×

แมนฯ ซิตี้ vs. อินเตอร์ มิลาน เทรเบิลแชมป์ หรือปาฏิหาริย์อิสตันบูลภาค 2?

10.06.2023
  • LOADING...
แมนฯ ซิตี้ vs อินเตอร์ มิลาน

บรรยากาศในเมืองอิสตันบูลที่ว่าคึกคักอยู่แล้วยิ่งทวีความคึกคักยิ่งขึ้น เมื่อเหล่ากองเชียร์ซิตี้เซนส์จากอังกฤษเดินทางมาเพื่อเตรียมเอาใจช่วยทีมรักของพวกเขา แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่เตรียมลงสนามในเกมนัดสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสร

 

กับนัดชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก หรือยูโรเปียนคัพดั้งเดิม กับโทรฟีแชมป์หูใหญ่ Big Ears ที่พวกเขาไม่เคยมีโอกาสได้สัมผัส

 

อีกทั้งยังมีความหมายที่ซ่อนอยู่ในความสำเร็จนี้ เพราะหากทำได้จะทำให้พวกเขาคว้า 3 แชมป์ใหญ่ในฤดูกาลเดียว ในแบบเดียวกับที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คู่ปรับร่วมเมืองของพวกเขาเคยเป็นทีมแรกและทีมเดียวที่พิชิตทั้งแชมป์ฟุตบอลลีกสูงสุด (พรีเมียร์ลีก) แชมป์ฟุตบอลถ้วยใบใหญ่สุด (เอฟเอคัพ) และแชมป์รายการสโมสรยุโรปใบใหญ่ที่สุด (แชมเปียนส์ลีก) เมื่อปี 1999 

 

ผู้คนขนานนามให้กับการคว้า 3 แชมป์ในฤดูกาลเดียวแบบนี้ว่า ‘เทรเบิลแชมป์’ (Treble Champ) โดยสิ่งที่ไม่ได้เขียนลงไปนั้นแต่รู้กันในใจคือ ถ้าพูดถึง 3 แชมป์ที่แท้จริงต้องเป็นการคว้าแชมป์ใหญ่แบบนี้เท่านั้น

 

แมนฯ ซิตี้จะทำได้หรือไม่? อินเตอร์ มิลานที่ก็เคยคว้า 3 แชมป์ในเวอร์ชันอิตาลีในปี 2010 จะเป็นผู้ให้คำตอบในคืนนี้

 

และความจริงสถานที่จัดเกมนัดชิงชนะเลิศแชมเปียนส์ลีกก็เป็นสนามที่มีเรื่องราว

 

หากเราบิดเข็มนาฬิกาย้อนเวลากลับไปในปี 2005 สนามอตาเติร์ก ซึ่งตั้งชื่อตามอดีตผู้นำที่ยิ่งใหญ่ มุสตาฟา เคมาล อตาเติร์ก ผู้เป็นดั่งบิดาของชาวตุรกี ได้ถูกจารึกชื่อเอาไว้ในประวัติศาสตร์ของวงการฟุตบอลยุโรป

 

นั่นเป็นเพราะเกมนัดชิงชนะเลิศที่ยอดเยี่ยมและเหลือเชื่อที่สุดของเกมฟุตบอลยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้เกิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้ เมื่อลิเวอร์พูล สโมสรดังจากอังกฤษ สร้างปาฏิหาริย์ให้ปรากฏขึ้น เมื่อสามารถพลิกสถานการณ์จากการตามหลังเอซี มิลาน คู่ปรับในวันนั้นที่เหนือกว่าในทุกกระบวนท่าถึง 0-3 ในช่วงครึ่งเวลาแรก กลับมาไล่ตามตีเสมอเป็น 3-3 ได้ในช่วงครึ่งหลัง ก่อนที่จะยืนหยัดต่อกรจนครบ 120 นาทีในช่วงการต่อเวลาพิเศษ ก่อนจะเอาชนะได้ในการดวลจุดโทษอย่างสุดเหลือเชื่อ

 

 

เกมวันนั้นถูกขนานนามว่า ‘เกมปาฏิหาริย์แห่งอิสตันบูล’ (The Miracle of Istanbul) ซึ่งไม่เพียงเฉพาะสิ่งที่เกิดขึ้นในสนามเท่านั้นที่ยังถูกนำกลับมาเล่าใหม่ได้อย่างไม่รู้จบจนถึงทุกวันนี้ (ถึงขั้นมีละครเวทีเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยทีเดียว!) แต่เรื่องราวนอกสนาม โดยเฉพาะการเดินทางของแฟนบอลลิเวอร์พูลที่ดั้นด้นเพื่อไปยังสนามอตาเติร์กที่พวกเขาไม่รู้จัก และการเดินทางก็มิได้ง่ายดายเหมือนในปัจจุบัน ก็ยังเป็นเรื่องที่เล่ากันสนุก

 

น่าเสียดายสำหรับลิเวอร์พูลที่พวกเขาตกรอบไปเสียก่อน (และคำมั่นจาก เจอร์เกน คล็อปป์ ที่กล่าวด้วยความผิดหวังหลังแพ้เรอัล มาดริดในนัดชิงปีที่แล้วว่า “ที่ไหนนะ? อิสตันบูล? จองเลย พวกเราจะกลับมา” ก็ไม่เป็นความจริง) เพียงแต่ภาพสีสันของชาวซิตี้เซนส์ในเมืองหลวงของตุรกีที่ปรากฏบนโซเชียลมีเดียก็ทำให้บรรยากาศดูคึกคักและมีสีสันไม่น้อย

 

“Two down, One to go!” คือสิ่งที่พวกเขาป่าวประกาศด้วยความเชื่อและมั่นใจว่าทีมอันยอดเยี่ยมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา จะสามารถไปสู่จุดสูงสุดของวงการฟุตบอลยุโรปและของโลกได้

 

โดยที่แฟนแมนฯ ซิตี้พันธุ์แท้บางคนก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันว่าทีมจะก้าวมาถึงจุดนี้ได้ โดยเฉพาะหากย้อนกลับไปเมื่อ 25 ปีที่แล้ว เกมสำคัญที่สุดของพวกเขาคือเกมเพลย์ออฟในระดับดิวิชัน 3 (หรือลีกวันในปัจจุบัน) เพื่อลุ้นขึ้นชั้น ซึ่งต้องพบกับจิลลิงแฮม

 

ฮีโร่ของทีมในตอนนั้น? ฌอน โกเตอร์ และ พอล ดิกคอฟ คือความหวังสูงสุดของพวกเขาแล้ว

 

เวลาผ่านมา 25 ปีจากนั้น และ 15 ปีนับจากที่เข้าสู่ยุคใหม่ด้วยทุนจากอาบูดาบี แมนฯ ซิตี้ถูกสร้างมาอย่างดีที่สุดจนกลายเป็นสุดยอดทีมระดับโลก

 

จากยุคของโกเตอร์และดิกคอฟ มาสู่ยุคของ เออร์ลิง เบราต์ ฮาลันด์ และ เควิน เดอ บรอยน์ ที่ยังมี อิลคาย กุนโดกัน, โรดรี, ฟิล โฟเดน, ริยาด มาห์เรซ, แจ็ค กรีลิช ไปจนถึงนักเตะที่ถูกแสงไฟส่องในเวลานี้เพราะเปลี่ยนแปลงได้อย่างน่าสนใจอย่าง จอห์น สโตนส์

 

15 ปีที่ผ่านมาอาบูดาบีกรุ๊ปลงทุนไปมาก ลงแรงไปมาก และใช้เวลามากพอสมควรในการที่จะค่อยๆ ทำให้แมนฯ ซิตี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ทีมฟุตบอลที่เต็มไปด้วยนักฟุตบอลซูเปอร์สตาร์ค่าตัวแพง แต่เป็นทีมที่เต็มไปด้วยนักเตะฝีเท้าดีที่สุดในโลก โดยมีโค้ชที่เก่งที่สุดในโลกคุมทัพ และมีผู้บริหารที่มีวิชันกว้างไกลคอยกำกับนำทาง

 

 

เป้าหมายของพวกเขาให้พูดง่ายๆ คือการ ‘ครองโลกฟุตบอล’ โดยมีแมนฯ ซิตี้ ซึ่งเป็นทีมเก่าแก่ของวงการฟุตบอลอังกฤษเป็นแกนหลักของการสร้างอาณาจักร

 

และเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายนั้น พวกเขาต้องการคว้าโทรฟีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของยุโรป และอาจจะว่ายิ่งใหญ่ที่สุดของโลกฟุตบอลอย่างแชมเปียนส์ลีกให้ได้ ซึ่งจะเป็นความสำเร็จที่ทำให้เหล่าผู้บริหารของสโมสรที่นำโดย ชีค มานซูร์ เจ้าของสโมสร และประธานสโมสร คัลดูน อัล มูบารัค พึงพอใจ

 

ที่ผ่านมา 15 ปี แมนฯ ซิตี้ไม่เคยทำได้สำเร็จแม้แต่ครั้งเดียว โดยครั้งที่ใกล้เคียงที่สุดเกิดขึ้นเมื่อ 3 ปีก่อน แต่ก็พ่ายต่อเชลซีอย่างน่าเจ็บปวด พร้อมกับคำถามหลายอย่าง โดยเฉพาะกับตัวของกวาร์ดิโอลาที่ตัดสินใจปรับเปลี่ยนแผนการเล่นของทีมที่ทำให้ถูกมองว่ามีส่วนในความพ่ายแพ้

 

จากวันนั้นกวาร์ดิโอลาพยายามสร้างแมนฯ ซิตี้ให้เป็นทีมที่ดีและแกร่งยิ่งขึ้น และพยายามไขปัญหาว่าทำไมทีมจึงไม่สามารถพิชิตรายการนี้ได้เสียที ก่อนจะพบว่าปัญหาคือการที่พวกเขาทำได้ดีทุกอย่าง แต่ขาดอย่างเดียวคือความเด็ดขาด โดยเฉพาะคนที่พร้อมจะส่งบอลเข้าไปตุงตาข่ายคู่แข่งให้ได้เมื่อมีโอกาส ซึ่งบางครั้งในเกมระดับสูงโอกาสแค่ครั้งเดียวสามารถตัดสินเกมได้เลย

