เมื่อเรามีโอกาสได้มาร่วมทริปกับ MICHELIN Guide ที่ประเทศญี่ปุ่น พาสื่อมวลชนทั่วเอเชียมาเปิดตัว MICHELIN Key หรือกุญแจที่จะมอบให้กับโรงแรมที่มีความเป็นเลิศอย่างเป็นทางการ พร้อมประกาศว่าญี่ปุ่นจะเป็นประเทศแรกในเอเชียที่จะมี MICHELIN Key ก่อนใคร เราเองก็อดไม่ได้ที่นำลายแทงที่ทาง MICHELIN Guide ได้พาชาวคณะไปกิน ดื่ม เที่ยว สไตล์มิชลิน (ที่แน่นอนว่าต้องเป็นเลิศทั้งที่พักและอาหาร) ที่เมืองโตเกียวและเกียวโต นาน 4 วัน 3 โรงแรม และ 2 เมือง ซึ่งโปรแกรมทั้งหมดนั้นทางทีม Inspector ของ MICHELIN Guide ได้คัดสรรมาเป็นอย่างดี เพื่อให้เรานั้นเข้าใจและได้รับประสบการณ์ความเป็นเลิศที่ทาง MICHELIN Guide นั้นต้องการนำเสนอ ซึ่งสถานที่เหล่านี้สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติม และ (บางแห่ง) สามารถจองได้ผ่านเว็บไซต์ https://guide.michelin.com/th/th
ภาพงานประกาศเปิดตัว MICHELIN Key ที่ประเทศญี่ปุ่น / เกว็นดัล ปูลเล็นเนค (Gwendal Poullennec) ผู้อำนวยการฝ่ายจัดทำคู่มือ ‘MICHELIN Guide’ ทั่วโลก
และ ซายา มิวะ (Saya Miwa) Head of Business Development & Partnerships MICHELIN Guide ญี่ปุ่น
The Capitol Hotel Tokyu, Tokyo
โรงแรมแห่งนี้ออกแบบโดยสถาปนิกชาวญี่ปุ่นแห่งยุคอย่าง เคนโก คูมะ (Kengo Kuma) ที่เด่นเรื่องการใช้แสงธรรมชาติควบคู่กับวัสดุธรรมชาติ ซึ่งสะท้อนผ่านงานดีไซน์มินิมัล สะอาดตา แต่ยังคงกลิ่นอายของญี่ปุ่น ที่นี่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากรัฐสภาและ Imperial Palace เป็นย่านที่เงียบสงบ ไม่อึกทึกครึกโครมเหมือนชินจูกุหรือชิบูย่า ตัวโรงแรมสวยหรูไม่ให้เสียชื่อเคนโก เราชอบความผสมผสานและการจัดสรรพื้นที่ภายในห้องพักที่ผสมระหว่างตะวันตกและญี่ปุ่นได้อย่างลงตัว แถมสระว่ายน้ำของที่นี่ก็สวยงามเอามากๆ ถ้าใครได้มาพักอย่าลืมเตรียมชุดมาโดดลงสระด้วย
Yakitori Hinata
ร้านยากิโทริหรือไก่ย่างญี่ปุ่นในย่าน Minato City ของโตเกียว ที่เสิร์ฟมาในสไตล์โอมากาเสะ ร้านนี้ได้รับคำแนะนำจาก MICHELIN Guide ซึ่งไม่ได้มีแค่ไก่ย่างเท่านั้น เพราะทางร้านใช้ส่วนต่างๆ ของไก่มาทำเป็นคอร์ส ไม่ว่าจะเป็นตับไก่บด ซุปไก่ ข้าวผัดมันไก่ ฯลฯ เสิร์ฟสลับมากับไก่ย่างส่วนน่อง หนังคอไก่ อกไก่ สึคุเนะ ฯลฯ ที่ไม่ทำให้การกินไก่ทั้งมื้อเลี่ยนหรือน่าเบื่อจนเกินไป เหมาะมากที่จะสั่งไวน์ขาวมาจิบคู่กัน หรือจินโทนิกเพิ่มความสดชื่น
ส่วนหนังคอและสึคุเนะหรือไก่บดย่าง
The Tokyo EDITION, Toranomon
โรงแรมนี้ตั้งอยู่แถว Toranomon Hill ซึ่งเป็นโรงแรมที่ได้โลเคชันดีมากเพราะไม่ไกลจาก Tokyo Tower โดยเราสามารถเห็น Tokyo Tower ได้จากในห้องพัก รวมถึงบริเวณบาร์และร้านอาหารเช้าของโรงแรม ดังนั้นต่อให้ไม่ได้มาเข้าพักเราก็สามารถจองโต๊ะเพื่อมาชมวิวได้ ตัวโรงแรมได้รับการออกแบบโดย เคนโก คูมะ เช่นกัน มาในแนวมินิมัล เรียบ หรู เท่ สมเป็น The Edition อีกอย่าง Amenity ในห้องพักล้วนเป็นของ Le Labo ที่กลิ่นหอมเอามากๆ แนะนำเลยสำหรับคนที่อยากได้โรงแรมวิวดีๆ
บริเวณบาร์และห้องพัก
Katsuyoshi
ร้านทงคัตสึเจ้านี้ติดอยู่ใน Bib Gourmand ของ MICHELIN Guide ร้านขนาดเล็กซ่อนตัวอยู่ในย่าน Nihombashi Ningyocho ชั้นล่างเป็นเคาน์เตอร์บาร์ให้เรานั่งมองเชฟทอดทงคัตสึ วันนั้นเราได้ลองเซ็ตทงคัตสึที่ใช้เนื้อส่วนสันใน ซึ่งโดยปกติแล้วเนื้อส่วนนี้จะค่อนข้างลีน ไม่มีมันแทรก บางคนไม่ชอบเพราะติดที่เนื้อแห้งกระด้างเกินไป แต่ร้านนี้ทอดออกมาได้ดี ตัวสันในชุ่มฉ่ำ นุ่ม แต่ซอสของร้านนี้จะเป็นสูตรที่ไม่ใส่งาบดและมีเกลือมาให้กินคู่กับทงคัตสึ นอกจากหมูแล้วอีกสองจานที่ได้รับความนิยมคือกุ้งและหอยเชลล์ ร้านนี้แนะนำเช่นกัน
Kioicho Fukudaya
ร้านนี้ได้สองดาวมิชลินจากการเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นสไตล์ไคเซกิ ที่เสิร์ฟอาหารตามฤดูกาล ตัวร้านได้รับคำชมหนาหูในแง่ของการเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นเก่าแก่ที่ยังคงรสชาติและขนบธรรมเนียมในแบบของชาวญี่ปุ่น วันนั้นเราได้ไปลองมื้อเย็นของทางร้าน ซึ่งต้องบอกว่าเมื่อก้าวเข้าไปในร้านแล้วให้ความรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปอีกโลกหนึ่ง เมนูแต่ละจานร้อยเรียงมาอย่างกลมกล่อม ก่อนปิดด้วยจานข้าวที่วันนั้นทางร้านได้มอบโอนิกิริโรยปลาตัวเล็กหรือเกลือให้ชาวคณะเอากลับโรงแรมไปกันคนละชิ้นด้วย
The Mitsui Kyoto
ย้ายมาฝั่งเกียวโตกันบ้าง โรงแรมสุดท้ายที่เราพักในทริปนี้ได้แก่ The Mitsui Kyoto สถานที่เก่าแก่ของตระกูล Mitsui มาในสไตล์โมเดิร์นญี่ปุ่น จากการออกแบบของสถาปนิกชาวฮ่องกงอย่าง อังเดร ฟู (Andre Fu) ที่ตัวโรงแรมสวยตั้งแต่ล็อบบี้ สวนหย่อม ไปจนถึงห้องพัก แถมยังเป็นโรงแรมหรูแห่งเดียวในย่านใจกลางเมืองเกียวโตที่มีออนเซนเป็นของตัวเองอีกด้วย โรงแรมตั้งอยู่ตรงข้าม Nijo Castle เราว่าเป็นโรงแรมที่มีบาลานซ์ลงตัวระหว่างความทันสมัยและความเฮอริเทจของเกียวโต
Kikunoi Mugesambo
ร้านนี้ตั้งอยู่ในเกียวโตไม่ไกลจากวัดโคไดจิที่สามารถเดินเท้าไปได้ ตัวร้านเปิดมานาน นั่งสบาย มีวิวสวนสวยๆ ให้ชม ขายทั้งอาหารคาว ขนมหวาน ชา กาแฟ วันที่ไปเราได้ลองเซ็ตเมนูอาหารกลางวันหรือเบนโตะเซ็ต มีชาหรือกาแฟรวมด้วยอยู่ แต่ด้วยความที่ร้านนี้เป็น Coffee Shop ที่ดังเรื่องขนม โดยเฉพาะชาเขียวพาร์เฟต์ เลยมีลูกค้าเข้าร้านไม่ขาดสาย บางโต๊ะกินแค่ขนม แต่เสียดายที่วันนั้นเราสั่ง Warabimochi มาแทน ซึ่งก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน
Yusokuryori Mankamero
ร้านอาหารญี่ปุ่นเปิดมานานกว่า 300 ปี ตอนนี้เป็นรุ่นที่ 10 แล้ว ถือเป็นร้านอาหารเก่าแก่แห่งหนึ่งในเกียวโตที่คว้าสองดาวมิชลินมาครอง ที่นี่จะเสิร์ฟอาหารสไตล์ไคเซกิและเกียวเรียวกิ หรืออาหารเกียวโต ซึ่งใช้ตำรับอาหารของจักรพรรดิ ในวันนั้นเราได้ลองเป็นมื้อเย็นที่มีเมนูเด่นๆ ซึ่งเป็นไฮไลต์มากมาย ถือเป็นมื้อที่ทำให้หลายคนในคณะยกให้เป็นอันดับหนึ่งของทริปนี้ ร้านนี้ต้องจองล่วงหน้าเท่านั้น ไม่รับ Walk-in
อ่านเพิ่มเติม:
