×

Walking Benefits เดินแล้วได้อะไร?

24.12.2024
  • LOADING...
Walking Benefits

เทรนด์สุขภาพกำลังมาแรง ผู้คนมองหาวิธีที่ทำให้สุขภาพของตัวเองดีขึ้น สำหรับคนที่อยากเริ่มทำได้เลย การเดินคือคำตอบที่ลงตัวที่สุด ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หัดออกกำลังกาย คนทำงานที่มีเวลาจำกัด หรือผู้ที่ต้องการปรับไลฟ์สไตล์ให้เฮลตี้ขึ้น การเดินคือจุดเริ่มต้นที่เวิร์กสุดๆ

 

จากผลการวิจัยต่างๆ ล้วนพบว่าการเดินไม่เพียงแต่เป็นการออกกำลังกายที่ปลอดภัยและทำได้ทุกเพศทุกวัย แต่ยังเป็นกิจกรรมที่สร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับร่างกายตั้งแต่วินาทีแรกที่ก้าวเท้า ไม่ว่าจะเป็นการกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิต การเผาผลาญพลังงาน การลดความเครียด ไปจนถึงการสร้างสมดุลให้ฮอร์โมนในร่างกาย

 

ที่สำคัญการเดินยังเป็นกิจกรรมที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์คนเมืองอย่างแท้จริง คุณสามารถผสมผสานเข้ากับกิจวัตรประจำวันได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นการเดินระหว่างรอรถไฟฟ้า การเดินในห้างสรรพสินค้า หรือการเดินในสวนสาธารณะหลังเลิกงาน ทุกก้าวล้วนมีคุณค่าและสร้างผลลัพธ์ที่ดีให้กับสุขภาพของคุณ

 

มาดูกันว่าการเดินในแต่ละช่วงเวลาสร้างความเปลี่ยนแปลงอะไรให้กับร่างกายของเราบ้าง และทำไมการเดินจึงได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในวิธีการออกกำลังกายที่ทรงประสิทธิภาพที่สุดในปัจจุบัน

 

นาทีที่ 1 เลือดเริ่มสูบฉีดดีขึ้นทันที ร่างกายตื่นตัว

 

เมื่อคุณเริ่มก้าวเดินในนาทีแรก กล้ามเนื้อทั่วร่างกายจะเริ่มทำงานทันที โดยเฉพาะกล้ามเนื้อขา สะโพก และแกนกลางลำตัว การเคลื่อนไหวนี้ทำให้หัวใจเต้นแรงขึ้นเล็กน้อย ส่งผลให้เลือดถูกสูบฉีดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ดีขึ้น หลอดเลือดจะขยายตัว ทำให้ออกซิเจนและสารอาหารถูกลำเลียงไปยังเซลล์ต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในสมองและกล้ามเนื้อที่กำลังทำงาน

 

นาทีที่ 5 อารมณ์ดีขึ้นจนรู้สึกได้

 

เมื่อเดินต่อเนื่องถึง 5 นาที สมองเริ่มหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุขตามธรรมชาติ ร่วมกับการเพิ่มขึ้นของสารเซโรโทนิน ส่งผลให้อารมณ์ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ความตึงเครียดในกล้ามเนื้อเริ่มผ่อนคลาย การหายใจที่สม่ำเสมอขณะเดินยังช่วยให้จิตใจสงบและมีสมาธิมากขึ้น นอกจากนี้ การได้เปลี่ยนบรรยากาศ โดยเฉพาะการเดินในที่โล่ง ยังช่วยให้รู้สึกสดชื่นและมีพลังงานเพิ่มขึ้น

 

นาทีที่ 10 ระดับคอร์ติซอล ฮอร์โมนแห่งความเครียดลดลง

 

ที่ 10 นาที ระดับคอร์ติซอลหรือฮอร์โมนความเครียดในร่างกายเริ่มลดลงอย่างมีนัยสำคัญ การเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทพาราซิมพาเทติก ซึ่งช่วยให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะผ่อนคลาย ความดันโลหิตเริ่มปรับสู่ระดับที่เหมาะสม การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น และยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคที่เกี่ยวข้องกับความเครียด เช่น โรคหัวใจ และความดันโลหิตสูง

 

นาทีที่ 15 น้ำตาลในเลือดเริ่มลดลง

 

การเดินต่อเนื่องถึง 15 นาที ร่างกายเริ่มใช้น้ำตาลในเลือดเป็นพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ กล้ามเนื้อที่ทำงานจะดึงกลูโคสจากกระแสเลือดไปใช้มากขึ้น ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มความไวต่ออินซูลิน ทำให้เซลล์สามารถนำน้ำตาลไปใช้ได้ดีขึ้น เป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้ที่เป็นเบาหวานหรือผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน

 

นาทีที่ 30 ร่างกายเริ่มเข้าสู่โหมดเผาผลาญไขมัน

 

ที่ 30 นาที ร่างกายเริ่มเข้าสู่ช่วงการเผาผลาญไขมันอย่างจริงจัง เมื่อแหล่งพลังงานจากคาร์โบไฮเดรตถูกใช้ไปในระดับหนึ่ง ร่างกายจะเริ่มดึงไขมันสะสมมาใช้เป็นพลังงาน กระบวนการนี้ไม่เพียงช่วยในการควบคุมน้ำหนัก แต่ยังช่วยปรับสมดุลของเมตาบอลิซึมในร่างกาย เพิ่มการเผาผลาญพลังงานแม้ในยามพัก และช่วยลดไขมันในช่องท้อง ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจและเบาหวาน

 

นาทีที่ 45 สมองเข้าสู่ภาวะมีสมาธิ

 

เมื่อเดินต่อเนื่องถึง 45 นาที สมองเข้าสู่สภาวะที่เรียกว่า Walking Meditation โดยธรรมชาติ จังหวะการเดินที่สม่ำเสมอช่วยให้จิตใจจดจ่อกับปัจจุบันขณะ ลดความคิดฟุ้งซ่าน วิตกกังวล และความเครียดสะสม การหลั่งสารสื่อประสาทที่เกี่ยวข้องกับการผ่อนคลายเพิ่มขึ้น ทำให้มีสมาธิดีขึ้น มองเห็นทางออกของปัญหาชัดเจนขึ้น และช่วยในการตัดสินใจได้ดีขึ้น

 

นาทีที่ 60 สมองหลั่งโดพามีน ทำให้รู้สึกความสุข

 

ครบ 1 ชั่วโมงของการเดิน เป็นจุดที่ร่างกายหลั่งโดพามีนในปริมาณที่สูงขึ้นอย่างชัดเจน โดพามีนเป็นสารสื่อประสาทที่เกี่ยวข้องกับระบบรางวัลในสมอง ทำให้รู้สึกมีความสุข กระตือรือร้น และมีแรงจูงใจ นอกจากนี้ยังช่วยปรับปรุงการทำงานของระบบประสาท เพิ่มความจำ และความสามารถในการเรียนรู้ การเดินต่อเนื่องถึง 1 ชั่วโมงยังช่วยสร้างความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อและกระดูก เพิ่มความทนทานของร่างกาย และช่วยให้การทรงตัวดีขึ้น

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X