ต้องขอบคุณยอดขายสินค้าฟุ่มเฟือยที่เฟื่องฟูในจีนและค่าเงินยูโรที่แข็งค่าขึ้น ที่ทำให้เครือ Louis Vuitton มีมูลค่าตลาดทะลุ 5 แสนล้านดอลลาร์ หรือราว 17.1 ล้านล้านบาท เป็นแห่งแรกของบริษัทยุโรป
หุ้น LVMH ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของแบรนด์เนมชั้นนำอย่าง Louis Vuitton, Moet & Chandon, Hennessy, Givenchy, Bulgari และ Sephora ที่จดทะเบียนในปารีส เพิ่มขึ้น 0.3% ในวันจันทร์ เป็น 903.70 ยูโร บรรลุมูลค่าตลาด 4.54 แสนล้านยูโร หรือเท่ากับ 5.003 แสนล้านดอลลาร์ เนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยนแตะ 1.1019 ยูโรต่อดอลลาร์
ความสำเร็จดังกล่าวเกิดขึ้นภายในเวลาไม่ถึง 2 สัปดาห์ หลังจากที่ LVMH เข้าสู่ทำเนียบ 10 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งได้มีการเปิดเผยรายงานยอดขายไตรมาสแรกของปี 2023 พบว่า ปรับตัวเพิ่มขึ้น 17% มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ 2 เท่า
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- เจาะชีวิต ‘เบอร์นาร์ด อาร์โนลต์’ ผู้ปกครองอาณาจักรลักชัวรี ‘LVMH’ ที่กลายเป็นบุคคลผู้ร่ำรวยที่สุดของโลกคนใหม่แทนที่ อีลอน มัสก์
- ทำเนียบ 10 อันดับมหาเศรษฐี ‘รวยที่สุด’ ของโลก ประจำปี 2022
- LVMH ภายใต้การนำของ เบอร์นาร์ด อาร์โนลต์ อาจเข้าเทกโอเวอร์ Richemont บริษัทแฟชั่นหรูเบอร์ 4 ของโลก
“LVMH กำลังใช้ประโยชน์จากการเติบโตของอุปสงค์ในยุโรปและอเมริกาที่ยั่งยืน ในขณะที่เก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการใช้จ่ายของจีนที่ฟื้นตัวอย่างรวดเร็วและแข็งแกร่ง” นักวิเคราะห์จาก Bernstein กล่าว
ด้าน ลิเลีย พีย์เทวิน นักวิเคราะห์ของ Goldman Sachs ชี้ว่า หุ้นสินค้าหรูได้รับความสนใจจากนักลงทุน เนื่องจากไม่ได้รับผลกระทบจากความเสี่ยงจากการบริโภคของจีน ตลอดจนอัตรากำไรที่แข็งแกร่งจากอำนาจการกำหนดราคาได้เอง
“สิ่งนี้ทำให้หุ้น Luxury แตกต่างจากหุ้น Tech ซึ่งอัตรากำไรหดตัวมาหลายไตรมาสแล้ว”
ความต้องการสินค้าของ LVMH เช่น กระเป๋า Louis Vuitton, Moet & Chandon Champagne และ Christian Dior นั้นเพิ่มขึ้น แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นและอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้นได้คุกคามให้โลกเข้าสู่ภาวะถดถอย
แอชลีย์ วอลเลซ จาก Bank of America Corp. ให้ความเห็นว่า ราคาหุ้นจะแตะ 1,000 ยูโรในปีหน้า เพราะตอนนี้ LVMH มีราคาหุ้นถูกเกินไปเมื่อพิจารณาจากความน่าดึงดูดใจของสินค้าฟุ่มเฟือย พอร์ตโฟลิโอของแบรนด์ที่แข็งแกร่ง และการดำเนินงานที่ดีที่สุดในระดับเดียวกัน
การเติบโตในทศวรรษที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของชนชั้นกลางที่ร่ำรวยทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่เศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว เช่น จีนและอินเดีย
อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น ความแตกแยกทางภูมิรัฐศาสตร์ และค่าครองชีพที่ลดลงได้ แทบไม่มีผลอะไรต่อการเติบโตของกลุ่มสินค้าหรูหรา แม้ว่าบางบริษัทที่พึ่งพาผู้บริโภคในตลาดระดับกลางมากกว่า เช่น Coach และ Ralph Lauren จะเริ่มได้รับแรงกดดัน
แม้ว่าอุตสาหกรรมสินค้าหรูโดยรวมจะดำเนินไปได้ด้วยดี แต่การเติบโตของ LVMH ก็แซงหน้าคู่แข่งได้ ปัจจุบันมีมูลค่าเกือบ 2 เท่าในแง่ของมูลค่าตลาดของกลุ่มความงาม L’Oréal ซึ่งเป็นบริษัทเครื่องสำอางที่ใหญ่ที่สุดในโลก และกลุ่มบริษัทที่จดทะเบียนในฝรั่งเศสรายใหญ่อันดับถัดไป
นอกจากนี้ LVMH ยังมีขนาดใหญ่กว่า Hermès ถึง 2 เท่าอีกด้วย
Louis Vuitton แบรนด์เรือธงของ LVMH ก้าวไปอีกขั้นระดับโลกด้วยการเป็นแบรนด์หรูแบรนด์แรกของโลกที่มีรายได้ต่อปีมากกว่า 2 หมื่นล้านยูโรในเดือนมกราคม Dior ยังเพิ่มยอดขายเป็น 4 เท่าในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ตามการประมาณการของ HSBC เมื่อเร็วๆ นี้
บริษัทที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 และ 3 ในเกณฑ์มาตรฐานดัชนี European Stoxx 600 มีมูลค่าต่ำกว่า LVMH อย่างมาก
Nestlé บริษัทอาหารรายใหญ่ที่สุดของโลก และ Novo Nordisk ผู้ผลิตยาสัญชาติเดนมาร์ก มีมูลค่าตลาด 3.26 แสนล้านยูโร และ 2.72 แสนล้านยูโร ตามลำดับ
ทั้งนี้ ตลอดทั้งปี 2022 LVMH มีรายรับอยู่ที่ 7.92 หมื่นล้านยูโร และมีกำไรจากการดำเนินงาน 2.11 หมื่นล้านยูโร ซึ่งคิดเป็นกำไรที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 โดยบริษัทจากกรุงปารีสแห่งนี้คาดว่า รายได้ของบริษัทมีโอกาสขยับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในปีนี้ จากการที่แทบทุกประเทศทั่วโลกกลับมาเปิดพรมแดนทำการค้าขายได้ตามปกติอีกครั้ง โดยเฉพาะประเทศจีน
LVMH อธิบายว่า การเปิดพรมแดนดังกล่าวทำให้มีการเดินทางของนักช้อปกระเป๋าหนักเกิดขึ้นอีกครั้ง โดยความหวังของการฟื้นตัวของการใช้จ่ายของผู้บริโภคชาวจีนได้เพิ่มราคาหุ้นของกลุ่มสินค้าหรูหราอื่นๆ รวมถึง Richemont, Kering และ Burberry เช่นกัน
ขณะเดียวกันเหตุการณ์สำคัญนี้หมายความว่า สัดส่วนการถือหุ้นของผู้ก่อตั้ง เบอร์นาร์ด อาร์โนลต์ และครอบครัวของเขา มีมูลค่าถึง 2.12 แสนล้านดอลลาร์ มหาเศรษฐีชาวฝรั่งเศสวัย 74 ปีคนนี้จึงเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก นำหน้า อีลอน มัสก์ ผู้บริหารของ Tesla
อาร์โนลต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ LVMH เข้าสู่ธุรกิจหรูหราในปี 1984 โดยเข้าซื้อกิจการ Boussac Saint-Freres ซึ่งตลอด 3 ทศวรรษต่อมา และผ่านการเข้าซื้อกิจการนับสิบครั้ง เขาสร้าง LVMH ให้กลายเป็นบริษัทหรูหราที่ขายทุกอย่างตั้งแต่สุรา เครื่องหนัง ไปจนถึงเครื่องประดับ ผ่านร้านค้ากว่า 5,600 แห่งทั่วโลก ที่สำคัญเขาเข้าใจอย่างรวดเร็วว่าจีนจะกลายเป็นตลาดสำคัญ โดยเปิดร้าน Louis Vuitton แห่งแรกในปักกิ่งในปี 1992
ทั้งนี้ ไม่มีวี่แววว่าอาร์โนลต์ตั้งใจจะลงจากตำแหน่งในเร็วๆ นี้ เพราะเมื่อปีที่แล้ว LVMH ได้ยกเลิกการจำกัดอายุของประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ซึ่งทำให้เขาสามารถดำรงตำแหน่งผู้นำได้จนถึงอายุ 80 ปี
จุดนี้เองทำให้คนภายนอกติดตามอย่างใกล้ชิดว่า ลูกคนใดจาก 1 ใน 5 ที่จะขึ้นมารับตำแหน่งแทนเขา
ภาพ: Vincent Isore / IP3 / Getty Images
อ้างอิง: