×

RAVIPA บทพิสูจน์แห่งการเสียสละความสนุกวัยเรียนของ สา-ธนิสา วีระศักดิ์ศรี

22.03.2025
  • LOADING...
Ravipa

‘RAVIPA’ เพียงแว่บแรกที่ได้ยินชื่อคุณอาจจะคิดว่านี่คือแบรนด์จิวเวลรีสายมู แต่ที่จริงแล้ว RAVIPA คือผลงานศิลปะในรูปแบบเครื่องประดับที่ถูกออกแบบบนแพสชันของผู้หญิงที่ชื่อ สา-ธนิสา วีระศักดิ์ศรี  

 

 

จากแหวนคู่ Infinity วงแรกอันเป็นสัญลักษณ์ของความรักชั่วนิรันดร์ สู่การขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องจนเป็นที่รู้จักและได้การยอมรับในระดับสากล 

 

ทุกโมเมนต์การเดินทางของเธอกับ RAVIPA ยังคงขับเคลื่อนด้วยความใจฟูในทุกสิ่งที่ทำเสมอ 

 

ทว่าโมเมนต์ที่ทำให้ผู้หญิงคนนี้ใจฟูเกินบรรยายคือนาทีที่ Disney บริษัทยักษ์ใหญ่ที่ไม่ใช่เพียงผู้รังสรรค์โลกในจินตนาการ แต่เป็นความฝัน ความผูกพัน ความทรงจำอันสวยงามตลอดช่วงชีวิตของใครหลายคน รวมถึงตัวสา ติดต่อเข้ามาชวนเธอร่วมออกแบบเครื่องประดับเพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปีของแบรนด์ 

 

 

ปัจจุบัน RAVIPA มีสาขามากกว่า 40 แห่งในประเทศไทยและต่างประเทศ รวมถึงเกาหลี ญี่ปุ่น และฮ่องกงที่กำลังจะเปิดใหม่ ไม่ว่า RAVIPA จะออกเดินทางไปไกลแค่ไหน เราเชื่อว่าความหลงใหลและแรงปรารถนาในการรังสรรค์แบรนด์ที่มีความหมายตั้งแต่ Day 1 ของสาก็ยังไม่เคยจืดจาง 

 

ตลอดระยะเวลากว่าทศวรรษที่ผ่านมา เธอคนนี้ต้องเสียสละอะไรไปบ้าง และอะไรที่ทำให้ RAVIPA ยังคงเดินหน้าอย่างแข็งแกร่งจวบจนนาทีนี้ ร่วมค้นคำตอบไปด้วยกันกับ Passion Calling x Sa-Thanisa Veerasaksri

 

ตอนนี้ทำอะไรอยู่บ้าง

 

ตอนนี้นอกจาก RAVIPA ที่เป็นแบรนด์เครื่องประดับแล้ว เพิ่งออกแบรนด์น้องหมามา ชื่อ Hug & Paws ด้วยค่ะ เป็นแบรนด์เครื่องรางน้องหมาด้วย คือสามีชิบะอยู่ที่บ้าน ก็เลยรู้สึกว่านอกจากทำให้คนมาเยอะแล้ว อยากทำให้น้องที่น่ารักมากๆ ที่บ้านเราด้วยอีกคนหนึ่งค่ะ 

 

 

 
 
 
 
 
View this post on Instagram
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

A post shared by Thanisa Veerasaksri (@sathanisa)

 

 

เป็นเครื่องรางน้องหมา

 

ใช่แล้ว ก็คือน้องหมาจะได้โชคดีไปด้วย เพราะเราอยู่กับเขาตลอดไม่ได้ ก็เลยรู้สึกว่าต้องมีเครื่องรางไว้กับตัวเขาด้วย ให้คุ้มครอง ป้องกัน ไม่ให้หายไปไหน เราจะได้อุ่นใจว่าเขาสุขภาพแข็งแรงค่ะ แล้วก็ยังมีอีกแบรนด์หนึ่ง เพราะว่าปีนี้เป็นปีที่สากำลังจะแต่งงานแล้ว ดังนั้นก็เลยทำ RAVIPA Bridal ขึ้นมาค่ะ จริงๆ เคยทำมาก่อนหน้าอยู่แล้ว เป็น Custom-made Wedding Rings ค่ะ แล้วก็ตอนนี้คือแพสชันตัวเองหนักมาก เพราะว่ากำลังเข้าช่วงแต่งงาน ก็เลยรู้สึกว่าเราน่าจะทำแหวนแบบคู่ให้กับคู่รักขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งค่ะ

 

 

 
 
 
 
 
View this post on Instagram
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

A post shared by RAVIPA Bridal (@ravipabridal)

 

 

พูดถึงแหวน ‘Infinity’ โปรดักต์แรกของคุณสา มีที่มาที่ไปอย่างไร

 

วันนี้ใส่มาด้วย เป็นแหวนวงแรกเลย ถ้าไม่มีวงนี้ คงไม่มี RAVIPA วันนี้เลยค่ะ เป็นแหวนคู่ที่เรียกว่า Meaningful มากๆ เพราะเป็น Infinity เป็นสัญลักษณ์ของการไม่มีที่สิ้นสุดค่ะ ตอนนั้นจำได้เลย สารู้สึกว่าเราเป็นแฟนกัน ทำไมต้องรอถึงแต่งงานนะ เราอยากจับจอง อยากมี Promise Ring กับคนที่เรารักค่ะ ก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นของการทำแหวนคู่ แล้วก็เป็นจุดเริ่มต้นของการทำ RAVIPA ด้วย

 

 

กี่ปีแล้วคะ ตั้งแต่ตอนนั้น

 

โห ตอนนั้นตั้งแต่เรียนปี 3 น่าจะ 10 ปีนิดๆ แล้วค่ะ

 

ตอนนั้นอะไรทำให้คุณสาอยากทำแบรนด์ของตัวเอง 

 

จุดเริ่มต้นของการทำแบรนด์ RAVIPA จริงๆ ก็คือ เด็กที่มีแพสชันคนหนึ่งที่รู้สึกว่าอยากทำอะไรที่เป็นธุรกิจบ้าง เราก็ยังหาตัวเองไม่เจอ แต่โชคดีว่าพี่ไปเรียน Jewelry Making ที่อเมริกา แล้วก็ไปเรียนดีไซน์ แล้วเขาก็ไปชนะรางวัลมากมาย แล้วเราก็แบบ ทำแบรนด์ตัวเองไหม ทำไมถึงไปออกแบบให้คนอื่น เรากำลังมีแพสชันอยู่ เราก็เลยบอกว่า มาเลย เดี๋ยวดูแลพาร์ตธุรกิจให้ทั้งหมด แล้วเธอออกแบบอย่างเดียว 

 

ไอเดีย Infinity ก็คือไอเดียสาเลย สาก็บอก ออกแบบแหวน Infinity ที่สวยที่สุดมา แล้วเดี๋ยวเราจะมาขายกัน 

 

แหวน Infinity ที่สวยที่สุดในมุมมองคุณสาเป็นอย่างไร  

 

ด้วยโจทย์ที่เราเคลียร์มาก การออกแบบทุกอย่างเราไม่ได้มีแบบเวอร์ชัน 1 เวอร์ชัน 2 เวอร์ชัน 3 นะคะ อันนี้เป็นเวอร์ชันแรกเวอร์ชันเดียวเลย จริงๆ สำหรับแหวน Infinity นี้ สารู้สึกว่ามันต้องเป็นอะไรที่ใส่ใน Everyday ได้ เชื่อไหมว่ามัน 10 กว่าปีแล้ว แต่ว่าใส่แล้วยังรู้สึกเหมือนครั้งแรกที่ใส่เลย  

 

ดีไซเนอร์ก็ Mission Complete นะคะ ออกแบบอะไรได้ Timeless ขนาดนี้ แล้วก็รู้สึกว่าเป็นอะไรที่ต้องไม่ตะโกน เพราะตอนนั้นเราก็แค่เด็กอายุ 20 มันต้องเป็นอะไรที่ไม่ตะโกน เพชรต้องไม่กระแทกตา ดีไซน์ต้องยังรุ่นใหม่อยู่ แล้วอีกอย่างสาเป็นคนที่ใส่จิวเวลรีทุกวัน ดังนั้นจะสังเกตได้เลยว่าดีไซน์ RAVIPA จะมีความโค้งมนตลอด เพราะสารู้สึกว่าเราไม่อยากให้เกี่ยว ไม่อยากให้เหมือนใส่เสื้อผ้าแล้วขูดขีดโดน อยากให้เป็น Everyday จริงๆ ค่ะ

 

จำโมเมนต์ตอนทำแหวนได้ไหม 

 

จำได้ ภาพนั้นมันชัดเจนมากๆ เลย ตอนนั้นอยู่ K Village แล้วก็เป็นโต๊ะที่เขากางให้ เราก็เอาผ้าคลุมไปคลุมปุ๊บ ใส่ชุดนิสิตไปขายของอย่างนี้ค่ะ ตอนนั้นโลโก้แรก RAVIPA เป็นสีดำด้วยนะคะ ไม่ใช่ CI ปัจจุบัน ดำขลับเงิน คิดง่ายๆ เบสิกแค่นั้นเลยค่ะ แล้วก็วางขาย ตอนนั้นเราเริ่มต้นด้วยเงินทุนหมื่นหนึ่ง มันน้อยมาก เพราะว่าสาไม่มีต้นทุนในการผลิต สาก็เลยเปิดพรีออร์เดอร์ทั้งหมดเลย มันก็มีแค่ดิสเพลย์ คนก็ไปลองใส่แล้วเขาชอบมาก ด้วยความที่เรากับพี่เป็นคนออกแบบกันมาเลยคุยกับลูกค้านานมากค่ะ คุยเยอะมากว่าทำไมถึงชอบคะ “โอ๊ย ดีไซน์สวยมาก ไม่เคยเห็น Infinity แบบนี้เลย” มันเป็นพลัง จริงๆ ไม่มีใครบอกเราว่า Market Research มันสำคัญ แต่เราทำโดยไม่รู้ตัว แล้วเราทำเป็นนิสัยเลย  

 

นอกจากต่างหูที่สาเล่าให้ฟัง สร้อยคอก็เป็นโปรดักต์ถัดไป อันนี้ต้องให้เครดิตลูกค้าค่ะ ฟังลูกค้าว่าเขาอยากได้อะไรแล้วเราก็ทำตาม แล้วโมเมนต์ที่ลูกค้าอยากได้ของเรามากๆ ตอนนั้นคนรุมร้านช่วงวาเลนไทน์ ต้องวัดไซส์แหวน มันก็ใช้เวลาระดับหนึ่ง เราก็บอกลูกค้าว่ารอนิดหนึ่งนะคะ คือสาชอบมาก มัน Good Busy คือคนรุมร้านแล้วเราไม่ทัน เหนื่อยมาก ข้าวไม่ต้องกินก็ได้ แต่มันอิ่ม อิ่มใจมาก มัน Fulfilled สุดๆ 