 

นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้แมนฯ ซิตี้เดินหน้าคว้าฮาลันด์ ศูนย์หน้าที่มีพรสวรรค์พิเศษมาร่วมทีม แม้จะรู้ว่าจะต้องแลกกับการปรับเปลี่ยนอะไรหลายอย่างในทีม เช่น เรื่องของความลื่นไหลในการเล่น การครองบอล การสร้างโอกาส เพราะนักเตะแบบฮาลันด์ไม่ใช่คนที่จะสามารถคาดหวังว่าจะมาเชื่อมเกมกับเพื่อนอย่างสวยงาม

 

สิ่งที่กวาร์ดิโอลาและแมนฯ ซิตี้ต้องการจากเขาคือการจบสกอร์ ซึ่งสตาร์ชาวนอร์เวย์ก็ไม่ทำให้ผิดหวังจริงๆ ด้วยผลงาน 52 ประตูในฤดูกาลแรกที่ยังเป็นแค่จุดเริ่มต้น

 

อย่างไรก็ดี 52 ประตูที่เกิดขึ้นอาจจะเทียบไม่ได้เลยหากฮาลันด์ทำได้แค่ประตูเดียวในนัดชิงที่อตาเติร์ก เพราะนั่นคือสิ่งที่กวาร์ดิโอลาคาดหวังจากเขามากที่สุด 

 

หรือหากจะไม่ใช่ฮาลันด์จริงๆ ก็อาจจะเป็น ‘ร่างทอง’ ของเดอ บรอยน์ ที่เคยมีฝันร้ายในนัดชิงครั้งก่อนเมื่อถูก อันโตนิโอ รูดิเกอร์ ปะทะจนสมองได้รับการกระทบกระเทือนไม่สามารถลงเล่นต่อได้ ต้องโดนเปลี่ยนตัวออกจากสนาม 

 

หรืออาจจะเป็นกุนโดกัน กัปตันทีมที่เชื่อว่าเกมนี้จะเป็นเกมสั่งลาของเขากับแมนฯ ซิตี้ ก่อนจะไปร่วมทัพบาร์เซโลนาต่อ

 

โดยที่หากแมนฯ ซิตี้มีชัย กวาร์ดิโอลาก็จะถือว่าปลดล็อกตัวเองด้วยเช่นกัน กับคำครหาว่าไม่เคยคว้าแชมเปียนส์ลีกได้หากไม่มี ลิโอเนล เมสซี อยู่ในทีม

 

อย่างไรก็ตาม อินเตอร์ มิลาน คู่แข่งก็ไม่ได้เป็นทีมที่สามารถประมาทได้ ต่อให้บนหน้ากระดาษพวกเขาจะเทียบแทบไม่ได้เลยก็ตาม

 

 

ทีม ‘เนรัซซูรี’ อาจจะได้เป็นแค่ทีมอันดับ 3 ในเซเรียอา แต่พวกเขาทำผลงานในช่วงส่งท้ายฤดูกาลได้ดี ชนะถึง 11 จาก 12 นัด รวมถึงการคว้าแชมป์โคปปา อิตาเลีย ด้วยการสยบฟิออเรนตินาได้

 

นักเตะอย่าง โรเมลู ลูกากู, เอดิน เซโก (ฮีโร่ยุคก่อนของแมนฯ ซิตี้), เฮนริค มคิตาร์ยาน อาจจะเทียบกับเหล่าแข้งทองของแมนฯ ซิตี้ไม่ได้ในตอนนี้ ก็อย่าลืมว่าอินเตอร์ มิลานยังมีนักฟุตบอลที่เปลี่ยนแปลงเกมได้แบบไม่คาดคิดอย่าง เลาตาโร มาร์ติเนซ ที่หากจังหวะเป็นใจ บอลจากเท้าของเขาพร้อมเข้าไปตุงตาข่ายตลอดเวลา

 

นอกจากนี้ยังมีนักเตะฝีเท้าดีอีกหลายคน เช่น นิโคโล บาเรลลา, มิลาน สคริเนียร์, สเตฟาน เดอ ไฟรจ์ หรือ ฮาคาน ชัลฮาโนกลู 

 

แน่นอนว่าเราคงจะได้เห็นแมนฯ ซิตี้ครองเกมเหนือกว่าและไล่ต้อนตามสไตล์ โดยที่อินเตอร์ มิลานเล่นอย่างอดทนเพื่อรอคอยโอกาสของพวกเขา

 

แต่เกมนัดเดียวแบบนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ 

 

จะ ‘เทรเบิลแชมป์’ หรือ ‘ปาฏิหาริย์อิสตันบูล ภาค 2’ คืนนี้เราจะได้รู้กัน

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising