×

Krungthai COMPASS คาดดอกเบี้ยกลุ่ม M-Rate ขยับขึ้น 0.4-0.6% หลังสิ้นสุดมาตรการลด FIDF Fee ห่วงกระทบลูกหนี้กลุ่มเปราะบาง

14.12.2022
  • LOADING...

ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS คาดการสิ้นสุดมาตรการลด FIDF Fee จะส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินในระบบธนาคารเพิ่มขึ้นประมาณ 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะถูกส่งผ่านไปยังดอกเบี้ยเงินกู้กลุ่ม M-Rate ที่อาจปรับเพิ่มขึ้นราว 0.4-0.6% ได้ในคราวเดียว เพิ่มความเสี่ยงด้านเครดิตในภาวะที่ยังมีลูกหนี้กลุ่มเปราะบาง และการฟื้นตัวที่ยังไม่ทั่วถึง 

 

ชัยสิทธิ์ อนุชิตวรวงศ์ นักวิเคราะห์ Krungthai COMPASS เปิดเผยว่า ในช่วงการระบาดของโควิด ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ปรับลดอัตรานำส่งเงินสมทบกองทุนฟื้นฟูฯ (FIDF Fee) จากธนาคารพาณิชย์ลงครึ่งหนึ่งเหลือ 0.23% ต่อปีเป็นการชั่วคราว มีส่วนสำคัญที่ช่วยลดต้นทุนทางการเงินของระบบธนาคาร ซึ่งได้ส่งผ่านไปยังลูกหนี้ในวงกว้าง เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้กลุ่ม M-Rate ทุกชนิดของธนาคารขนาดใหญ่ลดลง 0.4% ในคราวเดียว 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง


จากการประเมินของ ธปท. ผู้ที่จะได้ประโยชน์จากการปรับลดอัตราเงินนำส่ง FIDF Fee ครอบคลุมลูกค้าสินเชื่อธุรกิจและสินเชื่อรายย่อยจำนวนรวมกัน 1.38 ล้านราย ซึ่งมียอดหนี้คงค้างรวมกัน 5.57 ล้านล้านบาท โดยรวมแล้วจะช่วยแบ่งเบาภาระดอกเบี้ยของลูกหนี้ที่ถูกกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากวิกฤตโควิดที่ลากยาวมาตั้งแต่ปี 2563

 

อย่างไรก็ดี แม้ว่ามาตรการลดอัตราเงินนำส่ง FIDF จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อภาคธุรกิจและประชาชนในภาวะที่เศรษฐกิจถูกกระทบรุนแรงจากวิกฤตโควิด แต่การลดอัตราเงินนำส่ง FIDF Fee ก็ต้องแลกมาด้วยการล้างหนี้กองทุน FIDF ที่จะช้าลงกว่าที่เคยคาดไว้

 

ชัยสิทธิ์ระบุว่า เมื่อภาพรวมของเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวต่อเนื่องและชัดเจนขึ้น ภายใต้ภาวะแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อที่สูงกว่ากรอบเป้าหมาย ธปท. จึงเริ่มกระบวนการปรับนโยบายสู่ภาวะปกติ หรือ Policy Normalization โดยทยอยถอนมาตรการช่วยเหลือหรือกระตุ้นเศรษฐกิจในวงกว้าง (Broad Based) รวมถึงมาตรการปรับลดอัตราเงินนำส่งจากสถาบันการเงินเข้ากองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) 

 

โดยในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2565 ธปท. ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 3 ของปี และยืนยันที่จะสิ้นสุดการลด FIDF Fee ภายในปี 2565 ซึ่งแปลว่าระบบธนาคารจะต้องนำส่งเงินสมทบเข้ากองทุน FIDF เต็มจำนวนที่อัตรา 0.46% ต่อปี คิดจากฐานเงินฝาก ตั้งแต่เดือนมกราคม 2566 เป็นต้นไป จากในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาธนาคารพาณิชย์นำส่งเงินเข้ากองทุน FIDF ที่อัตรา 0.23% ต่อปี 

 

การปรับนโยบายเข้าสู่ภาวะปกติของ ธปท. เป็นผลสืบเนื่องจากมุมมองเศรษฐกิจไทยในภาพรวมที่ฟื้นตัวชัดเจนขึ้น และอัตราเงินเฟ้อที่สูงกว่ากรอบเป้าหมาย ธปท. ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวต่อเนื่องที่ 3.7% ในปี 2566 และ 3.9% ในปี 2567 จากปี 2565 ที่คาดว่าจะเติบโตที่ 3.2% โดยมีแรงส่งสำคัญจากภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวชัดเจนตามการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ และการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจของภาคธุรกิจ รวมไปถึงการจ้างงานและรายได้ที่ปรับตัวดีขึ้นซึ่งจะช่วยสนับสนุนกำลังซื้อและการบริโภคภาคเอกชน 

 

Krungthai COMPASS ประเมินว่า การปรับอัตราเงินนำส่ง FIDF Fee กลับสู่ระดับปกติที่ 0.46% ของฐานเงินฝากในคราวเดียว จะทำให้ต้นทุนในระบบธนาคารพาณิชย์เพิ่มขึ้นราว 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งการส่งผ่านนโยบายดังกล่าวจะเกิดขึ้นโดยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ และอาจจะทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในกลุ่ม M-Rate ปรับสูงขึ้นได้ถึง 0.4-0.6% ในคราวเดียว

 

ผลที่ตามมาคืออัตราดอกเบี้ยจะเพิ่มสูงขึ้นทั้งจากการปรับ FIDF Fee และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระยะข้างหน้า ภาคธุรกิจและประชาชนจะมีต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น โดยกลุ่มใหญ่จะเป็นกลุ่มลูกหนี้สินเชื่อธุรกิจและรายย่อยที่จ่ายดอกเบี้ยอิงกับอัตราดอกเบี้ย MRR ซึ่งมีสัดส่วนจำนวนรายลูกค้ารวมกันสูงถึง 91%

 

ชัยสิทธิ์กล่าวว่า ทิศทางดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้น แม้จะสอดคล้องกับทิศทางของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงด้านเครดิตแก่ระบบธนาคารในภาวะที่ยังมีลูกหนี้กลุ่มเปราะบาง และการฟื้นตัวที่ยังไม่ทั่วถึง 

 

ทั้งนี้ จากรายงานผลการดำเนินงานของระบบธนาคารพาณิชย์ ณ ไตรมาส 3/65 คุณภาพสินเชื่อในภาพรวมดีขึ้น จากการปรับโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้และการให้ความช่วยเหลือแก่ลูกหนี้อย่างต่อเนื่อง โดยระบบธนาคารพาณิชย์มีสัดส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวม (NPL Ratio หรือ Stage 3) ลดลงต่อเนื่องจาก 3.14% ในไตรมาส 3/64 มาอยู่ที่ 2.77% ในไตรมาส 3/65 แต่มีประเด็นน่ากังวลในส่วนที่เป็นสินเชื่อที่มีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของความเสี่ยงด้านเครดิต (Stage 2) ซึ่งมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 6.26% ในไตรมาส 3/65 จาก 6.09% ในไตรมาสก่อนหน้า

 

ประกอบกับข้อมูลล่าสุดของบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (NCB) ชี้ว่าปัญหาหนี้มีปัญหายังคงเป็นประเด็นที่น่าเป็นห่วงและต้องติดตามต่อเนื่อง โดยพบว่ามีลูกหนี้ที่ผิดนัดชำระหนี้เกิน 90 วันจากผลกระทบของโควิด เพิ่มขึ้นจาก 1.9 ล้านรายในเดือนมกราคม 2565 เป็นประมาณ 3.2 ล้านรายในเดือนกันยายน 2565 โดยในจำนวนนี้เป็นลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์ราว 4.24 แสนราย เพิ่มขึ้นจาก 2.75 แสนรายในเดือนมกราคม 2565 นอกจากนี้ยังพบว่าลูกหนี้ธุรกิจขนาดเล็กที่มีวงเงินไม่เกิน 20 ล้านบาท ประสบปัญหาในการชำระหนี้ 1 เดือนและ 2 เดือนขึ้นไป ยังคงเพิ่มขึ้นแม้โควิดจะคลี่คลายลงแล้ว 

 

โดยรวมแล้ว แม้ว่าเศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นแต่ยังมีความเปราะบาง อีกทั้งภาระทางการเงินของลูกหนี้มีแนวโน้มสูงขึ้นตามการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตามที่กล่าวก่อนหน้า ฉะนั้นธนาคารพาณิชย์โดยรวมจึงยังคงให้ความสำคัญกับการติดตามและดูแลคุณภาพหนี้อย่างต่อเนื่อง พร้อมให้ความช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางในช่วงการเปลี่ยนผ่านและความสนับสนุนการปรับตัวที่จะนำไปสู่การฟื้นตัวได้อย่างยั่งยืน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงด้านเครดิตต่อระบบธนาคารพาณิชย์ 

 

นอกจากนี้ธนาคารพาณิชย์จะยังคงมีการกันสำรองหนี้ด้อยคุณภาพไว้ในระดับสูง เพื่อสร้างความมั่นใจในเสถียรภาพและความสามารถในการรองรับคุณภาพสินเชื่อ แม้มาตรการช่วยเหลือต่างๆ ของ ธปท. จะทยอยสิ้นสุดลงในระยะข้างหน้า

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising