×

“ถ้าคุณทำให้เมืองเชื่อใจคุณได้ คุณจะทำมันสำเร็จ” คุยกับเชฟ Hussain Shahzad เจ้าของร้านยอดเยี่ยม #91 แห่งเอเชีย

13.04.2025
  • LOADING...
hussain-shahzad-interview

HIGHLIGHTS

  • ร้านอาหารของเชฟชาวอินเดียคนนี้ได้มีชื่ออยู่บนลิสต์ The World’s Greatest Places of 2025 ของนิตยสาร TIME ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ฉะนั้นเผื่อใครอยากรู้ว่าเชฟเบอร์ต้นๆ ของประเทศอินเดียผู้เป็นเจ้าของร้านอาหารดัง 4 แห่งในเมืองมุมไบคนนี้เขามีวิธีคิดอย่างไร ลงมือทำอย่างไร และเขาจะขับเคลื่อนวงการไฟน์ไดนิ่งของประเทศอินเดียให้ไปในทิศทางไหน เราจะมาเล่าให้ฟังเอง

ร้านอาหารแห่งใหม่ล่าสุดของเชฟชาวอินเดียคนนี้ ฮุสเซน ชาห์ซาด (Hussain Shahzad) ได้มีชื่ออยู่บนลิสต์ The World’s Greatest Places of 2025 ของนิตยสาร TIME ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ฉะนั้นเผื่อใครอยากรู้ว่าเชฟเบอร์ต้นๆ ของประเทศอินเดียผู้เป็นเจ้าของร้านอาหารดัง 4 แห่งในเมืองมุมไบคนนี้เขามีวิธีคิดอย่างไร ลงมือทำอย่างไร และเขาจะขับเคลื่อนวงการไฟน์ไดนิ่งของประเทศอินเดียให้ไปในทิศทางไหน เราจะมาเล่าให้ฟังเอง

 

เซน ชาห์ซาด (Hussain Shahzad)

 

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เชฟฮุสเซนแวะมาประเทศไทย เขาบอกว่าเคยมาเที่ยวกรุงเทพฯ หลายครั้ง แถมยังมีเพื่อนเชฟในเมืองไทยหลายคนคอยพาไปกินของอร่อยๆ ด้วย เช่นเดียวกับครั้งนี้ที่เชฟแวะมากรุงเทพฯ และพอมีเวลาว่างมานั่งจิบกาแฟคุยกันพอดี เราจึงได้ฟังหลายเรื่องราวน่าสนใจจากหนึ่งในเชฟที่ยอดเยี่ยมที่สุดของประเทศอินเดีย ผู้อยู่เบื้องหลังร้านอาหาร The Bombay Canteen เจ้าของอันดับ 91 บนลิสต์ร้านอาหารยอดเยี่ยมระดับเอเชียปีล่าสุด (Asia’s 50 Best Restaurants 2025)

“The Bombay Canteen เป็นร้านที่เฉลิมฉลองให้กับอาหารอินเดีย เช่นเดียวกับร้านอื่นๆ ที่พวกเราทำเป็นส่วนใหญ่ด้วย ไอเดียหลักของร้านนี้คือความสนุก เข้าถึงง่าย ทุกอย่างรวดเร็ว อาหารเสิร์ฟแบบอะลาคาร์ตให้แบ่งกินด้วยกัน มีทั้งจานใหญ่ จานเล็ก และอะไรอีกมากมาย แต่สำหรับร้านใหม่ล่าสุด Papa’s ดีเอ็นเอของอาหารทั้งหมดยังเหมือนเดิม ทว่าที่นี่ผมอยากยกระดับการทำอาหารอินเดียในยุคปัจจุบัน” เชฟฮุสเซนเล่าให้ฟังถึงที่มาของร้านอาหารแห่งใหม่ที่เพิ่งเปิดมาได้ประมาณหนึ่งปี

 

ร้าน Papa’s Bombay

ร้าน Papa’s Bombay

ร้าน Papa’s Bombay

 

Papa’s เป็นร้านอาหารอินเดียสไตล์เคาน์เตอร์บาร์ขนาด 14 ที่นั่ง โดยเชฟฮุสเซนตั้งชื่อร้านตามคำที่เขาใช้เรียกเชฟอาวุโส ฟลอยด์ คาร์โดซ (Floyd Cardoz) ผู้ที่เขานับถือเสมือนพ่อ และเป็นผู้ชวนเชฟฮุสเซนให้กลับมาทำอาหารอินเดียที่ประเทศบ้านเกิดด้วยการเข้ารับตำแหน่ง Sous Chef ที่ร้าน The Bombay Canteen ตั้งแต่ปี 2015 

 

“พวกเราใช้ทั้งประสบการณ์ ความทรงจำในอดีต การเดินทาง หรือแม้กระทั่งการล่าอาณานิคม เป็นเหมือนรางนำทางในการทำอาหารในปัจจุบัน สำหรับผม ร้าน Papa’s ไม่ใช่เรื่องของตัวผมคนเดียว แต่มันคือการรวมความฝันของพวกเราทุกคนที่มีมาตลอด 10 ปี”

 

ร้าน Papa’s Bombay

 

เชฟฮุสเซนทำอาหารที่ร้าน The Bombay Canteen มาตั้งแต่เริ่มแรก ก่อนเขาจะเปิดร้านอาหารอีกแห่งของตัวเอง O Pedro ที่เสิร์ฟอาหารอินเดีย-โปรตุเกส แล้วยังมี Veronica’s ร้านแซนด์วิชสบายๆ ที่แวะมากินได้ทุกวันด้วย

 

“Papa’s เป็นน้องใหม่ที่พวกเราอยากให้ทุกคนมาสนุกด้วยกัน เหมือนมาปาร์ตี้ที่บ้านเชฟ พวกเราทำอาหารที่ได้แรงบันดาลใจมาจากอินเดีย แม้จะเสิร์ฟในบรรยากาศไฟน์ไดนิ่ง แต่มันไม่ใช่แบบที่คุณคุ้นเคยแน่นอน ผมชอบความสนุก อาจเสิร์ฟช็อตสร้างบรรยากาศบ้าง หรืออาจมีมายากลให้ดู เอาเป็นว่าพวกเราอยากให้ทุกคนที่มาได้กินสิ่งที่พวกเรารักและรู้สึกสนุกกลับไป”

 

อาหารที่ร้าน The Bombay Canteen

อาหารที่ร้าน The Bombay Canteen 

 

“ผมเข้าใจนะว่าไม่ใช่ทุกคนจะเข้าใจอาหารอินเดีย เพราะเรามีเครื่องเทศหลายชนิดมาก มีแกงหลายแบบที่คุณไม่เคยรู้จักมาก่อน บางเมนูในบางภูมิภาคผมเองก็ยังไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนก็มี ประเทศอินเดียกว้างมาก วัฒนธรรมอาหารเปลี่ยนไปทุกๆ 100 กิโลเมตร” เชฟฮุสเซนตอบเมื่อเขาถามว่าเขาสามารถทำให้อาหารอินเดียเข้าถึงผู้คนทั่วโลกได้อย่างไร ก่อนเชฟจะยกตัวอย่างด้วยการเล่าถึงเมนูที่ร้าน Papa’s ให้ฟังแล้วหิว

 

“เมนูของพวกเราเล่าอะไรไว้หลายอย่างเลย อย่างเช่นที่ร้านเราทำ Wellington เป็นเมนูที่อินเดียได้รับมาจากประเทศอังกฤษสมัยล่าอาณานิคมเมื่อ 200 ปีที่แล้ว แต่พวกเราทำให้มันเป็นสไตล์อินเดีย หลายคนที่มากินก็อาจเข้าถึงได้ไม่ยาก เพราะสุดท้ายมันก็ขึ้นอยู่กับหน้าตาและรสชาติว่าคุณจะทำให้ผู้คนประทับใจได้หรือเปล่า”

 

อาหารที่ร้าน The Bombay Canteen

อาหารที่ร้าน The Bombay Canteen

 

เชฟฮุสเซนบอกอีกว่าคนส่วนใหญ่ที่แวะมาที่ร้าน Papa’s เป็นชาวอินเดีย เราจึงมองว่าเป็นเรื่องท้าทายเหมือนกันที่เขาต้องทำอาหารให้ถูกปากและถูกใจทั้งคนในบ้านเกิดและนอกบ้านเกิดไปพร้อมๆ กัน

 

“ผู้คนต้องตั้งคำถามอยู่แล้ว พวกเขาทำแน่นอน แต่ถ้าคุณอยากเป็นส่วนหนึ่งของเมืองนั้น คุณต้องทำให้เมืองเชื่อในตัวคุณ ภูมิใจในตัวคุณ และเชื่อในสิ่งที่คุณทำ แล้วถ้าหากคุณทำสำเร็จมันจะน่าภูมิใจยิ่งกว่าสิ่งใด

 

“อย่างเช่นอีกเมนูที่พวกเราทำคือ Samosa ของกินเล่นที่คนอินเดียนิยมกินมากๆ แต่ที่ร้านเราเปลี่ยนจากห่อด้วยแป้งกรอบๆ เป็นห่อด้วยเนื้อทูน่า ตรงกลางเป็นเยลลี่ชาที่คนนิยมดื่มคู่กับขนม และจากปกติที่ Samosa เป็นของทอดร้อนๆ พวกเราเสิร์ฟแบบเย็น

 

“ผมว่ามันเป็นการฉีกกฎและภาพจำที่คนอินเดียมีต่ออาหารอินเดียเหมือนกันนะ พวกเราเก็บความเป็น Samosa ไว้ เพียงแต่เปลี่ยนรูปลักษณ์ภายนอกใหม่ พอคนอินเดียได้ลองกินพวกเขาก็ตื่นเต้นมาก นี่มันอะไรกัน! ทำไมมันเย็น! ทำไมมีทูน่าด้วย? แต่พอพวกเขาเอาเข้าปากเท่านั้นล่ะ เมื่อรสชาติที่อร่อยแผ่ซ่านออกมา พวกเขาก็ลืมไปแล้วว่านี่คือ Samosa หรือเปล่า แต่เอาเป็นว่ามันอร่อย นี่คือสิ่งที่ผมอยากให้ผู้คนได้รู้สึกจากข้างใน”

 

เซน ชาห์ซาด (Hussain Shahzad)

 

และในฐานะที่เชฟฮุสเซนเป็นหนึ่งในเชฟแนวหน้าของประเทศอินเดีย เราจึงถามเขาเกี่ยวกับวงการอาหารไฟน์ไดนิ่งในต่างแดน รวมถึงความเชื่อที่เขามีต่อการทำอาหารด้วย เพราะเชฟฮุสเซนเชื่อว่าการจะผลักดันวงการอาหารให้ไปข้างหน้าและสร้างสิ่งใหม่ขึ้นมาได้ เชฟรุ่นใหม่คือกุญแจสำคัญ เช่นเดียวกับการปลูกฝังให้พวกเขากล้าคิดนอกกรอบเดิมๆ

 

“ผมโตมาในครอบครัวมุสลิมทางตอนใต้ของอินเดีย วัฒนธรรมอาหารที่บ้านเกิดของผมแตกต่างมากๆ พวกเราจะเริ่มมื้อด้วยอะไรที่หวานก่อน หลังจากนั้นค่อยกินของคาว พวกเรากินมันสลับกัน ไม่รู้สิ แต่ผมว่ามันก็สนุกดีและน่าจะกลายเป็นสิ่งที่ปลูกฝังให้ผมทำเมนูแบบนี้ที่ร้าน Papa’s ด้วย”

 

เซน ชาห์ซาด (Hussain Shahzad)

อาหารที่ร้าน The Bombay Canteen

 

เชฟฮุสเซนบอกว่าที่ร้าน Papa’s เขาจะเริ่มเสิร์ฟด้วยของหวาน 3 คำ ทำจากทรัฟเฟิล คาเวียร์ และฟัวกราส์ ก่อนตามด้วยมื้ออาหารจริงๆ ที่จะค่อยๆ เล่าเส้นทางการเป็นเชฟของเขาตั้งแต่สมัยเรียนทำอาหารที่นิวยอร์กและได้เริ่มอาชีพเชฟที่ร้านอาหารไฟน์ไดนิ่งแพลนต์เบส Eleven Madison Park ซึ่งทำให้เขาได้เทคนิคทำอาหารฝรั่งเศสติดตัวกลับมาด้วย

 

“ผมว่าอาหารอินเดียกับอาหารไทยก็เหมือนกันตรงนี้ คือเรามีประวัติศาสตร์และเรื่องราวที่ยาวนานและมีสีสัน แต่ถ้าเรายึดติดกับมันมากไป อาหารของเราก็จะไม่พัฒนาไปไหน คุณต้องทำอะไรที่แตกต่าง และเมื่อคุณตัดสินใจที่จะสร้างสิ่งใหม่ได้แล้วค่อยมาคิดกันต่อว่าอาหารอินเดียสมัยใหม่ควรเป็นอย่างไร อาหารไทยสมัยใหม่ควรเป็นอย่างไร อนาคตของอาหารประเทศนี้ควรเป็นอย่างไร แล้วคุณค่อยสร้างแนวทางของตัวเองขึ้นมา”

 

“ฉะนั้น อย่ายึดติดอยู่กับคำว่าความดั้งเดิม (Authentic) มากเกินไป เพราะคุณจะทำได้แค่เวอร์ชันที่ดีขึ้นของจานนั้นๆ คุณไม่ได้ออกนอกกรอบหรือสร้างสิ่งใหม่ ถูกต้องที่เราควรเคารพความดั้งเดิม แต่เราควรใช้มันเป็น GPS นำทาง ส่วนจุดหมายคุณต้องเลือกเอง ผมจึงสอนทีมเสมอว่าอย่าทำลายเพียงเพื่อทำลาย เราไม่จำเป็นต้องซ่อมสิ่งที่ไม่ได้พัง แต่ถ้าคุณคิดว่าสามารถทำมันให้ดีขึ้นได้ จงใช้สิ่งเหล่านี้นำทางเรา” 

 

เชฟฮุสเซนยังบอกอีกว่า ถ้าไม่เชื่อให้ลองดูเชฟชาลีแห่ง Wana Yook ที่นำข้าวแกงมาทำใหม่ได้อย่างเหลือเชื่อดูสิ หรือเชฟปริญญ์แห่งสำรับ สำหรับไทย ที่เสิร์ฟอาหารไทยแบบตำราดั้งเดิม ทว่ามันกลับเป็นสิ่งใหม่ที่หลายคนชอบ

 

เซน ชาห์ซาด (Hussain Shahzad)

 

“สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในวงการอาหารประเทศอินเดียตอนนี้คือมีเชฟอินเดียหลายคนกลับมาทำอาหารที่บ้านเกิดเยอะมาก พวกเขากลับมาสู่มรดกของตัวเอง พวกเราเห็นคุณค่าและความงามในอาหารบ้านเกิดของตัวเอง และพวกเราอยากทำให้โลกได้รับรู้เพื่อเปลี่ยนภาพจำที่คนทั่วโลกมีต่ออาหารอินเดีย” เชฟฮุสเซนเล่าต่อ

 

“ประเทศอินเดียไม่มีรางวัลมิชลิน เวที 50 Best จึงเป็นรางวัลใหญ่ในวงการอาหารอินเดีย เชฟหลายคนจึงมุ่งมั่นในการคว้ารางวัลนี้ ทว่าสิ่งที่ผมอยากบอกเชฟรุ่นใหม่ก็คือ การมีแพสชันเป็นเรื่องดี แต่การมีวินัยก็จำเป็น เพราะมันคงเป็นไปไม่ได้ที่คุณจะตื่นมาทุกเช้าและรู้สึกมีไฟ พวกเราเป็นมนุษย์ ฉะนั้นสิ่งเดียวที่จะดันหลังให้คุณลุกไปทำงานได้ก็คือวินัยล้วนๆ สิ่งนี้จะเป็นเครื่องตัดสินชีวิตของคุณ เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่จะสอนกันได้ มันต้องใช้เวลาสร้างขึ้นมาด้วยตัวคุณเอง”

 

ดูบทความของร้าน Papa’s บนลิสต์ The World’s Greatest Places of 2025 ของนิตยสาร TIME ได้ ที่นี่ 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising