กระแสย้ายฐานการลงทุนทั่วโลกเคลื่อนมายังภูมิภาคเอเชีย โดยสิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ต่างผลักดันมาตรการวีซ่าระยะยาวเพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมายที่มีศักยภาพ เผยไทยไม่เป็นรองเพื่อนบ้าน ข้อมูลระบุ 1 ปี ‘LTR Visa’ หรือวีซ่าพำนักระยะยาว ดึงดูดชาวต่างชาติกลุ่มใหม่มาไทยแตะ 5,000 ราย โดยมีชาวยุโรป อเมริกัน และจีน ยื่นขอสูงสุดตามลำดับ ชี้ผู้เกษียณอายุที่มีบำนาญเป็นกลุ่มใหญ่ยื่นเข้ามามากที่สุดถึงร้อยละ 30
นฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้ออกวีซ่าประเภทใหม่ ได้แก่ วีซ่าพำนักระยะยาว หรือ Long-Term Resident Visa (LTR Visa) ที่บีโอไอเป็นผู้รับผิดชอบหลักในการให้บริการ ซึ่งนอกจากจะช่วยดึงดูดชาวต่างชาติกลุ่มใหม่ที่มีศักยภาพสูง ยังสนับสนุนให้เกิดการตั้งฐานธุรกิจและลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยไปสู่เศรษฐกิจใหม่
ซึ่งปัจจุบันประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ต่างผลักดันมาตรการวีซ่าระยะยาวเพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมายที่มีศักยภาพ เช่น ชาวต่างชาติที่มีทักษะสูง ผู้เกษียณอายุชาวต่างชาติ นักท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
สำหรับ LTR Visa ของไทย มีเป้าหมายเพื่อดึงดูดผู้พำนักชาวต่างชาติกลุ่มใหม่ที่มีศักยภาพสูง ทั้งด้านทักษะและความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีสมัยใหม่ ผู้ที่มีความมั่งคั่ง รวมไปถึงกลุ่มคนที่ต้องการทำงานจากที่ใดก็ได้ในโลก
เนื่องจากไทยเป็นจุดหมายสำคัญของนักเดินทางท่องเที่ยวและผู้ที่เดินทางเพื่อการทำงานจากทั่วโลก การให้ LTR Visa จะช่วยดึงดูดผู้ที่มีทักษะและความเชี่ยวชาญพิเศษ เกิดการลงทุนและตั้งฐานธุรกิจใหม่ๆ ที่จะช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยไปสู่ประเทศที่ใช้ฐานเทคโนโลยีและนวัตกรรมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
ยุโรปและสหรัฐอเมริกายื่นขอ LTR Visa มากสุด
นฤตม์ระบุว่า หลังเปิดตัว LTR Visa อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2022 โดยในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา (1 กันยายน 2022 – 31 สิงหาคม 2023) มีผู้ยื่นขอ LTR Visa รวม 4,842 ราย โดยชาวต่างชาติ 3 อันดับแรก ได้แก่ ยุโรป 2,179 ราย อเมริกัน 810 ราย และจีน 507 ราย
แบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม ดังนี้
- ผู้เกษียณอายุที่มีบำนาญหรือรายได้อื่นๆ ไม่น้อยกว่า 80,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี จำนวน 1,451 ราย คิดเป็นร้อยละ 30
- ผู้ที่ต้องการทำงานจากประเทศไทย จำนวน 1,228 ราย คิดเป็นร้อยละ 25.4
- ผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ จำนวน 757 ราย คิดเป็นร้อยละ 15.6
- ผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจดี มีรายได้อย่างน้อย 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี จำนวน 304 ราย คิดเป็นร้อยละ 6.3
- คู่สมรสและผู้ติดตาม จำนวน 1,102 ราย คิดเป็นร้อยละ 22.8
ส่ององค์กรชั้นนำระดับโลกตั้งสำนักงานในไทย
ทั้งนี้ ตลอด 1 ปีของการดำเนินงานพบว่า ผู้ยื่นขอใช้สิทธิ์ตามมาตรการ LTR Visa ในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญและผู้บริหารระดับสูงส่วนใหญ่มาจากองค์กรชั้นนำระดับโลกที่มีการตั้งสำนักงานในประเทศไทย เช่น บริษัท ซีเกท เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท ไอเอชไอ พาวเวอร์ ซิสเต็ม (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท โรเบิร์ต บ๊อช ออโตโมทีฟ เทคโนโลยีส์ (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท มูราตะ อิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), บริษัท ดูคาติ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท นิวลี่ เว็ดส์ ฟู้ดส์ (ประเทศไทย) จำกัด รวมถึงบริษัทไทยที่ต้องการบุคลากรทักษะสูงจากต่างประเทศ เช่น บริษัท เอสซีบี เดต้า เอกซ์ จำกัด (SCB DataX) เป็นต้น ซึ่งบีโอไอประเมินว่าบุคลากรที่ยื่นขอ LTR Visa จะมีการใช้จ่ายราว 1 ล้านบาทต่อคนต่อปี ปัจจุบันมีผู้ยื่นขอวีซ่ากว่า 4,000 ราย คาดว่าจะก่อให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 4 พันล้านบาท
“LTR Visa เป็นหนึ่งในมาตรการสำคัญที่สามารถดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะกลุ่มพำนักระยะยาว การอำนวยความสะดวกให้กับชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงเข้ามาทำงานในประเทศไทยจะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายและการลงทุนภายในประเทศได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ๆ ที่จะก่อให้เกิดการถ่ายทอดองค์ความรู้ ยกระดับการพัฒนาศักยภาพแรงงานในประเทศไทย ดีต่อการลงทุนในไทย เพื่อพัฒนากำลังคนรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยไปสู่เศรษฐกิจใหม่ที่เติบโตยั่งยืน” นฤตม์กล่าว
ไทยติดอันดับ 6 ประเทศจุดหมายปลายทางของชาวต่างชาติมาทำงานมากที่สุดในโลก
นอกจากนี้ จากรายงาน Expat Insider 2023 ที่จัดทำโดยเว็บไซต์ InterNations ซึ่งมีเครือข่าย Expat เป็นสมาชิกกว่า 5 ล้านคนทั่วโลก จัดให้ไทยอยู่ในอันดับ 6 ของประเทศที่เป็นจุดหมายปลายทางที่น่าอยู่และเหมาะให้ชาวต่างชาติมาทำงานมากที่สุดในโลก จากทั้งหมด 53 ประเทศ ขยับจากปี 2022 ที่อยู่อันดับ 8 และปี 2021 อยู่ในอันดับ 12
รายงานฉบับดังกล่าวระบุด้วยว่า ประเทศไทยมีระดับความสุขของการทำงานของ Expat ถึง 86% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ 72% ดัชนีดังกล่าวสะท้อนถึงความสำเร็จในการดำเนินนโยบายดึงดูดผู้พำนักชาวต่างชาติของไทย