 

ตอนขายของแล้วลูกค้าบอกว่า “น้องๆ เอาเบอร์พี่ไป ร้านโล่งแล้วโทรมานะ” สาแบบ โห ขอบคุณมาก ดีใจมาก มันเป็นอะไรที่แบบ เขาต้องชอบขนาดไหน เขาถึงจะกลับมา เราตอนนั้นพูดถึงว่าขายดีด้วยโปรดักต์เลย ไม่มีคำว่าแบรนด์ มันเลยเป็นกำลังใจให้เราทำคอลเล็กชันต่อๆ ไปออกมา

 

Ravipa

 

คุณพ่อคุณแม่คิดอย่างไร เพราะตอนนั้นเราก็ยังเป็นนักศึกษา 

 

ถามว่าตอน Day 1 เขาซัพพอร์ตไหม เราแอบทำนิดหนึ่งค่ะ เขาบอกว่าสาเรียนบัญชี จุฬาฯ ซึ่งมันก็ยากมากๆ แล้วคะแนนก็ตัดเคิร์ฟด้วย หมายความว่าถ้าเราไม่เรียนนี่ไปแน่ C, E, D มาแน่ เขาก็ไม่อยากให้เราไปกดดันตัวเอง เพราะว่าเขาก็เห็นภาพเราคืออ่านหนังสือตอนกลางคืน อยู่จุฬาฯ ดึกดื่น ไม่กลับบ้าน นั่งอ่านโต้รุ่ง เขาก็รู้สึกว่าแค่นั้นมันก็ Pain มากแล้วนะ 

 

เหมือนสมัยก่อนเขากลัวลูกเรียนไม่จบ แต่จริงๆ สาไม่ได้เกเรนะ เกรดสาก็โอเค แล้วสาก็บอกเขาว่าอยากได้เกียรตินิยมมากใช่ไหม เดี๋ยวทำให้ได้นะ แต่ขอทำในสิ่งที่ชอบด้วยได้ไหม แล้วก็บอกพ่อว่าจะไม่เสียเรียน พ่อได้ไปงานรับปริญญาลูกแน่ๆ ไม่ต้องห่วง 

 

ถ้าย้อนกลับไป ตอนนั้นสาไม่ได้ไปแฮงเอาต์กับเพื่อนเยอะเท่าที่ควรเลย ไม่ได้ทำอย่างอื่นเลย เวลาเล่นหายไป จริงๆ อันนี้เป็นสิ่งหนึ่งที่เรา Give Up ในวันนั้น แต่ถ้ามองย้อนกลับไป วันนั้นที่เรา Give Up เวลาเล่น สาว่ามันคุ้มค่ามากๆ ค่ะ

 

 

 
 
 
 
 
View this post on Instagram
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

A post shared by Thanisa Veerasaksri (@sathanisa)

 

 

ทั้งเรื่องเรียน ทั้งเรื่องธุรกิจ คุณสามีวิธีบริหารจัดการอย่างไรให้ตัวเองทำทั้ง 2 สิ่งไปด้วยกันได้

 

โมเมนต์เรียนไปด้วยทำงานไปด้วยเกิดตั้งแต่ปริญญาตรีและปริญญาโทเลย ปริญญาโทสาไปต่อธรรมศาสตร์แล้วก็เรียนภาคค่ำ แต่ว่าอันนั้นยิ่งยากกว่าเดิมเลย เพราะว่ามันต้องบริหารทั้งงานแล้วก็เรื่องเรียน แต่สิ่งหนึ่งที่สอนสาคือ Time Management Skills เพราะว่าคนเรามี 24 ชั่วโมงเท่ากัน แต่อยู่ที่คุณจะบริหารเวลาอย่างไร 

 

อย่างที่สาบอก สายอมทิ้งเวลาเล่น เวลาเที่ยว เวลาทำอะไรแบบ Entertainment ออกไป สานับครั้งไปดูหนังในโรงหนังได้เลย  นับวันไปกินข้าวกับเพื่อนได้เลย มันน้อยมาก ดังนั้นเวลาเรียนสาก็จะตั้งใจเต็มที่ในคลาสเลย เพราะสารู้ว่าออกไปนอกห้องเรียน สาจะทำงานแล้ว สาไม่เอาเรื่องเรียนแล้ว เพราะอย่างนั้นเราจะร่นเวลาการอ่านหนังสือได้มากขึ้น แล้วก็แน่นอน มันต้อง Give Up ชีวิตส่วนตัวออกไปค่ะ

 

วันไหนที่ทำให้ครอบครัวมองว่าคุณสาประสบความสำเร็จกับสิ่งที่ทำแล้ว

 

คุณพ่อคุณแม่ก็อายุ 60-70 แล้ว สมมติเราบอกว่า โห ป๊าเห็นไหม ไอจียอดฟอลเป็นแสนเลย เขาไม่เข้าใจ อะไรคือไอจี เฟซบุ๊กคืออะไร แต่สำหรับเขา วันที่เขาเริ่มไม่กังวลมากแล้วคือวันที่เขาเห็นหน้าร้าน เพราะคำว่าหน้าร้านของเขาคือแบบสมัยก่อน มันต้องเห็น Physical มันไม่ใช่ออนไลน์ แล้วตอนที่สาสร้างออฟฟิศ เขายิ่งสบายใจว่าลูกไม่ได้ทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ไม่ได้ตอบไลน์เอง วิ่งแพ็กของเอง ไปไปรษณีย์เอง ยืนขายเอง เริ่มมีทีมแล้ว เขาก็เลยเริ่มรู้สึกอุ่นใจ 

 

สาไม่เคยเล่าให้เขาฟังเรื่องยอดขายหรืออะไรเลยนะคะ ป๊าเห็นตามข่าวอย่างเดียวเลย เพราะรู้สึกว่าไม่อยากจะบอกเขา กลัวเขากังวล เวลาเขาเห็นตามข่าวแล้วเพื่อน Forward มาให้ด้วย เขาก็ภูมิใจค่ะ

 

 

 
 
 
 
 
View this post on Instagram
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

A post shared by Thanisa Veerasaksri (@sathanisa)

 

 

ปกติคุณสาชอบใส่จิวเวลรีอยู่แล้วไหม 

 

สารู้สึกว่าจิวเวลรีกับผู้หญิงมันเป็นของคู่กัน แล้วก็ชอบแต่งตัวอยู่แล้ว แต่ด้วยความที่เราเป็น Working Woman มากๆ สาเลยใช้เวลาแต่งตัวทุกวันน้อยมาก เพราะสารู้สึกว่าเราเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ไม่อยากจะมาแบบ วันนี้เสื้อนี้ รองเท้านี้ มันเหนื่อยมาก แล้วก็เครื่องประดับอะไรแบบนี้ค่ะ สาเลยรู้สึกว่ามันต้องเป็น Everyday Piece ที่ใส่ได้บ่อยๆ แล้วไม่ต้องคิดเยอะ สมมติวันนี้เราทำกิจกรรมเช้าจรดเย็น เราไม่ต้องเปลี่ยนตลอดทุกชุด แต่มันต้องไปกับเราได้ทุกวัน โดยเฉพาะสร้อยข้อมือ อันนี้เรียกว่า 24/7 เลยดีกว่า ก็คือใส่นอน ใส่อาบน้ำ ใส่ทำอะไรได้ตลอดเวลาเลย สวยด้วย อุ่นใจด้วย ใส่ติดตัวได้ตลอดเวลาค่ะ

 

Ravipa

 

สมัยก่อนเวลาจะเลือกเครื่องประดับสักหนึ่งชิ้น คุณสาดูอะไรบ้าง

 

เครื่องประดับมันไม่ใช่แค่สวย แต่มันต้องเสริมความมั่นใจ อย่างต่างหูสำหรับสา ชิ้นเล็กๆ ที่หูมันก็สามารถคอมพลีตลุคได้ ก็เลยรู้สึกว่าเครื่องประดับกับผู้หญิงเป็นของคู่กันจริงๆ ค่ะ 

 

เราเริ่มต้นจากแหวนคู่ Infinity โปรดักต์ที่ 2 คือต่างหูเลย เพราะว่ามันคือ Pain Point ของเราเองที่เราอยากได้จิวเวลรีอะไรที่มีความหมายด้วย มินิมัลด้วย มีเพชรเล็กๆ นิดหนึ่ง นอกจากแหวนแล้วเราก็ออกเป็นต่างหู Infinity คอลเล็กชันถัดไปเลย

 

การหาที่ทำจิวเวลรียากไหมในสมัยนั้น  

 

สาว่าจริงๆ เราเป็นประเทศที่เป็นฐานการผลิตของหลากหลายแบรนด์ระดับโลกเลย ถ้าพูดชื่อแบรนด์ลักชัวรีไปก็คือผลิตในไทยทั้งนั้น แต่ถามว่าสิ่งหนึ่งที่ RAVIPA แตกต่างก็ต้องให้เครดิตพี่นิดหนึ่งว่าเรียน Jewelry Making มา ทำให้งานเรามีความ Craftsmanship สุดๆ 

 

พี่เป็นคนไปนั่งทำให้ช่างดูว่ามันต้องทำอย่างนี้ มันถึงทำได้ Infinity ที่โค้งมนแบบนี้ พอเรามี Knowledge ตรงนี้ เรามี Know-How ทำให้เราสอนเขาทำได้ สาว่าอันนี้ก็เป็นนวัตกรรมเล็กๆ ที่เกิดขึ้นในตอนที่พัฒนาโปรดักต์ค่ะ ทุกชิ้นเราไม่ใช่งานปั๊ม มันเป็นงาน Craftsmanship ทั้งหมดเลยค่ะ

 

 

ณ วันนี้ RAVIPA มีโปรดักต์อะไรบ้าง  

 

จาก Day 1 ที่มีแค่ Couple Ring เราก็ต่อยอดเป็นสร้อยคอ ต่างหู แหวน ครบมากๆ แล้วก็รวมไปถึงสร้อยข้อมือที่เป็น Hero Product ของแบรนด์ด้วยค่ะ

 

Ravipa

 

ตั้งแต่ทำแบรนด์มาจนถึงวันนี้ มีโมเมนต์ไหนไหมที่ทำให้คุณสาใจฟู 

 

สาว่าสิ่งที่ใจฟูแล้วตกใจแทบเป็นลมคือตอนที่ Disney ส่งอีเมลมา สาจำได้ว่าตอนนั้นอยู่ในกองด้วย แล้วอยู่ดีๆ ก็มีอีเมลเด้งว่า Hello from Disney แล้วช่วงนั้นเป็นช่วงโควิด เอ๊ะ เราไม่ได้จอง Disney นะ ทั้งๆ ที่ปกติก่อนโควิดสาบินไปทุกปีเลย ไม่ได้ไปเผลอกดช้อปอะไร แล้วมาจากไหน

 

คือเขาอยากมาร่วมงานด้วย ตอนนั้นก็ตกใจมากๆ เพราะว่าเหตุการณ์นั้นน่าจะเกิดประมาณไตรมาสแรกของปี แล้วสาเพิ่งให้สัมภาษณ์เมื่อสิ้นปีเองว่าถ้าอยากร่วมงานกับแบรนด์หนึ่ง อยากให้เป็น Disney เพราะยังไม่เคยทำ Collaboration กันเลย  

 

ยังจำโมเมนต์ที่คุยครั้งแรกได้อยู่ เป็น Online Meeting เขากำลังหาแบรนด์ที่จะร่วมฉลอง Disney 100th Anniversary ที่ทำกันทั่วโลก เขาเปิดทีเซอร์ Disney ที่เล่าตั้งแต่คาแรกเตอร์ตัวแรก Mickey Mouse ตามด้วยเพื่อนๆ แล้วสาชอบ Donald Duck มากๆ ได้เห็น Disney Movies มัน Nostalgia มากๆ เพราะเห็นภาพตั้งแต่หนังที่เราดูตอนเด็กจนถึงเรื่องล่าสุดในปัจจุบัน 

 

ดูเสร็จสาจำได้ สาปิดไมค์ สาปิดกล้องนะ เพราะว่าน้ำตาคลอ มันคิดถึงโมเมนต์วัยเด็กของเราด้วย เป็นแบรนด์ที่เราชื่นชมตั้งแต่เด็กๆ เด็กน้อยที่ขี่หลังพ่อ มันอยู่ในความทรงจำ   

 

 

 
 
 
 
 
View this post on Instagram
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

A post shared by Thanisa Veerasaksri (@sathanisa)

 

 

คุณสาเริ่มมีความคิดว่าอยากทำงานกับ Disney ตอนไหน

 

ตอนนั้นไม่เคยคิดเลย เพราะรู้สึกมันไกลเกินเอื้อม แล้วก็รู้สึกว่าทำไมเขาถึงจะทำกับแบรนด์แบบเรา แบรนด์เด็กๆ ของเรา แต่ว่าถ้าไม่มีพี่คนหนึ่งมาสัมภาษณ์สา พูดชื่อได้ไหมเนี่ย คุณเคน นครินทร์ ถ้าไม่มีคนมาสัมภาษณ์สาแล้วมาถามว่าอยากทำกับแบรนด์ไหน สาก็คงไม่กล้าพูดแบรนด์นี้ออกไป แต่ว่าวันนี้ฝันที่เรามองตั้งแต่เด็ก เราทำได้จริงแล้ว ไป Disney ในฐานะที่ไม่ใช่แค่นักท่องเที่ยว แต่ในฐานะพาร์ตเนอร์ มันอะเมซิงมากๆ

 

 

 
 
 
 
 
View this post on Instagram
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

A post shared by Thanisa Veerasaksri (@sathanisa)

 

 

การทำงานกับ Disney หลังจากนั้นเป็นอย่างไร  

 

จากวันนั้นที่ได้คุยกับเขาแล้ว ความที่เป็นแบรนด์ที่เราใฝ่ฝันมาตั้งนาน ทำให้สาได้คุยกับเขาว่า ถ้าแค่ซื้อ License สาไม่อยากทำ ตอนนั้นกล้ามากที่พูด กลัวเขาบอก อ๋อ งั้นไม่ต้องทำ แต่สาอยากทำให้ได้จริงๆ อยาก Co-branding กับเขา อยากเอาโลโก้มาอยู่ข้างกันให้ได้ ต้องทำอย่างไรบ้าง เขาก็บอกว่า โห ถ้าแบบนั้นภายในประเทศเราเป็นคนอนุมัติไม่ได้นะ ต้องส่งเรื่องไปทาง Global แล้วในไทยก็ยังไม่เคยมีใครทำได้ที่เป็นดีไซเนอร์แบรนด์ 

 

สาก็แบบ เอาแล้ว ทำอย่างไรดีนะ ตอนนั้นเราก็แอบกลัวมากๆ เลยเหมือนกันว่าจะทำได้ไหม จะเสี่ยงหรือเปล่า ไม่ใช่เราไปหยิ่งใส่เขาแล้วเขาไม่ขาย License สาก็บอก โอเค มาลอง Bet ดู ทำให้ดีที่สุดแล้วกัน

 

มันเหมือนการสะสมแต้มบุญตั้งแต่ Day 1 ที่เราทำทุกอย่างมา ผลงาน พอร์ตโฟลิโอ ตัวดีไซน์เราก็ส่งไป แล้วตอนนั้นลุ้นมากเพราะว่าเรื่องมันไม่ใช่อนุมัติแค่ในภูมิภาคเรา หมายความว่าต้องส่งไปที่ Southeast Asia ส่งไปทาง Asia แล้วก็ไปทาง Global อีก มันหลายขั้นหลายตอน 

 

วันที่เขาอนุมัติ เขามีคีย์เวิร์ดหนึ่งบอกว่า “มันไม่เหมือนใคร” จิวเวลรีมันไม่เหมือนใครที่เขาเคยเห็น ถึงเขาจะมี Jewelry License มาเยอะมากๆ แล้ว แต่ว่า RAVIPA ไม่เหมือนใคร สาว่าคำตอบอันนั้นมันทำให้เราแบบ โปรดักต์ที่เราใส่ใจตั้งแต่ Day 1 ความเป็นดีไซเนอร์แบรนด์ ความที่เราใส่ความหมายทุกอย่างในจิวเวลรี คือแบรนด์ Global ขนาดนั้นเขายอมรับ สาเลยแบบ โห สุดยอดเลย ไม่ได้ชมตัวเองนะ หมายถึงว่าสุดยอดเลยกับแบรนด์ว่าเราทำได้

 

 

 
 
 
 
 
View this post on Instagram
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

A post shared by Thanisa Veerasaksri (@sathanisa)

 

 

เล่ากระบวนการทำงานโปรดักต์แรกกับ Disney ให้ฟังหน่อย

 

ทุกคนจะพูดว่าเราทำ Princess แน่ๆ เพราะ RAVIPA คือเจ้าหญิง RAVIPA คือสีชมพู หวานๆ แต่อันแรกที่สาเลือกแน่นอนต้อง Mickey Mouse เพราะสารู้สึกว่ามันคือซิกเนเจอร์ของ Disney 

 

สาภูมิใจเกี่ยวกับสร้อยคออันนี้มาก เพราะว่าเป็น Mickey ที่เอื้อมมือไปจับ Infinity แล้วสาว่ามันเป็น Best Combination ของทั้ง 2 แบรนด์ค่ะ เราตั้งใจให้นำเสนอสิ่งแรกของทั้ง 2 แบรนด์ 

 

 

 
 
 
 
 
View this post on Instagram
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

A post shared by RAVIPA (@ravipajewelry)

 

 

เขาให้เราเลือกคาแรกเตอร์เองหรือกำหนดมาให้เราทำ

 

เราเป็นคนเลือกคาแรกเตอร์เอง แต่ว่าเขาก็จะแนะนำมาบ้าง แต่สุดท้ายแล้วสาก็พูดจริงๆ เนอะ เราทำ Disney ด้วยความรู้สึกตั้งแต่ Day 1 เขาทักมาอย่างไรก็ทำอยู่แล้วร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่ว่าเงื่อนไขจะเป็นอย่างไร สาก็เลยรู้สึกว่าครั้งหนึ่งที่เราทำ Disney เราเริ่มจากแพสชัน สาก็ยังไปต่อในแพสชัน

 

 

อันแรกนี่แพสชันเยอะมาก เพราะว่า Donald Duck อยู่ในนั้น ไม่ได้บอกว่าคอลเล็กชันอื่นไม่รักนะคะ แต่ว่าไล่ตามความรัก คอลเล็กชันแรกๆ จะมีอินเนอร์แน่นมากๆ Toy Story นี่ชอบมาก แล้วก็ดีใจมากๆ ที่ตอนนั้น แจ็คสัน หวัง ใส่ด้วย คือเรารู้อยู่แล้วว่าเขาชอบ Toy Story แต่ใครจะไปคิดว่าเขาจะได้ใส่ เขามีทั้ง Little Green Men แล้วก็ Buzz Lightyear มี 2 เส้นด้วย ดีใจมากที่พี่แจ็คใส่ 

 

 

 
 
 
 
 
View this post on Instagram
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

A post shared by Thanisa Veerasaksri (@sathanisa)

 

 

ตั้งแต่เริ่มทำแบรนด์มา เคยมีโมเมนต์ไหนที่คุณสารู้สึกถอดใจบ้างไหม

 

สาว่าท้อมันมีทุกวัน หมายถึงว่าสาเสียน้ำตาบ่อยมาก ตั้งแต่วันแรกมันเหนื่อยกว่า มันท้อกว่า สาว่ามันท้อทุกช่วงจริงๆ โดยเฉพาะชาเลนจ์หรือโจทย์มันยากขึ้นทุกวัน สเตจ ณ วันแรกคืออาจจะท้อในแง่ที่เราไม่มีเงินมากในการขยายธุรกิจ โจทย์วันนี้รู้สึกว่าบริหารคนมันยากจัง มันมีโจทย์ขึ้นมาตลอดเวลา แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนปลอบใจตัวเองได้แล้วสอนตัวเองทุกวันนี้ก็คือ การมูฟออน 

 

เราเป็นมนุษย์คนหนึ่ง มันต้องมีอารมณ์ แล้วเราทุกข์ได้ เราสุขได้ แต่อย่าทุกข์นาน คือเราห้ามจมอยู่กับสิ่งที่เราผิดหวัง สิ่งที่เรารู้สึกดาวน์ เพราะสุดท้ายแล้วสาบอกตัวเองว่าจะดาวน์ให้สุดคือแค่วันนั้นนะ แค่คืนนั้นพอ สาขีดเส้นกับตัวเองเลยว่าไม่ข้ามคืน ตื่นมาเป็นวันใหม่ สาบอกตัวเองอย่างนี้ทุกครั้งค่ะ

 

คุณสาได้สกิลหรือได้เรียนรู้สิ่งนี้มาจากอะไรบ้าง 

 

สาว่าเพราะเจ็บมาเยอะค่ะ คือหมายถึงว่าเคยมีโมเมนต์หนึ่งที่อยู่ในห้องประชุมแล้วมันเสียใจ มันผิดหวังมากๆ แล้วเราก็อยู่ตรงนั้นในฐานะผู้บริหารคนหนึ่งกับทีมที่เยอะๆ น้องที่เยอะๆ แล้วสารู้สึกว่าตรงนั้นน่ะ ทุกคนเฟลกันหมดแล้ว ถ้าเราเฟลไปอีกคน ทีมจะขวัญเสียมากๆ ใจหายกันหมด 

 

ตอนนั้นสาจำได้เลย ขอไปเข้าห้องน้ำแป๊บหนึ่งนะคะ ไปห้องน้ำปุ๊บ ร้องไห้ในห้องน้ำ แต่ร้องเบาๆ เดี๋ยวเขารู้ แบบร้องๆๆๆ เสร็จแล้วก็โอเค ล้างหน้าล้างตาแล้วก็ขึ้นไปประชุมต่อ ครั้งนั้นยังชมตัวเองจนถึงทุกวันนี้เลย เออ มูฟออนเร็วมากเลยจริงๆ 

 

แต่จริงๆ ถามว่าเสียใจเท่ากับน้องๆ ในทีมไหม เสียใจมากๆ ไม่แพ้กันแน่นอน แต่แค่เราเป็นเหมือนแม่ทัพแล้วเราจะเป๋ไปอีกคนไม่ได้ สกิลการมูฟออนเป็นสกิลที่สำคัญมากๆ

 

การเป็นผู้นำหรือการทำแบรนด์ RAVIPA สอนอะไรคุณสาบ้าง  

 

สาเรียนจบมา สาไม่ได้ทำงานบริษัทที่ไหนมาก่อน สาไม่รู้เลยว่าหัวหน้าที่ดีคืออะไร แต่สารู้ว่าพี่ที่ดีคืออะไร วันนี้สาภูมิใจกับทีมมากที่เห็นเขาตั้งแต่เพิ่งเรียนจบ มาทำงานกับเราที่แรกแล้วเขาเก่งขึ้นขนาดนี้  ไม่ใช่แค่ปั้นแบรนด์ แล้วการที่ Journey นี้มันเติบโตไปด้วยกัน มันมีค่ามากๆ สาเลยรู้สึกว่าพี่ที่ดีควรสอนน้อง น้องผิดก็ว่า แต่เราก็มูฟออนเหมือนคนที่สายเลือดเดียวกัน ถ้าเขาผิด เราก็ให้อภัย แล้วเราไม่ได้เจ้าคิดเจ้าแค้นค่ะ สาไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้นอยู่แล้ว แล้วสาก็รู้สึกว่าเราให้โอกาสเขา ทุกคน Deserve a second chance สาเชื่อแบบนี้ แต่สาไม่ให้ Third Chance ใครนะ สอนได้ ผิดได้ แต่ไม่ใช่ผิดครั้งที่ 3 ค่ะ

 

ทำไม ณ วันนั้นถึงเลือกทำแบรนด์โดยไม่คิดสมัครงานที่บริษัทเลย 

 

สาว่ามันเป็นจังหวะชีวิตมากกว่า ตอนนั้นก็เลือกแหละว่าจะไปทำงานประจำที่อุตส่าห์เรียนคณะนี้มา เข้าก็ยาก เรียนก็ยาก กว่าจะจบก็ยาก แต่ตอนตัดสินใจก็เร็วมาก สารู้สึกว่าตอนเราทำ RAVIPA โอกาสมันมาเมื่อไรไม่รู้ สาไม่อยากรอว่าวันนี้จะมีคน Knock Door ไหม โอกาสจะเข้ามาหรือเปล่า แต่เมื่อมีคน Knock Door ยื่นโอกาสมาให้ สาทำเลย แล้วตอนนั้นจะแข่งรายการ VOGUE Who’s On Next แล้วก็แข่งในรายการที่มีแบรนด์ยักษ์ใหญ่อย่าง POEM ตอนนั้นพี่เขาก็มีกว่า 10 สาขาแล้ว แล้วสายังไม่มีสักสาขาหนึ่งเลย 

 

แล้วห้างพารากอนติดต่อมา สยามเซ็นเตอร์ก็ติดต่อมา สาแบบเอาไงดี ถ้าเรา Say No ตอนนี้ แล้วเมื่อไรเขาจะมาอีก สาเลยมองว่า โห ถ้ารอไปอีก 2-3 ปี เขาลืมเราแล้วไหม รายการมันน่าจะมีซีซัน 2 ซีซัน 3 เขาน่าจะลืมแล้ว เพราะเราไปตั้งแต่ซีซันแรกแล้วชนะเป็น Finalist ก็เลยตัดสินใจว่า โอเค โอกาสมันมาแล้ว คว้าไปเถอะ ทั้งๆ ที่เราก็ไม่พร้อม ตอนนั้นรับปริญญาก็ยังไม่ได้รับเลย ไม่คิดแล้ว สมมติทำ RAVIPA ไม่รอด เดี๋ยวค่อยไปสมัครงานแล้วกัน หรือไปเรียนต่อก็ได้ ตอนนี้โอกาสมาแล้ว คว้าไว้ก่อน กลัวโอกาสมันไม่มาอีกครั้งหนึ่งค่ะ

 

 

สำหรับคุณสา แพสชันสำคัญไหม 

 

สำหรับสา แพสชันสำคัญมากเลย เพราะว่าเราขับเคลื่อนด้วยแพสชัน คือสาว่าการทำแบรนด์มันเหมือนการวิ่งมาราธอน มันยาวไกล ถ้าเราหมดแรงก่อน จบ ถ้าเรารู้สึกว่าเราไม่ไหวแล้ว เราจะยอมแพ้ มันจบ คือเราไม่รู้เลยว่าจุดสำเร็จมันจะอยู่ตรงไหน บางคนเก่งมากเลยนะคะ ปีหนึ่งก็ประสบความสำเร็จแล้ว บางคน 60 ปีด้วยซ้ำ มันคือวิ่งทางไกล ต้องอดทน

 

สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราเลิกคือชาเลนจ์ แต่ทำอย่างไรให้มันไม่ยอมแพ้ สาว่าแพสชันคือ Secret Item มันเหมือนพอพลังเราจะหมดแล้วมันมีกล่อง Secret ที่ทำให้เราบูสต์พลังตัวเองขึ้นมาใหม่ แต่ถ้าไม่มีแพสชัน พอมันเฟล เจอชาเลนจ์ มันท้อ มันเลิกง่ายๆ เลย เพราะไม่มีไอเท็มลับนี้ค่ะ

 

สำหรับสา ไอเท็มลับคือแพสชันที่เรามีความสุขกับการทำ สาว่าสาทำโดยไม่มีความสุขไม่ได้ ทุกวันนี้สาตื่นมา สาอยากทำงาน สาสนุกกับการทำงาน สาสนุกกับการเห็นแบรนด์โตขึ้นเรื่อยๆ ทำสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน แล้วมันเป็นแพสชันที่ขับเคลื่อนเราถึงทุกวันนี้ ชอบชาเลนจ์ ชอบพัฒนาไปเรื่อยๆ ค่ะ 

 

ปีก่อนๆ คุณสาบอกว่าอยากร่วมงานกับ Disney ปีนี้มี Goal อีกไหม

 

สาอยากเป็น Tourist Destination ให้ได้จริงๆ อยากเห็นชาวต่างชาติที่มาไทยแล้วรู้สึกว่าต้องมาแบรนด์เรา เพราะว่าจริงๆ แล้วเราไปต่างประเทศ เราไปเสียเงินให้เขาเยอะมากเลยค่ะ แล้วสารู้ว่าโดนตกอย่างนั้นมันเป็นอย่างไร สารู้สึกว่ามันจะน่าภาคภูมิใจมากนะ ถ้าเขาบินมาแล้วเขาต้องมาซื้อของเรา มันจะดีใจแล้วก็ภูมิใจมากๆ แล้วสาคิดว่าเป็นอะไรที่คนไทยทุกคนน่าจะภูมิใจกับแบรนด์เล็กๆ แบบเราด้วย

 

 

สิ่งที่ชอบที่สุดสำหรับการทำ RAVIPA คืออะไร

 

สิ่งที่ชอบที่สุด สาว่ามันคือการสนุกไปกับทุกวัน สาคิดว่าแบรนด์พอโตขึ้นมันมีชาเลนจ์อะไรให้ทำหลายอย่างมากขึ้น มันค่อนข้างท้าทาย แล้วสาคิดว่าการที่เราทั้งปั้นคน ปั้นแบรนด์ ปั้นทุกอย่างไปด้วยกัน เป็นแบรนด์ไทยแบรนด์แรกในหลายๆ เรื่องไปด้วยกัน มันคือความสำเร็จที่ไม่ใช่แค่ของสาแล้ว สมัยก่อนมันอาจจะเป็นแค่สากับพี่ 2-3 คน แล้วก็น้องในทีมอีก 2-3 คน ตอนนี้มีคนตั้ง 160-170 คนแล้ว มันคือความสำเร็จของเราในฐานะทีม เดินคนเดียวมันเดินได้เร็ว แต่จะเดินทางไกลมันต้องเดินเป็นทีม แล้ววันนี้เราก็ฟอร์มทีมใหญ่ขึ้นมากๆ ก็หวังว่าจะเดินทางไกล ไปให้ไกลถึงต่างประเทศค่ะ

 

คุณสาอยากบอกอะไรกับ RAVIPA 

 

เหนื่อยมามากเนอะ (หัวเราะ) สาอยากบอกว่าภูมิใจมากๆ ค่ะ เราผ่านอะไรกันมาเยอะมาก กว่าจะได้มาถึงทุกวันนี้ เหมือนเรา Learning by doing เจ็บจริง เสียเงินจริง พลาดจริง น้ำตามันเสียไปเท่าไรแล้ว สาอยากจะบอก RAVIPA ว่าเราเหนื่อยกันมาขนาดนี้แล้ว แล้ววันนี้เราปรบมือให้ตัวเองกันหน่อยไหม เพราะว่าเราไปได้ไกลมากจริงๆ แล้วอนาคตเราจะไปได้ไกลขึ้นอีกแน่นอน ถ้าเกิดว่าเรายังสัญญาอะไรกับลูกค้า แล้วเราก็ยังรักษาสัญญาอันนั้น เราก็จะยึดมั่นแล้วก็ทำงานด้วยความตั้งใจ สาเชื่อว่าเราจะเป็นคนที่โชคดีค่ะ

 

Ravipa

 

RAVIPA

Website: https://ravipa.com

Facebook: https://www.facebook.com/ravipaofficial 

Instagram: https://www.instagram.com/ravipajewelry 

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising