เกิดอะไรขึ้น:
การประกาศใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ของสหรัฐฯ ส่งผลทำให้ INVX คาดว่า ธปท. จะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายลดลงอีก 3 ครั้ง ซึ่งหมายความว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะปรับลดลง 100 bps มาอยู่ที่ 1.25% (ปรับลงครั้งละ 25 bps ในเดือนกุมภาพันธ์ เมษายน มิถุนายน และตุลาคม) ในปี 2568 เปลี่ยนจากสมมติฐานเดิมที่คาดว่าจะปรับลดลง 50 bps มาอยู่ที่ 1.75% ปัจจุบันใช้สมมติฐานว่าจะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR (อัตราดอกเบี้ยเงินกู้หลัก) และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำลดลงในอัตราเท่ากันที่ 50 bps ในปี 2568
ทั้งนี้หลังจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 25 bps ในเดือนตุลาคม 2567 ธนาคารส่วนใหญ่ได้ปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR ลดลง 12.5 bps (20 bps สำหรับ BBL) อัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ลดลง 5 bps (20 bps สำหรับ BBL) และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำลดลง 10-35 bps (15-30 bps สำหรับ BBL) และหลังจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 25 bps ในเดือนกุมภาพันธ์ ธนาคารส่วนใหญ่ได้ปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR ลดลง 10 bps (7.5 bps สำหรับ BBL) และคงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากไว้เท่าเดิม
InnovestX Research ปรับประมาณการ NIM ของกลุ่มธนาคารลดลง 5 bps โดยปัจจุบันคาดว่า NIM ของกลุ่มธนาคารจะลดลง 19 bps ในปี 2568 และ 11 bps ในปี 2569 โดยคาดว่า NIM ของกลุ่มธนาคารจะลดลงไตรมาสละ 4-8 bps QoQ ในปี 2568 ขณะที่คาดว่า TISCO และ KKP จะแตกต่างจากธนาคารขนาดใหญ่ตรงที่จะมี NIM ที่กว้างขึ้นในปี 2568 และปี 2569 เนื่องจากมีการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้ออัตราดอกเบี้ยคงที่สัดส่วนสูง
นอกจากนี้ INVX ปรับประมาณการอัตราการขยายตัวของ GDP ไทยปี 2568 ลดลงจาก 2.5% มาอยู่ที่ 1.4% ดังนั้น InnovestX Research จึงปรับประมาณการ credit cost ปี 2568 และปี 2569 ของธนาคารส่วนใหญ่ (ยกเว้น TISCO) เพิ่มขึ้นปีละ 5 bps เพื่อสะท้อนความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ที่สูงขึ้นจากสงครามการค้าและเหตุการณ์แผ่นดินไหว แม้ BBL เป็นธนาคารที่มี LLR coverage สูงที่สุดที่ 318% ณ สิ้นปี 2567
แต่คาดว่า BBL จะตั้งสำรอง Management Overlay เพิ่มในปี 2568 เนื่องจากธนาคารมีการปล่อยสินเชื่อในประเทศจีนซึ่งคาดว่าจะได้รับผลกระทบมากที่สุดจากสงครามการค้าสัดส่วนสูงที่สุด (ราว 10% ของสินเชื่อรวม)
ท่ามกลางความไม่แน่นอนจากสงครามการค้า ทำให้มีความกังวลเกี่ยวกับ KBANK มากที่สุด เนื่องจาก KBANK มีสัดส่วนการปล่อยสินเชื่อให้กับกลุ่ม SME สูงสุดและมี LLR Coverage ต่ำที่สุดในบรรดาธนาคารขนาดใหญ่ เหตุการณ์แผ่นดินไหวทำให้ความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ในภาคอสังหาริมทรัพย์เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากจะทำให้ความต้องการคอนโดมิเนียมสูงปรับตัวลดลง KKP มีสัดส่วนการปล่อยสินเชื่อให้กับภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ 6% ณ สิ้นปี 2567 ซึ่งคาดว่าสูงที่สุดในกลุ่มธนาคาร ปัจจุบันคาดว่า Credit Cost ของกลุ่มธนาคารจะลดลง 12 bps อันเป็นผลมาจากการตั้งสำรอง Management Overlay น้อยลง
ทั้งนี้ InnovestX Research ปรับประมาณการการเติบโตของสินเชื่อกลุ่มธนาคารลดลงจาก 1% มาอยู่ที่ 0% สำหรับปี 2568 และจาก 2% มาอยู่ที่ 1% สำหรับปี 2569 เนื่องจากสงครามการค้าจะส่งผลทำให้การลงทุนภาคเอกชนชะลอตัวลง โดยปรับประมาณการการเติบโตของสินเชื่อปี 2568 ลดลงจาก 3% มาอยู่ที่ 1% สำหรับ BBL, จาก 3% มาอยู่ที่ 0% สำหรับ KTB (สอดคล้องกับเป้าของธนาคาร) และจาก 1% มาอยู่ที่ 0% สำหรับ SCB, BAY และ TISCO ในขณะที่คงประมาณการการเติบโตของสินเชื่อปี 2568 ของ KBANK, TTB และ KKP ไว้ที่ 0% โดยปัจจุบันคาดว่าธนาคารส่วนใหญ่จะมีการเติบโตของสินเชื่อปี 2568 ที่ 0% โดยคาดว่า BBL จะเป็นธนาคารเพียงแห่งเดียวที่ขยายสินเชื่อได้เล็กน้อยที่ 1% ในปี 2568
อย่างไรก็ตาม โดยรวมส่งผลให้ปรับประมาณการกำไรของกลุ่มธนาคารลดลง 6% ในปี 2568 และ 9% ในปี 2569 โดยปัจจุบันคาดว่ากำไรของกลุ่มธนาคารจะลดลง 3% ในปี 2568 และเพิ่มขึ้น 1% ในปี 2569
แต่คงประมาณการเงินปันผล โดยคาดว่าธนาคารต่างๆ จะยังจ่ายเงินปันผลเท่าเดิม แม้ว่ากำไรจะลดลง ทั้งนี้เป็นเพราะธนาคารต่างๆ มีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุนที่แข็งแกร่งและมีความต้องการเงินทุนน้อยลงท่ามกลางสินเชื่อที่ชะลอตัว
กระทบอย่างไร:
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้นกลุ่มธนาคาร (SETBANK) ปรับลง 2.50% และราคาหุ้น BBL ปรับลง 4.1% ขณะที่ SET Index ปรับลง 3.8% สู่ 1,128.66 จุด
กลยุทธ์การลงทุนและคำแนะนำ:
แม้ปรับประมาณกำไรลดลง แต่ InnovestX Research ยังคงราคาเป้าหมาย (ซึ่งอิงกับ PBV ที่ได้จาก Gordon Growth Model) ไว้เหมือนเดิม เนื่องจากคาดว่าธนาคารต่างๆ จะยังจ่ายเงินปันผลเท่าเดิม และยังคงเลือก BBL เป็นหุ้นเด่นของกลุ่มธนาคาร เนื่องจากมีเกราะป้องกันความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวสูงที่สุด เพราะมี LLR Coverage สูงที่สุด และ Valuation ถูกที่สุดในกลุ่มธนาคาร
ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตาม คือ ความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ไม่ทั่วถึง, ความเสี่ยงด้าน NIM จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก, ความเสี่ยงด้าน ESG จากการให้บริการแก่ลูกค้าอย่างเป็นธรรม และความเสี่ยงด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์
หุ้นกลุ่มธนาคาร – ปรับลดคาดการณ์กำไรจากสงครามการค้า แต่คงคาดการณ์ DPS