×

Data บอกอะไรเราบ้างเกี่ยวกับเกมตัดสินแชมป์ของแมนฯ ซิตี้และลิเวอร์พูล?

10.04.2022
  • LOADING...
Manchester City vs Liverpool

HIGHLIGHTS

4 Mins. Read
  • นับตั้งแต่ฤดูกาล 2018/19 เป็นต้นมา ในเกมพรีเมียร์ลีกทั้งหมด 144 นัด ลิเวอร์พูลทำแต้มได้ 337 แต้ม ขณะที่แมนฯ ซิตี้ทำได้ 338 แต้ม ซึ่งแม้แต่ เจอร์เกน คล็อปป์ ก็ประหลาดใจในความใกล้กันของสองทีม
  • ระยะห่างที่ใกล้ที่สุดระหว่างทั้งสองทีมนี้เคยห่างกันแค่เพียง 11.7 มิลลิเมตร กับลูกยิงของ ซาดิโอ มาเน ที่ถูก จอห์น สโตนส์ ตามมาสกัดได้บนเส้นประตูก่อนที่บอลจะเข้าไปทั้งใบ และเป็นจุดเปลี่ยนของเกมที่เอติฮัด สเตเดียม ในช่วงต้นปี 2019
  • นีลเซน เกรซโนต ผู้เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์ข้อมูลฟุตบอลจาก Euro Club Index เปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจที่สุดเกี่ยวกับ “โอกาสในการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้”

ในระหว่างการแถลงข่าวก่อนเกมพรีเมียร์ลีกนัดระหว่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้และลิเวอร์พูล หนึ่งในผู้สื่อข่าวในห้องแถลงข่าวได้ร่ายสถิติที่น่าสนใจขึ้นมาเพื่อสอบถามความคิดเห็นของ เจอร์เกน คล็อปป์ นายใหญ่แห่งแอนฟิลด์

 

สถิตินั้นไม่ใช่ Twenty Five-Twenty One แต่เป็น 337 กับ 338

 

337 คือจำนวนแต้มที่ลิเวอร์พูลทำได้จาก 144 เกมในช่วง 4 ฤดูกาลที่ผ่านมา ขณะที่แมนฯ ซิตี้ทำได้ 338 คะแนน ซึ่งหากคำโบราณท่านว่าสถิติไม่เคยโกหกใคร ตัวเลขที่ห่างกันเพียงแค่ 1 แต้มระหว่างทั้งสองสโมสรก็น่าจะแทนคำตอบได้ถึงความใกล้เคียงกันของสองทีมนี้ ซึ่งยกระดับมาตรฐานของทีมชั้นอ๋องของอังกฤษขึ้นไปจุดสุดเพดานทั้งคู่ (และในเวลานี้คะแนนก็ห่างกัน 1 แต้มเช่นกันระหว่าง 73 กับ 72)

 

คล็อปป์เองก็ยอมรับว่าตกใจกับตัวเลขดังกล่าว “ผมประหลาดใจกับตัวเลขมาก” ก่อนจะบอกว่า “พวกเขาคงจะไม่เก็บแต้มได้มากเท่านี้ถ้าไม่มีเราอยู่ตรงนี้ และในทางตรงกันข้ามเราก็คงเหมือนกัน”

 

คำพูดของผู้จัดการทีมชาวเยอรมันนั้นไม่มีอะไรผิด เพราะความเป็น ‘Rivalry’ หรือความเป็นคู่ปรับกันนั้นสามารถเป็นปัจจัยในการกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาเพื่อให้พร้อมสำหรับการขับเคี่ยวแข่งขันที่ร้อนแรง หรือพูดง่ายๆ คู่แข่งจะช่วยทำให้เราเก่งขึ้นโดยไม่รู้ตัว

 

ก่อนที่จะมีการเปรียบเทียบให้เห็นภาพกันง่ายขึ้นว่าแมนฯ ซิตี้กับลิเวอร์พูลยุคนี้ก็เหมือนการขับเคี่ยวกันระหว่าง ‘โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ กับ ราฟาเอล นาดาล’

 

ฟังแล้วก็แอบพยักหน้าตามเบาๆ เพราะเอาเข้าจริงๆ แล้วระยะห่างระหว่างทั้งสองทีมนี้เคยห่างกันแค่เพียง 11.7 มิลลิเมตรด้วยซ้ำ กับลูกยิงของ ซาดิโอ มาเน ที่ถูก จอห์น สโตนส์ ตามมาสกัดได้บนเส้นประตูก่อนที่บอลจะเข้าไปทั้งใบ

 

อย่างไรก็ดี ยังมีข้อมูลสถิติที่น่าสนุกอื่นๆ อีกครับ

 

ยกตัวอย่างเช่น สิ่งที่ทำให้ทั้งสองทีมแตกต่างจากทีมอื่นๆ ในลีกเดียวกันคือสไตล์การเล่นที่เน้นการครองบอล (Possession) ซึ่งฤดูกาลนี้ซิตี้ครองบอลเฉลี่ยถึง 68.47 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ลิเวอร์พูลครองบอล 62.52 เปอร์เซ็นต์

 

ตลอด 4 ฤดูกาลที่ผ่านมาซิตี้ผ่านบอลมากกว่าลิเวอร์พูค่อนข้างมากที่ 91,644 ต่อ 79,683 ครั้ง แต่ฝ่ายหลังเป็นฝ่ายที่ผ่านบอลขึ้นหน้ามากกว่า ซึ่งนั่นหมายความว่าทีมของคล็อปป์นั้นพยายามผ่านบอลเข้าใกล้ประตูของคู่ต่อสู้มากกว่าทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา

 

นับเฉพาะในฤดูกาลนี้พวกเขาผ่านบอลขึ้นหน้าเข้าใกล้คู่แข่งถึง 98 กิโลเมตร มากกว่าซิตี้ที่ทำได้ 91 กิโลเมตร และหากนับรวมค่าเฉลี่ยทั้ง 4 ฤดูกาล ลิเวอร์พูลทำได้มากกว่าถึง 19 กิโลเมตร

 

พูดง่ายๆ คือลิเวอร์พูลเป็นทีมที่จะเน้นการส่งบอลขึ้นหน้าอย่างรวดเร็ว ขณะที่ซิตี้จะเน้นการครองบอลที่แน่นอนโดยพร้อมจะอดทนรอจังหวะเข้าทำ

 

ให้เห็นภาพชัดขึ้นต้องลองดูตัวเลขชุดต่อไปเกี่ยวกับการผ่านบอลในฤดูกาลนี้ โดยแมนฯ ซิตี้จะผ่านบอลสั้น-กลาง-ยาว ที่ 41-44-15 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ลิเวอร์พูลจะผ่านบอลสั้น-กลาง-ยาว ที่ 37-44-19 เปอร์เซ็นต์

 

จากตัวเลขจะเห็นความแตกต่างระหว่างซิตี้ที่เน้นการผ่านบอลสั้น ส่วนลิเวอร์พูลจะเน้นเรื่องของ Direct Football มากขึ้น ซึ่งตรงนี้หากจะใส่แว่นขยายมองให้ชัดลงไปอีกจะพบว่า อลิสัน นายทวารหงส์แดงนั้นเปิดบอลยาวมากถึง 40-50 เปอร์เซ็นต์ของการผ่านบอลยาวทั้งหมด และระยะทางในการเตะเปิดเกมเฉลี่ยที่ 36.6 เมตร

 

ขณะที่เอแดร์สันเปิดบอลระยะแค่ 23 เมตร ซึ่งลดลงจากฤดูกาล 2018/19 ที่เคยทำไว้ 43 เมตรเกือบเท่าตัว แปลว่าในระยะหลังเป๊ปให้น้ำหนักกับการครองบอลมากขึ้น

 

 

สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไปของลิเวอร์พูลส่งผลต่อเกมรุกของพวกเขาที่ทำได้ดีขึ้นถึงเกือบ 30 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบจากฤดูกาลที่แล้ว โดยมีโอกาสลุ้นประตูถึง 557 ครั้ง ส่วนทางด้านแมนฯ ซิตี้ปีนี้เกมรุกอาจจะไม่ดุดันแต่เกมรับแล้วพวกเขาแกร่งเหมือนหินผา โดยฤดูกาลนี้ผ่านมา 30 นัด คู่แข่งมีโอกาสลองส่องแค่ 67 ครั้งเท่านั้น ขณะที่ลิเวอร์พูลถูกทดสอบจากคู่แข่งทั้งหมด 83 ครั้ง ตามมาไม่ห่างมาก

 

เรียกได้ว่าคมทั้งเกมรุก ซึ่ง 4 ปีที่ผ่านมาซิตี้ยิงไปมากถึง 350 ประตู ขณะที่ลิเวอร์พูล 319 ประตู (แมนฯ ยูไนเต็ดตามมาอันดับ 3 ที่ 253 ประตู) และเกมรับก็แข็งโป๊กโดยซิตี้เสียไป 108 ประตู และลิเวอร์พูลเสียไป 117 ประตู

 

ทีนี้มาดูเกมรุกกันอีกนิด ลิเวอร์พูลจะดูดุดันกว่าเพราะทำไป 77 ประตู มากกว่าคู่แข่ง 7 ประตูด้วยกัน แต่ในรายละเอียดแล้วมีสิ่งที่น่าสนใจตรงที่ในฤดูกาลนี้ซิตี้สามารถทำประตูได้จากการครอสบอลถึง 13 ประตู มากกว่าลิเวอร์พูลที่ทำได้แค่ 10 ครั้ง

 

แต่สิ่งที่เป็นทีเด็ดของทีมจากเมอร์ซีย์ไซด์คือลูกตั้งเตะที่ทำได้ถึง 22 ประตู! โดยในจำนวนนี้เป็นลูกเตะมุม 12 ครั้ง และใน 22 ประตูก็มาจากการโหม่งถึง 12 ประตูด้วยกัน

 

ใน 70 ประตูของแมนฯ ซิตี้มาจาก 5 ประสาน (ที่สลับกันลง) ถึง 44 ประตู หรือเกินครึ่ง โดย ราฮีม สเตอร์ลิง, ริยาด มาห์เรซ, เควิน เดอ บรอยน์ สามคนนี้ทำไปคนละ 10 ประตู ขณะที่ ฟิล โฟเดน และ แบร์นาโด ซิลวา ก็ทำไปคนละ 7 ประตู

 

ขณะที่ลิเวอร์พูลดูน่าสนใจไปอีกแบบ เพราะนักเตะของพวกเขาติดท็อปชาร์ตดาวซัลโวถึง 3 อันดับและแทบจะเป็น ‘สามประสานใหม่’ ของทีมแล้วคือ โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ (20 ประตู), ดีโอโก โชตา (14 ประตู) และ ซาดิโอ มาเน (12 ประตู) หรือยิงรวมกันถึง 46 ประตูด้วยกัน

 

ข้อมูลทั้งหมดข้างต้นเป็นส่วนหนึ่งของชุดข้อมูลมหาศาลที่มีการวิเคราะห์กันก่อนเกมที่จะมีความสำคัญต่อการตัดสินแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้


แต่ข้อมูลที่น่าสนใจที่สุด (ที่ขอเก็บไว้ท้ายสุดเหมือนลูกชิ้นกุ้งที่มีลูกเดียวในชามก๋วยเตี๋ยว!) ย่อมหนีไม่พ้นเรื่องของ ‘โอกาสในการคว้าแชมป์’ ของทั้งสองทีม แล้วข้อมูลบอกอะไรเราบ้าง?

 

นีลเซน เกรซโนต ผู้เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์ข้อมูลฟุตบอลจาก Euro Club Index ระบุว่าแมนฯ ซิตี้มีโอกาสคว้าแชมป์มากกว่าที่ 61 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับลิเวอร์พูลที่มีแค่ 39 เปอร์เซ็นต์

 

โดยที่หากซิตี้เอาชนะได้ในเกมคืนนี้พวกเขาจะมีโอกาสคว้าแชมป์สูงถึง 86 เปอร์เซ็นต์

 

แต่ถ้าลิเวอร์พูลบุกมาเอาชนะได้? พวกเขาจะมีโอกาสในการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกที่ 68 เปอร์เซ็นต์ด้วยกัน ส่วนถ้าผลออกมาเสมอซิตี้จะมีโอกาสเป็นแชมป์ที่ 63 เปอร์เซ็นต์

 

สถิติค่อนข้างชี้ชัดว่าทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา มีโอกาสที่จะได้ยิ้มในช่วงปิดฤดูกาลสูงกว่า ซึ่งก็เป็นไปในทำนองเดียวกับสำนัก The Analyst ที่บอกว่าแมนฯ ซิตี้จะมีโอกาสเป็นแชมป์ 65.6 เปอร์เซ็นต์

 

ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ข้อมูลบอกเราถึงสิ่งที่เกิดขึ้นที่ผ่านมากับผลงานของ 2 ทีมที่ได้ชื่อว่าเป็น The Greatest Rivalry ของพรีเมียร์ลีก ในเชิงของการแข่งขันแบบเพียวๆ ไม่มีเรื่องของสงครามประสาทหรือการวิวาทในสนามมาข้องเกี่ยวเหมือนคู่กัดในอดีต

 

แต่สิ่งสำคัญจริงๆ อยู่ที่ 90 นาทีของการแข่งขันในวันนี้ จะเป็นซิตี้หรือลิเวอร์พูล จะเป็นเดอ บรอยน์หรือซาลาห์ จะเป็นเป๊ปหรือคล็อปป์

 

ไว้ลุ้นไปด้วยกันครับ 🙂

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising