×

HMPRO – เติบโตอย่างแข็งแกร่งในปี 2566

08.03.2023
  • LOADING...

เกิดอะไรขึ้น:

บมจ.โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ (HMPRO) เผยเป้าหมายธุรกิจปี 2566 โดยมีกลยุทธ์ที่สำคัญ คือ 

 

  1. เพิ่มยอดขายผ่านทางการขยายสาขาใหม่ ช่องทางการขายใหม่ (ร้านค้า ช่องทางออนไลน์ Marketplace และ One Stock Home) และ HomePay (ร่วมมือกับพันธมิตรให้วงเงินสินเชื่อแก่ลูกค้าระดับล่าง) โดยเน้นที่กลุ่มลูกค้าธุรกิจ (Business-to-Business: B2B) 

 

  1. สร้างความแตกต่างให้สินค้าด้วยการออกสินค้า Private Brand รวมทั้งสินค้าและบริการใหม่ๆ (ซ่อม แลกเปลี่ยน และขายต่อ) เพิ่มมากขึ้น

 

  1. ปรับปรุงประสิทธิภาพการรวบรวมสินค้าคงคลังและการจัดการห่วงโซ่อุปทานใน 1Q66TD ยอดขายสาขา (SSS) เติบโตในอัตราเลขตัวเดียวระดับสูง YoY โดยได้รับการสนับสนุนจากโครงการช้อปดีมีคืน (ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 40,000 บาทสำหรับค่าซื้อสินค้าและบริการตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 15 กุมภาพันธ์) นักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น และ Sentiment ตลาดที่ดีขึ้น 

 

เมื่อแยกตามภาค ยอดขายเติบโตอย่างแข็งแกร่งในพื้นที่ที่รายได้เชื่อมโยงกับภาคการท่องเที่ยวและภาคอุตสาหกรรม รวมทั้งฐานเงินเดือนในภาคใต้ ภาคตะวันออก บางเมืองของภาคเหนือ และกรุงเทพฯ แต่ยอดขายอ่อนแอในพื้นที่ที่รายได้เชื่อมโยงกับภาคเกษตร โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือยอดขายชะลอตัวในหนึ่งสัปดาห์หลังจากโครงการช้อปดีมีคืนสิ้นสุดลง แต่กลับมาเป็นปกติในสัปดาห์ต่อมา HMPRO ตั้งเป้า SSS เติบโต 3-5%YoY ในปี 2566

 

นอกจากนี้ HMPRO วางแผนเปิดสาขาใหม่ 10 สาขา (โฮมโปร 2 สาขา และเมกาโฮม 8 สาขา ซึ่งจะทำให้พื้นที่ขายสุทธิเพิ่มขึ้น 12% จากที่มีอยู่เดิม) สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2557 บริษัทตั้งเป้าเปิดเมกาโฮม 3 สาขา (ในรัตนาธิเบศร์ บางพลี และติวานนท์) ใน 1Q66, เมกาโฮม 3 สาขาใน 2Q66 และที่เหลือจะเปิดในเมืองใหญ่ๆ ในต่างจังหวัดใน 2H66

 

ทั้งนี้ ในปี 2566 อัตรากำไรขั้นต้นคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 10-20bpsYoY โดยตั้งเป้ามาร์จิ้นขยายตัว 30bpsYoY ทั้งร้านโฮมโปรและเมกาโฮม อันเป็นผลมาจากอำนาจต่อรองกับซัพพลายเออร์ที่ดีขึ้นและการเพิ่มประสิทธิภาพด้านต้นทุนโลจิสติกส์จากการวางแผนจัดซื้อได้ดีขึ้น การมียอดขายสินค้าที่ให้มาร์จิ้นสูงเพิ่มมากขึ้น (ตั้งเป้าสัดส่วนยอดขายสินค้า Private Brand ต่อยอดขายที่โฮมโปรที่ระดับสูงกว่า 21.5% ในปี 2566 เทียบกับ 20.8% ในปี 2565 และสำหรับเมกาโฮมจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจาก 17% ในปี 2565) แต่สัดส่วนยอดขายจากเมกาโฮมที่ให้มาร์จิ้นต่ำจะเพิ่มขึ้น 

 

อัตราส่วนค่าใช้จ่าย SG&A / ยอดขาย คาดว่าจะไม่เปลี่ยนแปลง YoY เนื่องจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นและประสิทธิภาพด้านต้นทุนจะช่วยชดเชยต้นทุนค่าสาธารณูปโภค ค่าใช้จ่ายในการเตรียมการเปิดสาขาใหม่ และค่าเสื่อมราคาที่สูงขึ้น 

 

ขณะที่รายได้ค่าเช่าคาดว่าจะฟื้นตัวสู่ระดับก่อนเกิดโควิดจากการให้ส่วนลดค่าเช่าลดลงและอัตราการเช่าพื้นที่ที่ดีขึ้น

 

กระทบอย่างไร:

ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้น HMPRO ปรับลดลง 2.74%MoM อยู่ที่ระดับ 14.20 บาท ขณะที่ SET Index ปรับลดลง 3.60%MoM อยู่ที่ระดับ 1,610.25 จุด 

 

แนวโน้มผลประกอบการปี 2566:

InnovestX Research คาดว่ากำไร 1Q66 จะเติบโต YoY จากยอดขายสาขา (SSS) ที่เติบโต รายได้ค่าเช่าที่ฟื้นตัวและมาร์จิ้นที่กว้างขึ้น แต่จะลดลง QoQ จากปัจจัยฤดูกาล 

 

สำหรับปี 2566 คาดว่ากำไรจะปรับตัวดีขึ้น YoY โดยได้รับการสนับสนุนจาก SSS และรายได้ค่าเช่าที่ดีขึ้นเพราะเศรษฐกิจฟื้นตัว และมาร์จิ้นที่ดีขึ้นจากการมียอดขายสินค้า Private Brand ที่ให้มาร์จิ้นสูงมากขึ้น สำหรับกลยุทธ์การลงทุนยังคงเรตติ้ง Outperform สำหรับ HMPRO ด้วยราคาเป้าหมายสิ้นปี 2566 อ้างอิงวิธี DCF ที่ 17 บาทต่อหุ้น

 

ส่วนปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือ การเปลี่ยนแปลงในด้านกำลังซื้อและต้นทุนที่สูงขึ้นจากแรงกดดันเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง


 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising