์จากสหราชอาณาจักร ออกอากาศครั้งแรกในปี 1990 อายุรายการราว 28 ปี เป็นรายการที่เปิดโอกาสให้คนธรรมดาทั่วไปที่มีใจรักในการทำอาหารได้เข้ามาแข่งขันเพื่อชิงเงินรางวัล และที่สำคัญผู้ชนะจะได้จัดทำ Cookbook หรือตำราทำอาหารเป็นของตัวเองด้วย โดยรายการถูกซื้อลิขสิทธิ์ไปสร้างใน 40 กว่าประเทศทั่วโลก
- เรตติ้งของรายการในสัปดาห์นี้พุ่งทะลุไปถึง 5.2 ซึ่งถือว่าเป็นเรตติ้งที่สูงที่สุดนับตั้งแต่มีการเกิดขึ้นของรายการแข่งขันทำอาหารในบ้านเรา