×

ซาบีน่า ไมซิงเกอร์ จากนางแบบร่างบางสู่ครูสอนโยคะและชีวิตเอ็กซ์ตรีมที่เต็มไปด้วยความขอบคุณ

03.02.2024
  • LOADING...

ซาบีน่า ไมซิงเกอร์ หรือ ซาบีน่า The Face นางแบบสาวที่แจ้งเกิดจากรายการเรียลิตี้ประกวดนางแบบชื่อดังในวงการยุคหนึ่งจนได้นามสกุลใหม่ต่อท้าย เธอได้โลดแล่นในวงการบันเทิงในฐานะนางแบบหน้าใหม่ไฟแรงที่พร้อมรับมือกับทุกความท้าทาย จนถึงจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในวัยย่างเข้าเลข 3 ที่ทำให้เธอก้าวเข้าสู่วงการสายฟิตอย่างจริงจัง จนมีโอกาสได้มาพบพานกับบทเรียนใหม่ในชีวิตอย่าง ‘โยคะ’

 

 

จากการเป็นแค่ผู้หญิงที่ลองเล่นโยคะเหมือนคนทั่วไป รู้ตัวอีกทีเธอก็กลายมาเป็นครูสอนโยคะ อาชีพที่เธอไม่เคยคิดฝันว่าจะได้มาทำ อาชีพที่ทำให้หัวใจของเธอเต็มไปด้วยความรู้สึกขอบคุณ​ อะไรที่นำพาให้เธอเดินทางมาเจอกับตัวเองในมุมใหม่นี้ได้ มาร่วมค้นหาคำตอบไปด้วยกันกับ Passion Calling x Sabina Meisinger

 

 

ปัจจุบันบีทำไรอะไรอยู่บ้าง

 

ซาบีน่า: ตอนนี้กำลังอินกับกีฬา สุขภาพ และความงาม

 

ปัจจุบันบีเทรนเป็นส่วนใหญ่และเทรนเยอะมาก บีสอนโยคะด้วยที่ Atha Lifestyle อยู่ที่ BTS ทองหล่อ จริงๆ ไม่ได้อยู่ในแพลนหรอก แต่รู้สึกว่ามันเป็นการเรียนรู้อย่างหนึ่ง ทุกครั้งที่ได้ไปสอนเราได้เรียนรู้เกี่ยวกับร่างกายของทุกคนที่มันไม่เหมือนกัน เราได้จัดท่า เราได้ช่วยเขา มันทำให้เรารู้สึกดีขึ้น ส่วนงานนางแบบก็ยังรับอยู่บ้าง งานละครก็จะขึ้นอยู่กับบท บีชอบรับบทที่ไม่ได้เป็นบทนำ ก็ยังรับงานในวงการอยู่ แต่น้อยลงแล้ว

  

 

บีตื่นเต้นที่ก้าวเข้าสู่วัย 30 บีรู้สึกว่ามันเป็นวัยที่ตอนบีเด็กกว่านี้ทุกคนจะมองว่าแก่แล้ว ซึ่งบีรู้สึกว่าสังคมตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว บีรู้สึกว่าบีอยากจะ Prove ให้หลายๆ คนเห็นว่ามันก็ยัง Youthful อยู่ มันเป็นจุดเริ่มต้นของการฉลาดมากขึ้นในประสบการณ์ที่เราเคยทำมา บีรู้สึกว่าวัย 30 จะเป็นช่วงเวลาที่หลายๆ คนได้เรียนรู้ที่สุด เพราะว่าเขาได้เรียนรู้จากข้อผิดพลาดที่ผ่านมาและเขาจะได้เติบโต ไม่แม้แต่กระทั่งรู้สไตล์ของตัวเอง รู้แฟชั่นของตัวเอง รู้สุขภาพของตัวเอง และเรายังเป็นผู้นำในสังคมได้ดีในแบบของเราด้วย  

 

อะไรที่เป็นจุดเริ่มต้นทำให้บีหันมาใส่ใจด้านสุขภาพอย่างการออกกำลังกาย

 

ซาบีน่า: การที่บีเปลี่ยนมาสายกีฬามากขึ้น เพราะรู้สึกว่ามันจะเป็นขั้นตอนต่อไปที่บีจะเติบโตมากกว่านี้ และคนรอบตัวก็ถือเป็นแรงบันดาลใจให้บีก้าวไปในไดเรกชันต่างๆ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือแฟนคนปัจจุบันของบีคือ อนัน อันวา เขาเป็นนักกีฬาอยู่แล้ว เขาก็เคยอยู่ในวงการเหมือนที่ทุกคนรู้ และเขาออกมาทำกีฬาแล้วมันก็บูม

 

 

 
 
 
 
 
View this post on Instagram
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

A post shared by Sabina Meisinger (@sabinameisinger)

 

 

เราเห็นความสุขที่ออกมาจากตาเขา ออกมาจาก Body Language การมีความสุขของเขามันทำให้เราคิดว่ามันเป็นไปได้ไหม มีกีฬาอื่นๆ ที่เราจะชอบบ้างไหม เราก็เลยคิดว่าคนรอบตัวบีอย่างอนันเขาเป็นต้นเหตุที่ทำให้บีอยากเปลี่ยนมากๆ เพราะว่าอยากมีความสุข  

 

 

 
 
 
 
 
View this post on Instagram
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

A post shared by Sabina Meisinger (@sabinameisinger)

 

 

อนันพาบีเข้าสู่โลกการออกกำลังกายด้านไหนบ้าง

 

ซาบีน่า: จริงๆ แล้ว Parkour หรือว่า Freerunning มันจะเป็นกีฬาที่เอ็กซ์ตรีมมากๆ ฉะนั้นในทางอนันจะเป็นด้านเอ็กซ์ตรีม บีเป็นคนขี้กลัวนิดหนึ่ง แต่ก็ชอบลองนะ เขาแนะนำ Rock Climbing, Wakeboarding และ Skateboarding 

 

ซึ่งถ้าเป็นบีคนเดิมคงจะไม่มีวันแตะอะไรที่มีล้อหรือว่าบาลานซ์ในความเร็ว เพราะว่าไม่ได้เป็นคนที่อยากเน้นไปทาง Extreme Sport แต่ว่า Extreme Sport มันก็ทำให้เรามีความตื่นเต้น เลือดสูบฉีด มีการท้าทายตัวเองในเรื่องของร่างกายและจิตใจไปอีกแบบหนึ่งเลย จากคนขี้กลัวก็รู้สึกว่ารับสถานการณ์ต่างๆ ได้ดีขึ้น  

 

 

 
 
 
 
 
View this post on Instagram
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

A post shared by Sabina Meisinger (@sabinameisinger)

 

 

นอกจากอนันแล้ว บีอยากบอกว่ายังมีหลายๆ คนในชีวิตบีที่เป็นสายสปอร์ต อย่างเช่น พี่อุ้ม พี่เบเบ้ เรารู้สึกว่าเขา Inspire เรามากๆ เลย สเตฟานีที่เคยเป็นดาราเหมือนกัน เขามุ่งตรงด้านฟิตเนส แข็งแรงมาก ปัจจุบันเขาก็เป็นโค้ชให้เราด้วย และมีอีกหลายคนเลยที่บีอยากจะส่งภาพให้ดูว่าเขา Inspire บีอย่างไรบ้าง  

 

จากนางแบบมาเป็นนักกีฬา ต้องหันมาดูแลตัวเองอย่างไรบ้าง

 

ซาบีน่า: อย่างเรื่องไดเอต เรื่องการดูแลตัวเอง เปลี่ยนไปไหม เปลี่ยนไปแน่นอน เพราะว่าการเป็นนางแบบมันจะมีไซส์ มีเกณฑ์ ที่มันกำหนดว่าบีจะต้องเป็นแบบนั้น การกินโน่น นี่ นั่น มันจะเป็นอีกแบบหนึ่ง แต่บีจะไม่พูดว่าโชคดีแล้วกัน แต่ก็โชคดีแหละ เพราะมันเป็น Genetic ที่ว่าเรามีระบบการเผาผลาญที่เร็วมาก 

 

 

 
 
 
 
 
View this post on Instagram
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

A post shared by Sabina Meisinger (@sabinameisinger)

 

 

ฉะนั้นเรื่องกินเราไม่ค่อยได้ดูแลตัวเองเท่าไร เพราะยังเด็กอยู่ มันก็ยังปาร์ตี้ เรื่องกินไม่ค่อยดูเท่าไร และเราก็ไม่ได้อ้วนขึ้น แต่พอก้าวสู่ปีที่ 25 เราจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงของตัวเอง เราเลยตั้งคำถามกับตัวเองหลายรอบนะว่า “เราจะกลับไปไดเอตเพื่อที่จะเป็นนางแบบต่อไป หรือว่าเราอยากที่จะ Challenge ตัวเองไปอีกก้าวหนึ่งในชีวิต?” มันก็จะเป็นคำถามขึ้นมา แต่มันก็ไม่เกิดขึ้นสักที เพราะว่าเราก็ยังติดอยู่ในคอมฟอร์ตโซน ก็ฉันสบายใจอยู่ตรงนั้นทำไมต้องเปลี่ยน 

 

 

 
 
 
 
 
View this post on Instagram
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

A post shared by Sabina Meisinger (@sabinameisinger)

 

 

บีก็เลยคิดว่ามันต้องมีเหตุการณ์ในชีวิตสำหรับหลายๆ คนนะที่จะเปลี่ยนเราได้ ไม่เสียใครในชีวิตไป ก็เป็นอะไรที่ร้ายแรงมากๆ ที่ทำให้เราอยากเปลี่ยน แล้วมันก็เกิดขึ้นกับบีในวงการ

 

อย่างปีที่บีเป็นมาสเตอร์เมนเทอร์ บีคิดว่าอันนั้นแหละเป็นจุดเปลี่ยนที่ใหญ่ที่สุดของบี ทำให้บีเอาความคิดที่เคยคิดไว้แต่ว่าไม่กล้าลงมือทำ เพราะยังกลัวความเปลี่ยนแปลง แต่พอเจอสถานการณ์ที่โดนคนคอมเมนต์เกลียด โดยคนขู่ฆ่า โดนคนด่าพ่อแม่ มันทำให้เราคิดว่าทุกอย่างที่เราทำมาในวงการ เป็นเด็กที่แสนจะดี ตรงเวลาตลอด มันหายไปเลย พอมันหายไปเสร็จแล้วเหมือนเป็นจุดดิ่ง มันดิ่งลงมากเลย พอดิ่งลงเสร็จมันทำให้บีแบบ “It’s either I die or I live.” มัน Matter of Death มันก็เลยทำให้บีมองไปรอบตัวบีว่าบีมีใครที่รักบีและมีใครที่บีรักเขา เพราะว่าสิ่งนั้นมันทำให้บีรู้สึกว่าโอเค ถ้าคนที่บีรักเขาทำตัวแบบไม่อยากอยู่แล้ว เราจะเจ็บไหม ซึ่งเราก็เจ็บมาก พอมันคิดได้เราก็ไปโรงพยาบาล ปรึกษาจิตแพทย์ว่าเราต้องทำอย่างไรบ้างที่เราจะกลับมาสู่ตัวเอง ถามผู้เชี่ยวชาญทั่วๆ ไป แล้วเราก็เริ่มค้นหาตัวเอง เราได้เลือกแหละว่าเราอยากจะอยู่ต่อ แล้วก็อยากจะดีขึ้น แต่เริ่มอยากเปลี่ยนไปทำอย่างอื่น ไม่ใช่แค่วงการบันเทิง 

 

 

 
 
 
 
 
View this post on Instagram
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

A post shared by Sabina Meisinger (@sabinameisinger)

 

 

เรียกว่าจุดเปลี่ยนในครั้งนั้นมันทำให้บีไม่ใช่แค่เปลี่ยนในเรื่องของจิตใจ แต่กล้าที่จะเปลี่ยนไปยังเรื่องของร่างกายด้วย 

 

ซาบีน่า: ปัจจุบันเราจะเริ่มเห็นแล้วว่านางแบบมีหลายไซส์ได้ แต่ในความเป็นจริงมันก็ยังไซส์ศูนย์กันอยู่เยอะ บีก็เริ่มคิดว่ามันไม่เฮลตี้แล้ว เพราะเวลาผู้หญิงแก่ขึ้นมันน้อยมากที่จะเป็น Genetic แบบผอมๆ ไปตลอดกาล ซึ่งมันเป็น Mentality ที่เราต้องเปลี่ยน แต่ว่าเราก็ยังไม่ได้คิดนะว่าจะต้องเพิ่มน้ำหนัก จนรู้สึกว่าการบาดเจ็บที่มาจากกีฬาเอ็กซ์ตรีมหรือว่าความบาดเจ็บมันเริ่มเข้ามา ฉะนั้นเราก็เริ่มเรียนรู้ การเปลี่ยนแปลงมันคือการเรียนรู้ บีก็เริ่มเรียนรู้ทีละอย่างมากขึ้นว่า ทำท่านี้มันไม่ดีนะ ทำแบบนี้ถ้าเราไม่สร้างกล้ามเนื้อเนี่ยเราก็จะเจ็บนะ มันก็เริ่มทำให้บีคิดว่าฉันต้องสร้างกล้ามเนื้อนะ ไม่อย่างนั้นกีฬาเอ็กซ์ตรีมอย่างพวกปีนเขามันจะมีท่ากระโดดบ้างแล้วแต่เราเลือกปีน มันก็เกิดขึ้นได้ อย่างเช่น เข่าหลุดบ้างอะไรแบบนี้ 

 

 

 
 
 
 
 
View this post on Instagram
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

A post shared by Sabina Meisinger (@sabinameisinger)

 

 

แต่ก่อนเคยกลัว Bulk นะ แต่มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น มันยากมากกว่าจะไปจุดนั้นได้ เราต้องกินโปรตีน เราต้องกินโน่นกินนี่เยอะมาก บีก็เลยคิดว่าจุดนั้นแหละ จุดที่เริ่มบาดเจ็บ บีต้องการกล้ามเนื้อ มันก็มีนิสัยไม่ดีที่ติดมาจากอดีตว่า คุณไม่ควรหนักไปกว่านี้นะ มันจะแบบนิดหน่อย และเราก็พยายามที่จะเปลี่ยนตรงนั้น แต่คนอย่างสเตฟานี คนอย่างอนัน เขาคอยเตือนเราว่าจุดประสงค์เราคืออะไร 

 

 

 
 
 
 
 
View this post on Instagram
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

A post shared by Sabina Meisinger (@sabinameisinger)

 

 

ถ้าจะเปลี่ยนก็ต้องยอมรับตรงนี้ เพราะฉะนั้นเราเริ่มมี Positive Thinking เกี่ยวกับการมีกล้าม การมีลุค Bulky เรารู้สึกว่ามันก็เซ็กซี่ไปอีกแบบหนึ่ง  

 

หลายคนคิดว่าที่บี Shift อยากจะเปลี่ยนเป็นสายสปอร์ตอะไรแบบนี้ เพราะว่าวงการบันเทิง การเป็นนางแบบ การเป็นนักแสดง เป็นข้อเสียเยอะมาก แต่ไม่ค่ะ ของบีมันเป็นสถานการณ์ใหญ่ สถานการณ์เดียวที่ทำให้บีรู้สึกแบบว่ามัน Set Me Back นิดหนึ่ง มันทำให้บีคิดหลายๆ อย่าง 

 

 

 
 
 
 
 
View this post on Instagram
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

A post shared by Sabina Meisinger (@sabinameisinger)

 

 

แต่ตั้งแต่เริ่มแรก วงการบันเทิงเขาให้ข้อดีสำหรับบีเยอะนะ บีสามารถช่วยครอบครัวบีได้ บีสามารถที่จะเรียนรู้และได้เป็นหลายๆ อย่าง ได้ค้นหาแนวตัวเอง แต่พอเราอายุมากขึ้นมันก็ Make Sense ที่จะเปลี่ยน มันก็จะมีรุ่นใหม่มา แต่ที่หลายๆ คนได้ยินมาว่าวงการบันเทิงมัน Toxic มันก็มีความ Toxic จริงๆ นะ เรื่องของการพัฒนาความคิดมันแคบนิดหนึ่ง 

 

บีก็เชื่อว่าคนที่เราอยู่ด้วยหรือคนที่เราทำงานด้วยสำคัญมาก จริงๆ มันหายากมากเลยนะคนดีในวงการ คนที่เราจะเชื่อใจได้ คนที่ไม่มาตัดสินเรา ด่าเรา แต่มันก็มีอยู่ในวงการ บีดันโชคดีมากที่เรามีแต่คนดีๆ  

 

แล้วอะไรเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้สนใจโยคะ

 

ซาบีน่า: จุดเริ่มต้นที่บีสนใจโยคะเกิดขึ้นเมื่อ 5-6 ปีที่แล้ว บีเป็นคนที่ชอบร่างกายของมนุษย์มาก หมายถึงว่าเวลาคนเต้น โยคะ Flow อะไรแบบนี้ เราเริ่มเห็นในอินเทอร์เน็ตมันเรียกว่า Modern Day Yoga ที่มันเป็นเทรนด์เมื่อ 5-7 ปีที่แล้ว แล้วบีก็รู้สึกหลงใหล ถ่ายแบบด้วยการที่เข้าใจสรีระร่างกายของตัวเอง เป็นคนที่ชอบมาก ก็เลยฝึก Flow นั้น ลองเอามาเต้น ลองเอามา Flow ดู แต่ก็ยังไม่รู้จักว่ามันคืออะไร จนค่อยๆ เรียนรู้ว่านี่เขาเรียกว่าโยคะนะ ยังไม่รู้ประเภทของโยคะตอนนั้น แต่ก็ทำทุกวัน แล้วเราเห็นเรารู้สึกว่าเวลาทำอยู่มันคิดอะไรไม่ได้เลย เพราะถ้าคิดแล้วก็ร่วง มันก็เลยกลายเป็น Ritual

 

 

 
 
 
 
 
View this post on Instagram
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

A post shared by Sabina Meisinger (@sabinameisinger)

 

 

เราก็ทำอยู่อย่างนั้นๆ เราก็เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลง อย่างเช่น ฉีกขาไม่เคยลงเลยกลับลงแบบนี้ พอ 3 เดือนเราลองนั่งท่าฉีกขาก็เห็นความเปลี่ยนแปลง ก็เลยรู้สึกว่า โอเค เราควรจะที่จะ Look Into It เราควรที่จะเรียนรู้กับสิ่งนี้มากขึ้น เพราะว่าเราเริ่มทำเป็นประจำแล้ว 6 วันต่อสัปดาห์ แต่ก่อนตอนที่เริ่มใหม่ๆ ก็เลยรู้สึกว่าโอเค Let’s Do It แต่ก็ไม่เคยคิดเรื่องสอนนะ ไม่เคยคิดเลย เคยคิดอย่างเดียวว่าเราจะทำอย่างไรให้ Challenge ตัวเองให้ทำได้ท่าต่อไปๆ

 

 

 
 
 
 
 
View this post on Instagram
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

A post shared by Sabina Meisinger (@sabinameisinger)

 

 

จนบีบาดเจ็บอยู่ช่วงหนึ่งประมาณปีเกือบปีครึ่งเลย เพราะทำเกินตัวเองแล้วตกลงมากระแทกหลัง แล้วไม่เคยมีวันไหนไม่เจ็บเลย กินยาแก้ปวดบ่อยมาก มันก็ดิ่งมากเลยอยู่ช่วงหนึ่ง ช่วงกลางๆ ของการเรียนโยคะ แล้วพอหายแล้วก็มาออกกำลังกายมากขึ้น อย่างเช่น วิดพื้น ทำบอดี้เวต เพื่อที่จะป้องกันตัวเองและหลีกเลี่ยงท่านั้น ทำท่าอื่นๆ ที่มัน Challenge ไปก่อน เราก็รู้สึกว่าเราทำเขาทุกวันแล้วนะ เราควรเรียนรู้ว่าโยคะมาจากไหน โยคะคืออะไร มีกี่ประเภท มันเยอะมากเลย และมันก็ Overwhelm แบบว่ามันเยอะขนาดนี้เลยเหรอ

 

 

พอโควิดมามันเริ่มทำให้การแสดงโน่น นี่ นั่น ของเราต้องพักหมดเลย ทีนี้บีก็ไม่สามารถมีข้ออ้างได้แล้วว่าไม่มีเวลา พอมีเวลาก็เลย Look Into It ที่เราทำอยู่มันเรียกว่าโยคะนะ แล้วมีการลิงก์กับศาสนาพุทธมากๆ เลย เราไม่ใช่คนเคร่งหรือมีศาสนาขนาดนั้น แต่ว่าโดนเลี้ยงมากับโรงเรียนไทยที่ว่ามีวิชาพระพุทธศาสนา แล้วก็เริ่มมีความคุ้นชิน มันทำให้เรารู้สึกมี Discipline แบบเคร่งครัดในสิ่งที่เราทำ ตรงต่อเวลา ช่วยเหลือผู้อื่น มันมีมากกว่าแค่ท่าทาง มันคือการหายใจ

 

 

คนเมืองส่วนใหญ่บีเชื่อว่าเป็น Anxiety กันเกือบครึ่งหนึ่งเลยนะ Anxiety คืออะไร มันไม่อยู่กับปัจจุบัน ชอบคิดถึงอดีตที่เจ็บปวดแล้วคิดไปถึงอนาคตว่าเดี๋ยวมันก็เกิดขึ้นอีก คือความคิดมันเป็นแบบนี้ตลอดเวลา โยคะมันช่วยในเรื่องการหายใจ พอเราฝึกหายใจถูกที่ จาก 80% ที่เป็น Anxiety มันลดลงมาเหลือ 30-40% มันไม่หายไปหรอก มันเป็นกระบวนการที่เราต้องทำประจำ บีรู้สึกว่าโยคะให้บี และบีก็รู้สึกว่าเหมือนว่าบีเป็นหนี้ของโยคะด้วยซ้ำ เพราะว่าการฝึกฝนของเขาได้ช่วยเราเยอะมาก เราเลยรู้สึกว่ามีคอนเน็กชันกับโยคะ มีความรู้สึกที่เราพึงพอใจกับกีฬานี้ เราพึงพอใจกับการฝึกฝนนี้มากๆ 

 

 

ความรู้สึกแรกของบีที่ได้สอนโยคะเป็นอย่างไร

 

ซาบีน่า: บีรู้สึกเซอร์ไพรส์มาก บีรู้สึกว่าบีไม่ค่อยให้เครดิตตัวเองมากพอ คิดว่าเราจะดีพอไหม เรา Deserve ที่เขาจะมาให้เราดูแลเขาเหรอ แต่พอได้สอนก็เข้าใจแล้วว่าคือเขาก็มาจากศูนย์จริงๆ เพราะคลาสที่บีสอนจะเน้นไปที่ Beginner ส่วนใหญ่ พอได้สอนพวกเขาบีรู้สึกว่า เฮ้ย มันมีอะไรมากกว่าแค่ร่างกาย คนนี้ตึงตรงนี้ คนนี้เจ็บตรงนี้ คนนี้ควรปรับตรงนี้ คนนั้นควรปรับตรงนั้น อะไรแบบนั้น มันมีสีสันในแบบของมัน มันมีความเปลี่ยนแปลงทุกวัน และมันเป็นประสบการณ์ใหม่

 

 

ในวันแรกที่สอนมีความตื่นเต้นหรือกังวลไหม

 

ซาบีน่า: วันแรกในการสอนโยคะบีไม่ค่อยกังวลแบบนั้น บีโชคดีที่ว่าบีเป็น MC มาก่อน บีทำงานการแสดงมาก่อน มันก็เลยมีความกล้าพูดต่อหน้าคนหลายๆ คนโดยที่ไม่รู้สึกตื่นเต้น เราคุยกับครูหลายๆ คน เขาบอกว่าวันแรกของเขามันตื่นเต้นมาก เพราะว่าเขาไม่เคยทำงานวงการมาก่อน เขาไม่เคยต้องมาพูดต่อหน้าคนเยอะๆ นั่นก็จะเป็นสิ่งที่หลายๆ คนต้องข้ามผ่าน 

 

บีจะต้องข้ามผ่านความไม่เชื่อมั่นในตัวเองพอมากกว่า แบบว่าเขาโอเคไหม เขาทำหน้าบึ้งเขาโอเคไหม มันจะมีเสียงเล็กๆ แต่ถามว่าอายไหม รู้สึกตื่นเต้นแบบนั้นไหม ไม่ค่ะ 

 

 

 
 
 
 
 
View this post on Instagram
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

A post shared by Sabina Meisinger (@sabinameisinger)

 

 

จากที่สอนมา เจออุปสรรคอะไรระหว่างทางบ้างไหม

 

ซาบีน่า: ที่บีเจอมันน่าจะเป็นเรื่องของคนตัวตึงมากๆ ซึ่งเป็นอุปสรรคที่บีชอบที่สุดนะ เพราะเวลามากรุ๊ปคลาสแล้วจะมีคนหรือสองคนนี่แหละที่เขารู้สึกว่าตามไม่ทัน เพราะเขาตัวตึงมาก ไม่สามารถนั่งขัดสมาธิได้ อุปสรรคคือไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อนในชีวิต  

 

เราก็ต้องหาแหละ มันเป็นเหมือนเกมที่ว่าเราจะทำอย่างไรให้เขารู้สึกว่าเขานั่งแบบนี้ได้ มันเป็นอะไรที่บีก็ต้องเรียนรู้ไปกับเขา หลังคลาสนั้นบีก็ต้องทำ Research นิดหนึ่งว่า ถ้าฉันเจอคนแบบนี้มันมีทางไหนที่จะช่วยพวกเขาได้บ้าง มันเอามาจากตัวเองไม่ได้แล้ว เพราะมัน Out of My Knowledge ก็เลยต้องทำการบ้านแล้วก็กลับมาเจอเขาใหม่  

 

 

เคยมีโมเมนต์ที่อยากเลิกสอนไหม

 

ซาบีน่า: ยังไม่มี แต่ว่าบีก็ยังใหม่อยู่นะ ตรงนี้ก็ไม่ได้เป็นแพลนบี ในหัวบีไม่ได้ค่อยคิด ไม่เคยคิดว่าจะสอนคนนะ แต่ I never say never. แต่ต้องดูกันต่อไปเป็นปีก่อนมันถึงจะรู้ว่าใช่หรือไม่ใช่ ถ้าเราไม่ทำเป็นประจำหรือถ้าเราไม่ลอง เราก็จะไม่รู้ว่าใช่ไหม 

 

 

รูปแบบคลาสที่บีสอนเป็นแบบไหน

 

ซาบีน่า: อันนี้บีต้องบอกก่อนนะว่าแต่ละสตูดิโอในกรุงเทพฯ มันแตกต่างกันมากเลย แต่ละที่จะเป็นชื่อของโยคะนั้นๆ แต่ที่บีชอบเกี่ยวกับ Atha Lifestyle คือเขาแบ่งเป็นความรู้สึกแทนที่จะเป็นชื่อของโยคะนั้นๆ สำหรับคนที่กังวลที่จะเล่นโยคะ คลาสนี้ก็ชื่อว่า Feel Good, Feel Active, Feel Sweaty เขาจะได้มีเห็นภาพว่าคลาส Feel Good ฉันจะ Feel Good ให้ความรู้สึกที่ไม่ยากเกินไป ฉันทำได้ Feel Sweaty หมายความว่าฉันต้องสั่น   

 

 

 
 
 
 
 
View this post on Instagram
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

A post shared by Sabina Meisinger (@sabinameisinger)

 

 

บีคิดอย่างไรกับการมีอาชีพที่สองในสังคมสมัยนี้

 

ซาบีน่า: บีคิดว่ามันเป็นทั้งเรื่องดีและไม่ดี เรื่องดีก็คือ เราได้รายได้ 2 ทาง มันจะได้ช่วยเราด้วย อีกข้อหนึ่งก็คือ ประสบการณ์ เราอาจจะฝึกร่างกายของเราให้รับมือกับสถานการณ์ 2 อย่างได้ สามารถ Switch ตัวเองได้ นั่นก็เป็นข้อดีที่แล้วแต่บุคคลจริงๆ 

 

มาที่ข้อเสียก็คือ เราอาจจะเป็นคนยุ่งมากไปเลย หมายถึงงานมันเยอะ มันท่วมหัวเกินไป ทุกอย่างก็จะล้มเป็นโดมิโน อย่างเช่น คนที่เรารักเราไม่มีเวลาให้เขา เราขี้ลืมขึ้นเพราะมันจัดการไม่ได้ มันหลายอย่างเกินไป มันแบบจับปลาสองมือ มันแล้วแต่คนจริงๆ นะ บางคนบีเชื่อว่าทำได้ 3 งานก็มี แต่น้อยมาก เพราะว่ามันยากจริงๆ บางคนเขาทำไม่ได้ ฟังก์ชันไม่ได้ จนไม่มีเวลาไปทำอะไรอย่างอื่น แล้วมันก็เสียเวลาไปเลย

  

 

อีกอย่างหนึ่งก็คือ ถ้ามีเป้าหมายมันจะไม่ชัดเจนเวลาเรามี 2 งาน เช่น เวลาเราทำโปรเจกต์ใหญ่แล้วเรามีอันย่อยอยู่ด้วย เราจะเอาเวลาไปโฟกัสอย่างเดียวมันยากมากเลยนะ เวลาเราอยากที่จะสร้างอะไร แล้วยิ่งสร้างจากศูนย์แล้วเราไม่ให้ความสำคัญมันเป็นหลัก ก็จะกลายเป็นล่าช้าไปอีก มันก็เป็นเรื่องสำคัญที่จะเลือก Prioritize ตัวเองว่าเป้าหมายของเราคืออะไร

 

 

อยากบอกอะไรกับอาชีพที่สองของบีในตอนนี้บ้าง

 

ซาบีน่า: เรา Grateful มาก เพราะตอนนี้อยู่ในจุดที่ Priority ของเราคือการเรียนรู้และการสร้างจากศูนย์ใหม่ ฉะนั้นยังไม่มีอะไรที่มันใหญ่ มันสามารถที่จะไปเรียนรู้ทำพาร์ตไทม์ที่นี่ แล้วก็เรียนรู้อันนี้เป็นหลัก เทรนตัวเองตรงนี้ มันเป็นโรงเรียนที่ดี เพราะว่าเราได้ประสบการณ์มาอย่างฟรี มันเป็นสิ่งอะเมซิงที่สุดแล้วที่เราได้เรียนและเราได้เงินกลับมา 

 

 

“Money is not the first thing. You have to earn respect first.” การที่เราจะเริ่มทำอะไรบาง อย่างเงินต้องไม่ใช่สิ่งหลักของเรา เงินจะต้องไม่ใช่สิ่งที่เราแบบว่า พอเข้าพื้นที่หรือคอมมูนิตี้ของเขาแล้วถามว่า “เงินอยู่ไหน?” แบบนั้นมันไม่ค่อยเวิร์กเท่าไร สิ่งที่เราต้องทำคือ เราต้อง Earn Respect ก่อน หมายความว่าเราต้องเข้าไปขุด ทำในสิ่งที่พวกเขาทำมาอยู่แล้ว เข้าใจว่าเขาทำงานกันอย่างไร 

 

เข้าใจว่ามันเหนื่อยขนาดไหนก่อนที่เราจะไปคิดว่าฉันจะทำเงินอย่างไรกับตรงนี้ ถ้าเราชอบมากๆ และเราก็เชื่อว่ามีศักยภาพพอ เรามั่นใจแล้ว คราวนี้ค่อยคิดเรื่องเงิน อันนี้เป็นกฎเลย 

 

สิ่งที่บีได้เรียนรู้จากโยคะคืออะไร

 

ซาบีน่า: โยคะทำให้บีฉลาดขึ้น ทำให้บีใจเย็นลง แล้วก็ทำให้บียืดหยุ่นและสบายตัวมากขึ้น บีรู้สึกว่าสำหรับหลายๆ คนการนั่งสมาธิคือการทำจิตให้สงบ ส่วนของบีคือการเคลื่อนไหวร่างกายและนับลมหายใจ หรือไม่ก็โฟกัสที่ท่านั้นแล้วก็ Flow เหมือนคลื่น มันเป็นจุดพักผ่อนจุดหนึ่งที่ค่อนข้างสวยงาม และบีก็เรียนรู้จากเขาเยอะมาก ไม่รู้จะขอบคุณโยคะยังไง เพราะว่าเขาให้บีได้เยอะมากในราคาที่ถูกมากแทบไม่ต้องจ่ายเลย Thank You Yoga.

 

 

Sabina Meisinger 

Instagram: 

 

Special Thanks: Curve BKK 

Instagram: https://www.instagram.com/curvebkk/ 

Facebook: https://www.facebook.com/CurveBangkok

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising