เชื่อว่ายุคนี้ความรู้สึกของผู้คนซับซ้อนและหลากหลายสุดๆ เรามักได้ยินประโยคฮิตติดปากที่กลายเป็นมีมหรือวาทกรรมในวงสนทนา อย่าง ‘ผู้ชายอยากได้แฟนเหมือนแม่’ หรือ ‘ผู้หญิงมักตกหลุมรักผู้ชายที่คล้ายพ่อ’ แต่จริงๆ แล้วประโยคพวกนี้จะจริงแค่ไหนกันนะ? บทความนี้จะชวนคุณไปสำรวจคำถามนี้แบบเป็นกลาง ไม่เหมารวม และเข้าใจธรรมชาติของความต้องการทางอารมณ์ที่มนุษย์ทุกคนมี ไม่ว่าคุณจะเป็นเพศไหนก็ตาม
วัยเด็กสร้าง ‘เรา’ ในความสัมพันธ์ตอนโต
อยากรู้ไหมว่าทำไมบางคนถึงโหยหาอะไรบางอย่างจากความรัก? หนึ่งในทฤษฎีที่อธิบายเรื่องนี้ได้แบบลึกซึ้งก็คือ ‘ทฤษฎีการผูกพัน’ (Attachment Theory) ของ John Bowlby และ Mary Ainsworth นั่นเอง ทฤษฎีนี้บอกว่าความสัมพันธ์ของเรากับคนที่เลี้ยงดูเรามาตั้งแต่เด็ก (พ่อแม่ หรือผู้ดูแลหลัก) โดยเฉพาะความสม่ำเสมอในการตอบสนองความรู้สึกของเราเนี่ยแหละ ที่ส่งผลต่อรูปแบบความสัมพันธ์ของเราตอนโต
ลองนึกภาพ ถ้าเด็กคนหนึ่งโตมาพร้อมความรู้สึกมั่นคง ได้รับการดูแลที่อบอุ่นและสม่ำเสมอ เขาหรือเธอมักจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีรูปแบบความสัมพันธ์แบบ ‘มั่นคง’ (Secure Attachment) ที่พร้อมจะสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแรงและไว้ใจกันได้ แต่ถ้าการดูแลนั้นไม่สอดคล้องบ้าง หายไปบ้าง หรือมีช่องว่างทางอารมณ์เกิดขึ้น ก็อาจนำไปสู่รูปแบบการผูกพันแบบ ‘ไม่มั่นคง’ (Insecure Attachment) เช่น แบบวิตกกังวล หรือหลีกเลี่ยง ทำให้คนคนนั้นอาจโหยหาความรัก ความเข้าใจ และการดูแลในรูปแบบที่คุ้นเคย (หรือเคยขาด) จากคนรักของตัวเองในปัจจุบัน
ไม่ใช่เรื่องของเพศ แต่คือความต้องการเบสิกของมนุษย์
ความเข้าใจผิดที่เจอบ่อยมากๆ คือการตีความว่า ‘ผู้ชายต้องการให้แฟนดูแลเหมือนแม่’ ซึ่งบางทีมันก็ทำให้เรามองข้ามความจริงที่ว่า… เฮ้ย! มนุษย์ทุกคน ไม่ว่าเพศไหน ต่างก็ต้องการการดูแล เอาใจใส่ และการเป็นที่พึ่งทางอารมณ์ในบางช่วงของชีวิตทั้งนั้นแหละนะ
การอยากให้คนรักเป็น ‘เซฟโซน’ (Safe Zone) ทางใจ ไม่ได้แปลว่าอยากเป็นเด็กอีกครั้ง หรือไม่สามารถดูแลตัวเองได้ แต่มันคือการสื่อถึงความใกล้ชิด ความไว้ใจ และการที่เรารู้สึกปลอดภัยพอที่จะยอมให้อีกฝ่ายเห็นมุมอ่อนแอของเราได้บ้าง และสิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นได้แบบ ‘สองทาง’ ในทุกเพศ ไม่ใช่บทบาทที่ต้องเป็นของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้น
การดูแลไม่ใช่หน้าที่ของใครคนเดียว
จริงอยู่ที่ในหลายวัฒนธรรม บทบาทของ ‘ผู้ให้การดูแล’ มักจะถูกเชื่อมโยงกับเพศหญิง หรือภาพของคุณแม่ แต่ในความสัมพันธ์ที่ดีงามนั้น การดูแลกันควรเป็นบทบาทที่ สลับสับเปลี่ยนกันได้ และเป็นเรื่องของการตกลงกันอย่างมีสติ ไม่ใช่หน้าที่โดยธรรมชาติของใครคนใดคนหนึ่งเลยนะ!
