×

MAKRO – พัฒนาการเป็นบวก

17.11.2022
  • LOADING...

เกิดอะไรขึ้น:

ใน 4Q65TD ยอดขายสาขา (SSS) ของ MAKRO เติบโตเป็นตัวเลขหลักเดียวระดับกลางถึงสูง YoY และตัวเลขหลักเดียวระดับต่ำ YoY ที่ธุรกิจ B2B และธุรกิจ B2C ในประเทศไทย โดยเกิดจากยอดขายกลุ่ม HoReCa (ธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร และจัดเลี้ยง) ที่เพิ่มขึ้น และการรีแบรนด์ร้าน Lotus’s แล้วเสร็จ 

 

นักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นและเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวจะสนับสนุนให้ยอดขายปลีกและรายได้ค่าเช่าเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง Lotus’s คาดว่ายอดขายปลีกต่อตารางเมตรและรายได้ค่าเช่า (ปัจจุบันอยู่ที่ 90% และ 80% ของระดับก่อนเกิดโควิด โดยอัตราการเช่าพื้นที่ลดลงและให้ส่วนลดค่าเช่าน้อยมาก) จะฟื้นตัวกลับสู่ระดับก่อนเกิดโควิดในปี 2566

 

การขยายสาขาใน 4Q65 สำหรับธุรกิจ B2B MAKRO จะเปิดสาขา 5 สาขาในประเทศไทย (Eco Plus 1 สาขา, Classic 1 สาขา, Food Service 2 สาขา และ Fresh@makro 1 สาขา) และ 3 สาขาในต่างประเทศ (Eco Plus 2 สาขาในอินเดียและกัมพูชา, Food Service 1 สาขาในจีน) สำหรับธุรกิจ B2C บริษัทจะเปิดไฮเปอร์มาร์เก็ตกับตัวมอลล์ 1 สาขา และร้าน Go Fresh 25 สาขาในประเทศไทย

 

ด้านมาร์จิ้นปรับตัวดีขึ้น จาก Synergy ที่ MAKRO ตั้งเป้ารับรู้จำนวน 2.7 พันล้านบาท บริษัทรับรู้ไปแล้ว 1.3 พันล้านบาท ในปี 2565TD (ประหยัด CAPEX ได้เกือบ 1 พันล้านบาท ผ่านการซื้ออุปกรณ์ร่วมกัน และส่วนที่เหลือเกิดจากมาร์จิ้นทีดี่ขึ้นและการประหยัดต้นทุน เช่น การบริหารจัดการสินค้ากลุ่มอาหารสด สินค้า Private Brand และรายได้ค่าเช่าได้ดีขึ้น และการใช้บริการ Back-Office ร่วมกัน) และส่วนที่เหลือจะรับรู้ในปี 2566 

 

ใน 4Q65 บริษัทคาดว่าค่าใช้จ่าย SG&A จะยังอยู่ในระดับสูงสำหรับธุรกิจ B2B จากค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับแพลตฟอร์ม Marketplace ใหม่ และการปรับปรุงร้านเพื่อขายแบบ O2O เพิ่ม และจะทำจุดสูงสุดสำหรับธุรกิจ B2C จากค่าใช้จ่ายในการย้ายระบบ IT และรีแบรนด์ ก่อนที่จะปรับตัวดีขึ้นในปี 2566

 

สำหรับการรีไฟแนนซ์หนี้ ณ สิ้น 3Q65 MAKRO มีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย (1.18 แสนล้านบาท) ต่อทุนที่ 0.3 เท่า โดยมีสัดส่วนหนี้สินสกุลดอลลาร์สหรัฐเทียบกับหนี้สินสกุลเงินบาทอยู่ที่ 54% (1.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ): 46% (5.3 หมื่นล้านบาท) และหนี้สินอัตราดอกเบี้ยคงที่เทียบกับหนี้สินอัตราดอกเบี้ยลอยตัวอยู่ที่ 7%:93% 

 

ในเดือนสิงหาคม คณะกรรมการบริษัทได้มีมติอนุมัติให้บริษัทออกหุ้นกู้หรือตราสารหนี้อื่นๆ มูลค่าไม่เกิน 9.5 หมื่นล้านบาท เพื่อชำระคืนหนี้ระยะยาวจำนวน 1.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และ 2.6 หมื่นล้านบาท ในเดือนตุลาคม บริษัทได้ออกหุ้นกู้สกุลเงินบาทจำนวน 2.3 หมื่นล้านบาท (ต้นทุนทางการเงิน 3.2% ต่อปี) เพื่อรีไฟแนนซ์เงินกู้จำนวน 449 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (1.7 หมื่นล้านบาท) และเงินกู้สกุลบาทจำนวน 6.9 พันล้านบาท (ต้นทุนทางการเงิน 5% ต่อปี) 

 

InnovestX Research ประเมินกำไรจากต้นทุนดอกเบี้ยที่ลดลง (หลังภาษี) ได้ที่ราว 300 ล้านบาทต่อปี แต่บริษัทจะบันทึกค่าใช้จ่ายในการชำระหนี้คืนก่อนกำหนดครั้งเดียวที่ระดับหลักร้อยล้านบาทใน 4Q65 บริษัทวางแผนรีไฟแนนซ์เงินกู้ส่วนที่เหลืออีก 1.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นหนี้สกุลบาทให้แล้วเสร็จภายในปี 2566 และเพิ่มสัดส่วนหนี้สินที่มีอัตราดอกเบี้ยคงที่ โดยคาดว่าต้นทุนทางการเงินหลังรีไฟแนนซ์จะเพิ่มขึ้นไม่ถึง 2% ต่อปี จากระดับ 1H65

 

กระทบอย่างไร:

ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้น MAKRO ปรับเพิ่มขึ้น 5.00%MoM สู่ระดับ 36.75 บาท ดีกว่า SET Index ที่ปรับเพิ่มขึ้น 2.78%MoM สู่ระดับ 1,615.01 จุด 

 

แนวโน้มผลประกอบการปี 2565:

InnovestX Research คาดว่ากำไรปกติ 4Q65 จะอยู่ในระดับทรงตัวหรือเพิ่มขึ้นเล็กน้อย YoY เนื่องจากยอดขายปลีกและรายได้ค่าเช่าที่ดีขึ้น และการผนึกกำลังทางธุรกิจจะช่วยชดเชยค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และเพิ่มขึ้น QoQ จากปัจจัยฤดูกาล 

 

สำหรับกลยุทธ์การลงทุน ให้เรตติ้ง Outperform ด้วยราคาเป้าหมายสิ้นปี 2566 อ้างอิงวิธี DCF ที่ 43 บาทต่อหุ้น และคาดว่ากำไรปกติปี 2566 ของ MAKRO จะเติบโต 28%YoY สู่ 1 หมื่นล้านบาท โดยเกิดจากยอดขายและมาร์จิ้นที่ดีขึ้น และการผนึกกำลังทางธุรกิจมากขึ้น การรีไฟแนนซ์หนี้สกุลดอลลาร์สหรัฐแล้วเสร็จในปี 2566 จะช่วยลดความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่สูงขึ้นและเงินบาทอ่อนค่าในอนาคต และจะเป็นปัจจัยกระตุ้นในระยะถัดไป 

 

ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญคือ การเปลี่ยนแปลงในด้านกำลังซื้อและต้นทุนที่สูงขึ้นจากแรงกดดันเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และการอ่อนค่าของเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ


ข่าวที่เกี่ยวข้อง


 

 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising