อ้อมกอดระหว่าง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กับเจอร์เกน คลอปป์ บอกเรื่องราวทุกอย่างในการเดินทางของลิเวอร์พูลให้เราเข้าใจได้ทันที
ระหว่างกัปตันทีมผู้ที่ต่อสู้เพื่อพิสูจน์ตัวเองมาครั้งแล้วครั้งเล่า กับผู้จัดการทีมคนที่เจ็บปวดและผิดหวังกับการเป็นผู้แพ้ในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วยมาแล้วถึง 6 ครั้งติดต่อกัน
กอดของเฮนเดอร์สันนั้นแน่น เป็นการกอดด้วยความรู้สึกขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผู้จัดการทีมทำ ไม่ใช่แค่เพียงเพื่อเขา แต่เพื่อเพื่อนร่วมทีมทุกคน เพื่อสตาฟฟ์โค้ชที่ทุ่มเททำงานอย่างหนัก เพื่อผู้บริหารที่เชื่อมั่นในตัวเขาเสมอ และเพื่อแฟนบอลที่ไม่เคยหยุดเปล่งเสียงเชียร์
กอดนั้นได้รับการกอดกลับ ก่อนที่คลอปป์จะใช้มือขวาสัมผัสศีรษะของเฮนเดอร์สันด้วยความเอ็นดู และขอบคุณกัปตันทีมผู้เป็นตัวอย่างของการไม่ยอมแพ้
ท่ามกลางภาพน่าประทับใจมากมายที่เกิดขึ้น ส่วนตัวของผมแล้ว นี่เป็นภาพที่เต็มไปด้วยความรู้สึกและสะท้อนเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี
ลิเวอร์พูล ทีมเดียวกับที่เคยเจ็บปวดแสนสาหัสจากความพ่ายแพ้ในนัดชิงชนะเลิศเมื่อปีกลายต่อเรอัล มาดริด ที่กรุงเคียฟ วันนี้พวกเขาลบฝันร้ายที่เกิดขึ้นได้สำเร็จด้วยการสยบท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ได้อย่างสมบูรณ์
90 นาทีที่เอสตาดิโอ เมโตรโปลิตาโน ไม่ใช่เกมนัดชิงชนะเลิศที่สนุก ตื่นเต้น เต็มไปด้วยความดราม่าอะไรเลยครับ ในทางตรงกันข้าม มันเป็นเกมที่น่าเบื่อ ชวนง่วงนอน ไม่ได้เป็นการดวลเดือดอย่างที่เคยคาดหวังเอาไว้แม้แต่น้อย
แต่ในความน่าเบื่อนั้น เราจะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกบางอย่างจากนักเตะของลิเวอร์พูล
พวกเขาตั้งใจแล้วว่าวันนี้จะไม่ก่อความผิดพลาดอีก และจะไม่มีวันยอมกลับออกจากสนามแห่งนี้ด้วยความรู้สึกแบบเดิมกับที่เคยรู้สึกเมื่อ 1 ปีที่แล้ว
เช่นเดียวกับความรู้สึกที่แพ้ในเกมนัดชิงชนะเลิศ 2 รายการซ้อน ทั้งลีกคัพและยูฟ่ายูโรปาลีกเมื่อ 3 ปีก่อน
ความรู้สึกนี้สะท้อนผ่านแววตาของผู้เล่นทุกคนในสนาม สะท้อนผ่านการเล่นที่เต็มไปด้วยความรัดกุม สะท้อนผ่านการตรึงกำลังตั้งรับคู่แข่งอย่างแข็งขัน
และแน่นอนว่าสะท้อนผ่านการป้องกันประตูทุกครั้งของ อลิสสัน เบคเกอร์ นายทวารชาวบราซิล ผู้ที่เป็นความแตกต่างที่ชัดเจนมากที่สุดระหว่างนัดชิงชนะเลิศปีนี้กับปีที่แล้ว