การดูแลกันอาจหมายถึงการรับฟังอย่างตั้งใจ ซัพพอร์ตและให้กำลังใจในเวลาที่อีกฝ่ายหมดแรง หรือเหนื่อยสุดๆ หรือทำเรื่องง่ายๆ เช่น แค่อยู่ข้างๆ คนรักโดยไม่ตัดสิน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ควรถูกผูกไว้กับเพศใดเพศหนึ่ง หรือติดกับแบบแผนเดิมๆ ที่ตอกย้ำอคติทางเพศแล้ว!
แล้วมุมมองแบบวิวัฒนาการล่ะ?
บางทฤษฎีในมุมมองวิวัฒนาการเคยเสนอว่า มนุษย์เราอาจจะถูกดึงดูดกับคนที่มีลักษณะสื่อถึง ‘ความสามารถในการเลี้ยงดู’ เพราะในอดีต สิ่งเหล่านี้มีบทบาทสำคัญต่อการอยู่รอดของลูกหลาน ทว่าทฤษฎีนี้ก็ได้รับเสียงวิจารณ์มากมายว่าไม่พอที่จะอธิบายความสัมพันธ์ยุคใหม่ที่หลากหลายและซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ ได้แล้วนะ! ในสังคมปัจจุบัน ความเท่าเทียมทางเพศ การเติบโตภายใน และการรู้จักตัวเอง มีอิทธิพลต่อการเลือกคู่มากกว่าแค่ลักษณะทางสรีระหรือบทบาทเดิมๆ ที่เคยยึดถือมาในอดีตเยอะเลยล่ะ!
เปลี่ยนมุมมอง แล้วความรักจะดีขึ้น!
แทนที่จะเอาแต่ถามว่า ‘ทำไมเขาอยากให้แฟนเหมือนแม่’ ลองเปลี่ยนมาถามตัวเองและคนรักดีกว่าไหมว่า ‘เราแต่ละคนต้องการอะไรในความสัมพันธ์เพื่อรู้สึกปลอดภัย?’ หรือ ‘รูปแบบการดูแลที่เราเคยได้รับจากแม่ ส่งผลต่อวิธีที่เราให้ความรักคนอื่นไหม?’ เมื่อเราเปลี่ยนมุมมองจากการตีตรา มาเป็นการสำรวจตัวเองและคู่ของเราด้วยความเข้าใจ จะทำให้ความสัมพันธ์แข็งแรงขึ้น และตอบสนองความต้องการลึกๆ ได้อย่างแท้จริงเลย!
ความรักที่ดี เริ่มจากการเข้าใจ
การที่บางคนรู้สึกสบายใจเมื่อได้อยู่กับคู่ที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น คล้ายกับแม่ ไม่ใช่เรื่องผิดหรือแปลกอะไรเลยนะ แต่ก็ควรระวังไม่ใช้ภาพจำเหล่านั้นมาจำกัดหรือกดทับอีกฝ่าย เพราะความสัมพันธ์ที่ดี ไม่ได้ขึ้นกับว่าใครดูแลใครมากกว่า แต่คือการเติบโตไปด้วยกัน เป็นที่พักใจให้กันในเวลาที่จำเป็น และกล้าที่จะสื่อสารความต้องการอย่างตรงไปตรงมา โดยไม่ยึดติดกับบทบาทแบบเดิมๆ ถ้าคุณกำลังตั้งคำถามเกี่ยวกับรูปแบบความรักหรือความต้องการในความสัมพันธ์ของตัวเอง ลองทบทวนวัยเด็ก หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาความสัมพันธ์ดูสิ อาจช่วยให้เข้าใจความรู้สึกของตัวเองได้ลึกและชัดเจนยิ่งขึ้นนะ!