1 ปีที่แล้ว ลอริส คาริอุส เป็นผู้โชคร้ายและน่าเห็นใจอย่างยิ่งจากการโดนศอกของ เซร์คิโอ รามอส จนมีอาการกระทบกระเทือนทางสมองที่ผู้คนอาจจะไม่เชื่อว่าเกิดขึ้นจริง แต่มันเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นที่คลอปป์ยืนยันด้วยตัวเอง อาการดังกล่าวไม่ว่าจะมีผลมากหรือน้อยแค่ไหนก็ทำให้เขาปาบอลไปถูกขาของ คาริม เบนเซมา เข้าประตู และไม่สามารถปัดป้องลูกยิงของ แกเร็ธ เบล เอาไว้ได้
ในปีนี้อลิสสันแสดงออกให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเขาจะไม่ยอมให้นักเตะสเปอร์สคนไหนยิงผ่านมือของเขาได้ ไม่ว่าจะเป็น แฮร์รี เคน, คริสเตียน อีริกเซน, ซนฮึงมิน หรือลูคัส มูรา ฮีโร่ของชาวเดอะเลนที่กลับต้องเป็นตัวสำรองอย่างน่าเห็นใจ
นอกจากบทเรียนแสนเจ็บปวดที่พวกเขาทบทวนเป็นอย่างดีแล้ว ประสบการณ์ในเกมนัดชิงชนะเลิศเมื่อปีที่แล้วเองก็มีส่วนช่วยลิเวอร์พูลเอาไว้มากครับ และมันเป็นอีกหนึ่งความแตกต่างที่ชัดเจน
แค่นาทีแรก หรือเอาเข้าจริงคือ 23 วินาทีแรก สเปอร์สก็พลาดเสียจุดโทษเสียแล้ว เมื่อ มุสซา ซิสโซโก กองกลางที่ก่อนเกมมีการมองว่าจะเป็นหนึ่งในคีย์แมนที่สำคัญในฐานะคนที่จะคอยทำลายเกมของลิเวอร์พูลกลับเสียสมาธิ ชี้นิ้วสั่งการแนวรับโดยไม่จำเป็น สุดท้ายถูก ซาดิโอ มาเน เปิดบอลยัดที่ตัวก่อนที่บอลจะไหลไปโดนแขน
มันคือการเริ่มต้นนัดชิงชนะเลิศแชมเปียนส์ลีกครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสเปอร์สได้อย่างเลวร้ายที่สุด
โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ อีกหนึ่งคนที่น่าสงสารที่สุดจากนัดชิงชนะเลิศเมื่อปีกลายได้โอกาสลบฝันร้าย และเขาทำได้สำเร็จ
แต่หลังจากนั้นสเปอร์สก็ไม่ได้แสดงให้เห็นว่าพวกเขาจะสามารถพลิกสถานการณ์กลับมาเป็นผู้ชนะได้ หลายครั้งที่การต่อบอลง่ายๆ กลับผิดพลาดราวกับไม่เคยลงซ้อมหรือลงเล่นด้วยกันมาก่อน ทั้งๆ ที่ในยามปกติแล้วทีมของ เมาริซิโอ โปเชตติโน เป็นหนึ่งในทีมที่เล่นฟุตบอลได้แม่นยำและลื่นไหลที่สุด
และแม้จะพยายามตั้งสติเพื่อตั้งเกมให้ได้ แต่แทบไม่มีช่วงเวลาที่เราจะจดจำได้ชัดเจนว่าสเปอร์สสามารถสร้างความกดดันให้กับลิเวอร์พูลได้มากพอที่จะทำให้พวกเขากลับมาสู่เกมได้
ทั้งๆ ที่มันเป็นวันที่คู่แข่งของพวกเขาเล่นได้แย่ต่ำกว่ามาตรฐานที่ควรเป็นมาก
สำหรับสเปอร์ส มันจึงเป็นความพ่ายแพ้ที่พวกเขาพอยอมรับได้ สิ่งที่ดีคือความพ่ายแพ้ในวันนี้จะเป็นบทเรียนที่ทำให้พวกเขาแข็งแกร่งขึ้น และสามารถใช้เป็นแรงบันดาลใจเพื่อที่จะกลับมาท้าชิงตำแหน่งเจ้ายุโรปใหม่อีกครั้งในอนาคต
โดยเป็นไปได้สูงที่พวกเขาจะยังมีผู้จัดการทีมที่ชื่อโปเชตติโนอยู่ต่อไป เพราะจากถ้อยคำที่กล่าวหลังจบเกมแล้ว กุนซือชาวอาร์เจนไตน์ยังค้างคาและรู้สึกว่างานของเขาที่สเปอร์สยังไม่เสร็จ
มันยังมีสิ่งที่สเปอร์สสามารถพัฒนาขึ้นได้อีก และพวกเขาก็ได้เห็นตัวอย่างที่ดีแบบใกล้ชิดที่สุดมาแล้วจากลิเวอร์พูล
นักเตะอย่าง แฮร์รี เคน, ซนฮึงมิน, เดเล อัลลี, คริสเตียน อีริกเซน, ลูคัส มูรา หากยังสามารถรักษาเอาไว้ได้ พวกเขายังมีศักยภาพและโอกาสจะเติบโตขึ้นอีก
สิ่งสำคัญอยู่ที่อย่าถอดใจก่อนเท่านั้น
การที่ลิเวอร์พูล ทีมที่เคยอยู่ในสภาพที่ยับเยินเมื่อ 5 ปีที่แล้วถึงขั้นแพ้สโต๊ก ซิตี้ 1-6 ทั้งๆ ที่เป็นเกมนัดสุดท้ายที่ สตีเวน เจอร์ราร์ด ยอดกัปตันทีมจะลงสนามรับใช้สโมสร สามารถก้าวแซงพวกเขา ทีมที่เคยได้แอบลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกถึง 2 สมัยได้ในวันนี้ เป็นเพราะนอกจากจะรู้จักเรียนรู้จากความผิดพลาดในอดีตแล้ว พวกเขายังไม่คิดจะถอดใจด้วย
คำว่า Never give up ซึ่งกลายเป็นคำขวัญใหม่ในหมู่เดอะค็อป พวกเขาไม่ได้พูดโดยไม่เข้าใจความหมายครับ
ไม่ว่ากี่ครั้งที่ล้มลง ไม่ว่ากี่ครั้งที่เจ็บปวด ไม่ว่ากี่ครั้งที่อะไรก็ไม่เป็นดังที่หวัง
ลิเวอร์พูลทุกผู้ทุกนามไม่เคยยอมแพ้ และมันกลายเป็นต้นทุนสำคัญที่สุดสำหรับพวกเขา เป็นแหล่งพลังงานที่ไม่มีวันหมด
วันนี้แพ้ พรุ่งนี้เอาใหม่ วันนี้เจ็บ พรุ่งนี้ลองใหม่ วันนี้เจียนตาย ไม่เป็นไร พรุ่งนี้ลุยกันใหม่
อย่างที่บอกไว้ข้างต้นครับว่าเราจะมองเห็นสิ่งเหล่านี้ได้จากนักเตะลิเวอร์พูลทุกคน – ในความหมายถึงทุกคนจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวจริงในสนาม ตัวสำรองข้างสนาม หรือแม้แต่ผู้เล่นที่ไม่ได้ลงสนามก็ตาม
แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน แบ็กซ้ายไอรอนแมน จากคนที่เคยทวีตตัดพ้อโชคชะตา #Needajob เมื่อ 7 ปีก่อน และเคยตกอยู่ในความสับสนเมื่อโดนจับดอง บางนัดถึงขั้นไม่มีชื่อในทีม วันนี้เขาก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในแบ็กซ้ายที่ดีที่สุดของโลกได้เพราะหัวใจของเขา
เช่นกันกับ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ไอ้หนุ่มสเกาเซอร์ วัย 20 ปี ที่ก้าวมาเป็นหนึ่งในนักเตะกำลังสำคัญของทีม
จินี ไวจ์นาลดุม ที่เคยมีข่าวจะย้ายทีมเมื่อช่วงปิดฤดูกาลที่ผ่านมากลับมาเป็นคีย์แมนที่สำคัญในแดนกลาง เช่นกันกับ เจมส์ มิลเนอร์ จากนักเตะที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มองว่าเป็นไม้ใกล้ฝั่งหมดอนาคต วันนี้เขามาพิชิตแชมป์รายการที่ทีมเก่าอยากได้มากที่สุดในแอนฟิลด์
โม ซาลาห์ จากฝันดีในขวบปีมหัศจรรย์เมื่อปีกลาย ปีนี้สตาร์อียิปต์ต่อสู้กับความคาดหวังและความกดดันมาตลอด แม้จะทำได้ไม่ดีเท่าเก่า แต่ก็ไม่เคยยอมแพ้
ดิว็อก โอริกี จากนักเตะที่ถูกลืมและไม่เหลืออนาคต เขาเรียกทุกอย่างกลับมาได้ด้วยความตั้งใจ ทั้งตั้งใจซ้อมและตั้งใจเล่นในสนาม จนกลายเป็น Lucky Charm นำโชคให้ทีมทุกนัดสำคัญในฤดูกาลนี้
กัปตันทีม จอร์แดน เฮนเดอร์สัน หนึ่งในนักเตะที่ถูกวิจารณ์หนักที่สุด ทั้งๆ ที่รับผิดชอบในหน้าที่ได้ดีที่สุดไม่ว่าจะรับบทบาทไหนก็ตาม ไม่เคยตัดพ้อ ไม่เคยท้อถอย วันนี้เขาได้ชูถ้วย Big Ears ใบเดียวกับที่ สตีเวน เจอร์ราร์ด ยอดกัปตันในตำนานคนก่อนหน้าเคยชูเมื่อ 14 ปีที่แล้ว
รวมถึงคลอปป์ คนที่แพ้ในเกมนัดชิงชนะเลิศ 6 ครั้งติด ถึงจะเจ็บปวดเสียใจแค่ไหน ทุกครั้งคลอปป์จะบอกกับตัวเองว่า “ชีวิตก็เป็นแบบนี้ พรุ่งนี้เริ่มกันใหม่”
จากนั้นเขาจะบอกกับลูกทีมทุกคนในแบบเดียวกัน ทำให้ทุกคนเชื่อในแบบเดียวกัน
ลิเวอร์พูล ณ เข็มนาฬิกาเดินไปจึงเป็นทีมที่เต็มไปด้วยเรื่องราวของนักสู้ผู้ไม่ยอมแพ้ต่ออะไรง่ายๆ
และเรื่องราวนี้ผมเชื่อว่ามันดีพอที่จะเป็นแรงบันดาลใจไม่ว่าจะกับใครบนโลกใบนี้
ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม
จงอย่ายอมแพ้!
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
- การคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกครั้งนี้เป็นสมัยที่ 6 ของลิเวอร์พูลต่อจากปี 1977, 1978, 1981, 1984 และ 2005
- อีกหนึ่งเรื่องราวน่าประทับใจที่เกิดขึ้นหลังจากลิเวอร์พูลได้แชมป์คือบทสัมภาษณ์ของ ไบรอัน เฮนเดอร์สัน พ่อของจอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่เล่าความลับให้ฟังว่าตอนที่ ‘เฮนโด’ อายุ 10 ขวบ เขาเคยพาไปดูนัดชิงชนะเลิศแชมเปียนส์ลีกที่โอลด์แทรฟฟอร์ด ในเกมระหว่างยูเวนตุส และเอซี มิลาน วันนั้นตอนที่เพลงประจำการแข่งขันดังขึ้น เจ้าหนูเฮนโดบอกกับพ่อว่า “พ่อ วันหนึ่งผมจะเล่นในเกมนัดชิงชนะเลิศแชมเปียนส์ลีก” และทำให้ไม่น่าแปลกใจที่พ่อลูกคู่นี้ร้องไห้กอดกันกลมที่ข้างสนาม
- เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค ไม่เคยถูกผู้เล่นคนใดในโลกพาบอลผ่านเขาไปได้ใน 64 นัดหลังสุดที่ลงสนาม รวมถึงซนฮึงมินที่พยายามกระชากบอลเข้าไปยิงในเขตโทษในนาทีที่ 74 ของเกมนี้
- เดฟ อีแวนส์ แฟนลิเวอร์พูลชาวอังกฤษที่ป่วยหนักเป็นมะเร็งท่อน้ำดีในระยะสุดท้าย และแพทย์บอกว่าเหลือเวลาแค่ 2 สัปดาห์ เขาสามารถสู้กับโรคร้ายจนสามารถอยู่ได้เกิน 3 สัปดาห์ และได้นั่งชมเกมนัดชิงชนะเลิศด้วย โดย ลิซ ภรรยาของเขาบันทึกวิดีโอในช่วงที่ ดิว็อก โอริกี ทำประตูที่ 2 ในเกม เดฟร้องเฮและชูมือขึ้นด้วยความดีใจ
- ในช่วงที่คลอปป์เข้ารับตำแหน่งในทีมลิเวอร์พูล เขาบอกว่าขอเวลา 4 ปี ทีมน่าจะมีสักแชมป์ การได้แชมเปียนส์ลีกในเวลานี้เป็นช่วงที่ครบ 4 ฤดูกาล (หรือ 3 ฤดูกาลค่อนๆ) ที่เขาเคยให้คำมั่นไว้พอดี