×

ถอดบทเรียนรับมือโควิด-19 จากต่างประเทศ จุดเปลี่ยนและประสบการณ์เปิดเมืองที่ไทยต้องเรียนรู้

โดย TDRI
21.04.2020
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

  • บทความนี้จะถอดบทเรียนประสบการณ์ของหลายประเทศ โดยเริ่มต้นจากการนำเสนอ ‘5 ข้อสังเกต’ และสรุป ‘4 บทเรียน’ ของประเทศที่มีการระบาดในระดับสูง อะไรคือข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
  • ตามด้วยการพิจารณา ‘3 ความสำเร็จ’ ของประเทศที่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ค่อนข้างดี และอาจเป็นตัวอย่างให้ประเทศอื่นดำเนินมาตรการตามได้ ‘2 จุดเปลี่ยน’ แสดงประสบการณ์ที่แสดงว่า เราต้องไม่ประมาทและไม่ชะล่าใจในการควบคุมโรค
  • และประการสุดท้าย ‘1 เปิดเมือง’ คือการใช้เมืองอู่ฮั่นและหนานจิงในจีนเป็นกรณีตัวอย่างของการใช้มาตรการที่เอื้อให้สามารถเปิดเมืองได้อย่างเหมาะสม

เป็นเวลามากกว่า 3 เดือนแล้ว นับตั้งแต่การระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาในเมืองอู่ฮั่น เมืองเอกของมณฑลหูเป่ย ประเทศจีน โดยปัจจุบันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสดังกล่าวถูกจัดเป็นโรคที่มีการระบาดกระจายทั่วโลกหรือที่เรียกว่า Pandemic ตามการประกาศขององค์การอนามัยโลก เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2563 โดยในปัจจุบันได้มีการตรวจพบผู้ติดเชื้อไปแล้วใน 210 ประเทศต่อพื้นที่ทั่วทุกมุมโลก 

 

การระบาดมิได้เพียงส่งผลต่อความมั่นคงด้านสาธารณสุขและต่อชีวิตผู้ป่วยเท่านั้น แต่ยังมีผลกระทบต่อความมั่นคงของเศรษฐกิจและสังคมอย่างมาก เพราะมาตรการที่ใช้ในการควบคุมการระบาดที่เกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่ส่งผลต่อการใช้ชีวิตและการทำธุรกิจอย่างรุนแรง

 

บทความนี้จะถอดบทเรียนประสบการณ์ของหลายประเทศ โดยเริ่มต้นจากการนำเสนอ ‘5 ข้อสังเกต’ และสรุป ‘4 บทเรียน’ ของประเทศที่มีการระบาดในระดับสูง อะไรคือข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ตามด้วยการพิจารณา ‘3 ความสำเร็จ’ ของประเทศที่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ค่อนข้างดี และอาจเป็นตัวอย่างให้ประเทศอื่นดำเนินมาตรการตามได้ ‘2 จุดเปลี่ยน’ แสดงประสบการณ์ที่แสดงว่าเราต้องไม่ประมาทและไม่ชะล่าใจในการควบคุมโรค และประการสุดท้าย ‘1 เปิดเมือง’ คือการใช้เมืองอู่ฮั่นและหนานจิงในจีนเป็นกรณีตัวอย่างของการใช้มาตรการที่เอื้อให้สามารถเปิดเมืองได้อย่างเหมาะสม

 

5 ข้อสังเกต

ในขั้นแรก เราแบ่งกลุ่มประเทศสำหรับการพิจารณาออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรก (ก) ประกอบด้วย สหรัฐอเมริกา อิตาลี เยอรมนี และอังกฤษ ซึ่งปัจจุบันมียอดผู้ป่วยสะสมสูงมากกว่า 1 แสนราย และในกลุ่มที่สอง (ข) ได้แก่ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ฮ่องกงและไต้หวัน โดยมีรายละเอียดเปรียบเทียบดังแสดงในตารางที่ 1 และตั้งข้อสังเกตไว้ 5 ประการ ดังนี้

 

 

ประการแรก ความเร็วของการระบาดมีความแตกต่างกัน ซึ่งสะท้อนผลของประเภทและความทันการณ์ของมาตรการรับมือในช่วงแรก โดยในกลุ่ม (ก) ใช้เวลาในการเพิ่มจำนวนผู้ป่วยสะสมในช่วง 1,000 คนแรก เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 8 วันเท่านั้น แต่ในกลุ่ม (ข) ใช้เวลามากถึง 25 วัน 

 

ความแตกต่างดังกล่าวยิ่งชัดเจนมากยิ่งขึ้น เมื่อระยะเวลาของผู้ป่วยสะสมเพิ่มจาก 1,000 คน เป็น 10,000 คน ในกลุ่ม (ก) ใช้เวลาเฉลี่ยเพียง 10 วันเท่านั้น แต่ในกลุ่ม (ข) มีเพียงเกาหลีใต้ประเทศเดียวที่มียอดผู้ติดเชื้อสะสมถึงระดับ 10,000 คน และใช้เวลากว่า 1 เดือน กว่ายอดผู้ติดเชื้อสะสมเพิ่มจาก 1,000 คน เป็น 10,000 คน

 

ประการที่สอง เป็นที่ชัดเจนว่าในกลุ่ม (ก) เป็นพื้นที่ในยุโรปและอเมริกาเหนือ ในขณะที่ประเทศในกลุ่ม (ข) อยู่ในทวีปเอเชีย ซึ่งมีพื้นฐานทางวัฒนธรรมการใช้ชีวิตที่ค่อนข้างแตกต่าง เช่น ไม่ทักทายด้วยการสัมผัสใกล้ชิดกันมากเท่าชาวตะวันตก ชาวญี่ปุ่นเองก็มีนิสัยรักความสะอาดและใส่หน้ากากในที่สาธารณะเป็นทุนเดิม เป็นต้น

 

ประการที่สาม อัตราการเสียชีวิตของกลุ่มประเทศ (ก) สูงกว่ากลุ่ม (ข) อย่างชัดเจน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว อย่างอิตาลีและอังกฤษที่มีอัตราการตายมากกว่าร้อยละ 13

 

ประการที่สี่ ความเข้มข้นของมาตรการเว้นระยะทางสังคมที่ค่อนข้างรุนแรงจะอยู่ในกลุ่มประเทศ (ก) เป็นส่วนมาก โดยในกลุ่ม (ข) มีแนวทางในการใช้มาตรการที่เข้มข้นน้อยกว่าภายใต้สถานการณ์การระบาดที่มีความรุนแรงที่แตกต่าง

 

ประการสุดท้าย ไทยถือได้ว่าประสบความสำเร็จทั้งในด้านการชะลอการระบาด โดยใช้เวลาถึง 63 วันก่อนที่ยอดผู้ติดเชื้อสะสมจะขึ้นถึง 100 คน ในขณะที่อัตราการตายก็ค่อนข้างต่ำ

 

จากข้อสังเกตเบื้องต้น เราลองมาดูว่าสามารถถอดบทเรียนที่จะเป็นประโยชน์อย่างไรได้บ้าง

 

4 บทเรียน

ปัจจุบันปัญหาการแพร่ระบาดในกลุ่ม (ก) ยังอยู่ในขั้นวิกฤต เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตนั้นเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และอยู่ใน 10 ประเทศแรกของโลกที่มีผู้ป่วยสะสมสูงที่สุดในโลก1 โดยเป็นที่น่าสังเกตว่า แม้ประเทศเหล่านี้จะดำเนินมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมในลักษณะเดียวกันหรือกระทั่งเข้มข้นกว่ากลุ่มประเทศเอเชีย (ข) ทั้งการระงับการเดินทาง การห้ามการชุมนุม ตลอดจนคำสั่งห้ามออกจากที่พักอาศัย แต่ผลของการแพร่ระบาดยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเมื่อพิจารณาการดำเนินมาตรการของแต่ละพื้นที่โดยละเอียด จะพบ 4 บทเรียนที่สำคัญจากประเทศกลุ่มนี้

 

บทเรียนที่ 1 ความรวดเร็วและการให้ความร่วมมือของประชาชนในการใช้มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมมีผลต่อแนวโน้มการระบาด เช่น การดำเนินมาตรการในอิตาลีนั้น ถึงแม้มีการกำหนดมาตรการออกมาเพื่อจัดการปัญหาตั้งแต่ช่วงแรกของการระบาด แต่มาตราการเหล่านั้นใช้เฉพาะจุดหรือพื้นที่ชายแดนเท่านั้น แต่ในส่วนอื่นของประเทศกลับไม่ได้มีการกำหนดมาตรการที่ชัดเจนสำหรับการป้องกัน ซ้ำร้ายประชาชนก็ไม่ได้ตระหนักเกี่ยวกับความร้ายแรงของปัญหาเช่นกัน2 

 

เช่นเดียวกับมาตรการตรวจเชื้อ ติดตาม และกักกันตัว หากทำช้าก็ส่งผลให้การคุมการระบาดไม่ประสบความสำเร็จ ดังเช่นกรณีของอิตาลี ที่แม้ปัจจุบันจะมียอดการตรวจเชื้อสูงกว่า 1 ล้านเคส หรือคิดเป็นประมาณ 20,000 คนต่อประชากร 1 ล้านคน แต่ในช่วงต้นเดือนมีนาคมได้มีการตรวจไปเพียงประมาณ 20,000 เคสเท่านั้น ในขณะที่เกาหลีใต้ได้ตรวจเชื้อไปมากกว่า 1 แสนเคสในห้วงเวลาเดียวกัน และไม่เพียงอิตาลี ประเทศที่มียอดการติดเชื้อสูงล้วนมีการตรวจเชื้อน้อยกว่าเกาหลีใต้ในช่วงต้นของการระบาด ดังแสดงในรูปที่ 1

 

ยอดสะสมการตรวจโควิด-19

ภาพ: https://ourworldindata.org/covid-testing ณ วันที่ 16 เมษายน 2563

 

 

อัตราการตายที่สูงนอกจากเกิดจากโครงสร้างอายุของประชากรแล้ว ยังเกิดจากการปล่อยให้อัตราการระบาดเป็นไปอย่างรวดเร็ว จนส่งผลให้ขาดแคลนอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็น จำนวนแพทย์ที่ไม่เพียงพอ จำนวนเตียงต่อประชากรน้อยเกินไป

 

บทเรียนที่ 2 ในช่วงต้นของการแพร่ระบาด การใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ไม่ได้มาตรฐานเพียงพอในการตรวจหาเชื้อไวรัส เช่น กรณีสหรัฐอเมริกา3 และสเปน4 ทำให้ไม่สามารถตรวจหาผู้ติดเชื้อได้อย่างถูกต้อง ส่งผลทำให้ปัญหาการแพร่ระบาดเข้าขั้นวิกฤตมากขึ้น และยังทำให้บุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้อจนซ้ำเติมปัญหาการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์

 

บทเรียนที่ 3 ปัญหาด้านการสื่อสารนโยบายหรือมาตรการที่บังคับใช้ ปัญหานี้เกิดขึ้นทั้งระหว่างรัฐบาลกลางกับรัฐบาลท้องถิ่น และระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เป็นผลให้มาตรการหรือนโยบายที่ประกาศใช้ประสบปัญหาในการปฏิบัติจนทำให้ประสิทธิภาพลดลง และไม่ได้รับความร่วมมือจากประชาชน โดยปัญหาที่กล่าวนี้เกิดในทั้งสหรัฐอเมริกา อิตาลี สเปน และฝรั่งเศส5

 

บทเรียนที่ 4 ขาดการป้องกันปฏิกิริยาของประชาชนต่อมาตรการควบคุม เช่น กรณีประเทศอิตาลี เมื่อรัฐบาลวางแผนเรื่องมาตรการเข้มข้นในการปิดเมืองทางตอนเหนือของประเทศ แต่แผนการดังกล่าวรั่วไหลก่อนที่จะประกาศจริง ทำให้ประชาชนในพื้นที่แพร่ระบาดพากันอพยพออกมาและกระจายออกไปทั่วประเทศ จนเป็นสาเหตุหนึ่งทำให้มีการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วไปในทุกพื้นที่ในช่วงเวลาต่อมา6 

 

ประการนี้ประเทศไทยก็มีปัญหาเช่นกัน ในช่วงที่มีการประกาศปิดหรือลดระดับกิจกรรมในกิจการ 34 ประเภทในเขตกรุงเทพมหานคร โดยไม่มีมาตรการป้องกันการเดินทางออกจากเมืองหลวง

 

3 ความสำเร็จ

ในทางตรงกันข้าม ความสำเร็จของการดำเนินมาตรการของบางประเทศในกลุ่ม (ข) เช่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ ไต้หวัน ฮ่องกง ถือเป็นตัวอย่างที่ดีในการควบคุมการระบาดของโควิด-19 

 

ความสำเร็จของ 4 ประเทศนี้ ไม่ได้จำกัดแค่ในแง่ของจำนวนผู้ติดเชื้อสะสม (ดังเช่นกรณีไต้หวันที่ยังคงมียอดสะสมไม่ถึง 500 ราย) แต่ยังครอบคลุมถึงการชะลอของการแพร่ระบาดอย่างในฮ่องกง หรือการหยุดยั้งอัตราการเร่งของจำนวนผู้ติดเชื้อ (Flattening the Curve) ดังตัวอย่างในเกาหลีใต้ที่สามารถลดจำนวนผู้ป่วยใหม่จากเดิมที่เคยพบอยู่สูงสุด 851 รายต่อวัน ให้เหลือเพียงไม่กี่สิบรายอย่างต่อเนื่อง และสุดท้ายในแง่ของการควบคุมอัตราเสียชีวิตของสิงคโปร์ ที่อยู่เพียงร้อยละ 0.2 เท่านั้น

 

เราอาจสรุปปัจจัยแห่งความสำเร็จได้ 3 ประการ คือ

 

ความสำเร็จที่ 1 การมีระบบควบคุมโรคติดต่อที่เข้มแข็ง

ข้อสังเกตหนึ่งที่น่าสนใจคือ ประเทศในกลุ่ม (ข) หลายประเทศเคยมีประสบการณ์ต่อสู้กับการแพร่ของไวรัสโคโรนา เช่น ไต้หวัน สิงคโปร์ และฮ่องกง ต่อสู้กับ SARS ในปี 2002-2003 และเกาหลีใต้ต่อสู้กับ MERS ในปี 2015 ทำให้รัฐบาลของทั้ง 3 ประเทศ ตระหนักถึงความสำคัญในการเตรียมระบบรองรับการควบคุมโรคติดต่อ มีการลงทุนในเรื่องที่จำเป็น เช่น ห้องตรวจเชื้อ อุปกรณ์การตรวจเชื้อ เป็นต้น 

 

ส่วนประชาชนเองก็มีความตระหนักต่อความรุนแรงของปัญหาตั้งแต่ต้น และให้ความร่วมมือดี ทำให้สามารถออกมาตรการต่างๆ ได้ทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพ

 

ความสำเร็จที่ 2 การตรวจ ติดตาม และกักกัน อย่างรวดเร็ว ครอบคลุม และมีประสิทธิภาพ

มาตรการตรวจเชื้อ ติดตาม และกักกันตัว ในช่วงต้นของการระบาดได้รับการพิสูจน์ว่า มีส่วนช่วยอย่างมาก ประเทศอย่างเกาหลีใต้ ฮ่องกง และสิงคโปร์ ล้วนตรวจเชื้อไปแล้วเกินกว่า 10,000 คนต่อจำนวนประชากร 1 ล้านคน ตั้งแต่ในช่วงแรกของการระบาด เกาหลีใต้ยังได้เพิ่มการตรวจหาภูมิคุ้มกัน (Antibody) ที่ให้ผลลัพธ์ได้ภายใน 10 นาที นอกเหนือจากการตรวจแบบหาเชื้อแบบมาตรฐาน (RT-PCR) และมีมาตรการรถตรวจโควิดเคลื่อนที่ ซึ่งทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการตรวจอย่างแพร่หลาย7

 

การติดตามตัวนั้นต้องใช้เทคโนโลยีเข้าช่วยอย่างมาก ตัวอย่างเช่น เกาหลีใต้ใช้ข้อมูลการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในการติดตามประวัติการเดินทางภายในประเทศของผู้ติดเชื้อ8 การตรวจและติดตามเชิงรุกสามารถทำให้เกาหลีใต้แยกตัวผู้ป่วยออกจากสังคมได้ทันเวลา

 

ส่วนไต้หวันเป็นตัวอย่างความสำเร็จที่แม้ไม่ได้มีการตรวจเชื้อมากนัก แต่ใช้การกักบริเวณผู้มีความเสี่ยงอย่างได้ผล จนสามารถควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดได้ดี โดยที่รัฐบาลจะมีการติดต่อสอบถามความเป็นอยู่ของผู้ถูกกักบริเวณอยู่เป็นรายวัน หรือแม้กระทั่งมีอำนาจในการติดตามบุคคลที่ถูกสั่งกักบริเวณผ่านสัญญาณโทรศัพท์มือถือ9 ซึ่งหากพบว่ามีการออกนอกสถานที่หรือปิดเครื่องโทรศัพท์โดยไม่ได้รับอนุญาต ตำรวจในพื้นที่จะเข้ามาเยี่ยมพบภายใน 15 นาที พร้อมบทลงโทษปรับเงินสูงสุด 1 ล้านบาท สำหรับผู้ฝ่าฝืน10 เป็นผลให้ประชาชนให้ความร่วมมือในเรื่องนี้เป็นอย่างดี

 

ความสำเร็จที่ 3 การสื่อสารที่โปร่งใสและชัดเจน

แม้มาตรการจะถูกออกแบบมารัดกุมแค่ไหนก็สามารถล้มเหลวได้ หากปราศจากการปฏิบัติตามของประชาชน ดังนั้น มาตรการที่สิงค์โปรให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ คือ การสื่อสารของภาครัฐที่จะต้องโปร่งใส แม่นยำ และชัดเจน ทั้งในเรื่องวิธีดูแลสุขอนามัยที่ถูกต้องและมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมที่รัฐบาลเตรียมจะประกาศใช้ เพื่อสร้างความตระหนักถึงสถานการณ์ แต่ไม่ก่อให้เกิดความตระหนกแก่ประชาชน ซึ่งนำพาไปสู่ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและประชาชน ส่วนเกาหลีใต้ได้มีการส่ง SMS11 ผ่านทางโทรศัพท์มือถือ แจ้งกรณีการติดเชื้อในแต่ละวัน และเส้นทางการเดินทางของผู้ป่วย เพื่อให้ประชาชนสามารถวินิจฉัยได้ว่า ตนอยู่ในกลุ่มเสี่ยงในการติดเชื้อหรือไม่

 

2 จุดเปลี่ยน

ในบางกรณีความสำเร็จในการควบคุมการระบาดอาจเป็น ‘ภาพลวงตา’ ได้ เพราะสถานการณ์อาจเปลี่ยนพลิกได้ทุกเมื่อ ตัวอย่างเช่น ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งในช่วงแรกถูกมองว่าสามารถควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดได้ดี เพราะมีการคุมเข้มคนเข้าเมืองในพื้นที่เสี่ยงตั้งแต่เนิ่นๆ ผนวกกับปัจจัยทางวัฒนธรรม เช่น การทักทายโดยไม่สัมผัสกัน หรือการรักษาสุขอนามัยของคนญี่ปุ่นเป็นทุนเดิม 

 

ทว่า รัฐบาลญี่ปุ่นกลับชะล่าใจ ไม่เน้นการตรวจติดตามเชิงรุกเหมือนเกาหลีใต้ แถมยังไม่มีการบังคับใช้มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมที่เข้มงวดมาทดแทน ส่งผลให้ญี่ปุ่นเริ่มมีผู้ติดเชื้อรายวันหลัก 100 คน เป็นเวลาต่อเนื่องนับตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน จนท้ายที่สุดรัฐบาลญี่ปุ่นต้องประกาศคำสั่งภาวะฉุกเฉินในโตเกียวและอีก 6 จังหวัดใหญ่ในวันที่ 7 เมษายน12 และขยายออกเป็นทั่วประเทศในวันที่ 16 เมษายน13 ทั้งที่เพิ่งประกาศก่อนหน้าไม่ถึง 2 สัปดาห์ ว่าไม่จำเป็น14 

 

อีกหนึ่งตัวอย่างคือ ประเทศสิงคโปร์ ประเทศที่มีการคุมเข้มทั้งในเรื่องการตรวจติดตาม และมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมที่สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาด ก็เริ่มพบการแพร่กระจายกลุ่มใหม่ในช่วงต้นเดือนเมษายน จนทำให้มียอดสะสมเกิน 3,000 คน ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการระบาดในชุมชนคนงานต่างชาติ15 โดยคนงานเหล่านี้อาศัยอยู่ในที่พักอย่างแออัด จนทำให้เกิดการระบาดรอบใหม่ในที่สุด และยังกลายเป็นประเด็นทางสังคมว่าด้วยความไม่เท่าเทียมกันของการปฏิบัติต่อคนสิงคโปร์และต่อแรงงานต่างชาติอีกด้วย

 

จุดเปลี่ยนของทั้งสองประเทศจึงเป็นอุทาหรณ์ว่า ทุกพื้นที่ทั่วโลกไม่อาจนิ่งนอนใจได้จนกว่าจะมีการคิดค้นวัคซีนและผลิตส่งให้นานาประเทศในจำนวนมากได้สำเร็จ ทุกประเทศจึงต้องพร้อมรับมือกับการกลับมาระบาดใหม่ แม้จะดูเหมือนสามารถควบคุมหรือชะลอได้แล้วในบางขณะ

 

1 เปิดเมือง

เนื่องจากมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมก่อให้เกิดต้นทุนทางเศรษฐกิจมหาศาล หลายประเทศจึงเริ่มคิดถึงการ ‘เปิดเมืองใหม่’ หรือ Re-Opening ที่ต้องมีความสมดุลระหว่างการทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนสามารถดำเนินต่อไปได้ และ การควบคุมการระบาดไม่ให้ขยายวงมากเกินไปหรือไม่ให้กลับมาระบาดใหม่จนระบบสาธารณสุขรองรับไม่ไหว มีคนตายจำนวนมาก จนในที่สุดก็ต้องกลับมาปิดเมืองกันอีก ในที่นี้จะเสนอตัวอย่างของการเปิดเมืองอย่างระมัดระวังของจีน โดยใช้การเปิดเมืองอย่างค่อยเป็นค่อยไปของเมืองอู่ฮั่นและหนานจิงเป็นกรณีศึกษา

 

ภายหลังการปิดเมืองเป็นเวลาเกือบ 3 เดือน นับตั้งแต่การเริ่มต้นแพร่ระบาดในช่วงกลางเดือนธันวาคมปีที่แล้ว สถานการณ์ของโรคระบาดภายในเมืองอู่ฮั่นดีขึ้นมาก16 โดยในรอบ 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา พบผู้ป่วยรายใหม่เพียง 3 คน และไม่มีผู้เสียชีวิตเลยนับแต่เดือนมกราคมเป็นต้นมา17 ดังนั้น ทางการจีนจึงได้ประกาศเปิดเมืองอู่ฮั่นอย่างเป็นทางการอีกครั้งในวันที่ 8 เมษายน โดยได้แบ่งการดำเนินการออกเป็น 2 ระยะ18

 

ระยะแรก คือ การออกมาตรการในช่วงก่อนการเปิดเมืองอย่างเป็นทางการ (ก่อนวันที่ 8 เมษายน) โดยในช่วงปลายเดือนมีนาคมทางการได้เริ่มผ่อนคลายมาตรการปิดเมือง มีการอนุญาตให้ประชาชนเดินทางเข้าออกเมืองอู่ฮั่นและมณฑลหูเป่ยเป็นรายกรณี พร้อมทั้งอนุญาตให้เปิดห้างสรรพสินค้า สถานบันเทิง และสวนสนุกแบบเปิดที่อากาศมีการถ่ายเทสะดวก ซึ่งเป็นผลให้ผู้คนสามารถออกมาใช้ชีวิตนอกบ้านได้

 

ระยะที่สอง คือ มาตรการสำหรับรองรับการเปิดเมืองอย่างเป็นทางการ (หลังวันที่ 8 เมษายน) โดยเน้นการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการป้องกันและควบคุมโรค ผ่านการพัฒนาแอปพลิเคชัน Alipay และ WeChat ที่จะระบุที่อยู่ ประวัติการเดินทาง ประวัติทางการแพทย์ของเจ้าของโทรศัพท์และแสดงผลของบุคคลนั้น และจะสร้าง QR Code  3 สถานะ ได้แก่ สีเขียว หมายถึงสามารถเดินทางได้ตามปกติ สีเหลือง ต้องกักตัวเองอีก 7 วัน และสีแดง ต้องกักตัวเอง 14 วัน โดยจะอนุญาตให้เฉพาะผู้มีผล QR Code เป็นสีเขียวเท่านั้นให้สามารถเดินทางระหว่างเมือง เดินทางในระบบขนส่งสาธารณะ เข้าสถานที่ทำงาน หน่วยธุรกิจ หน่วยงานผลิตต่างๆ เช่น โรงงาน ห้างสรรพสินค้า และร้านอาหาร เป็นต้น

 

ถึงแม้สถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีมากขึ้นประกอบกับมาตรการที่ผ่อนคลาย แต่มาตรการบางอย่างยังคงมีการบังคับใช้อย่างเข้มงวด เช่น การตรวจวัดอุณหภูมิ การบังคับใส่หน้ากากอนามัย การบันทึกประวัติการเข้าออกสถานที่ การปิดสถานศึกษา การประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ 

 

นอกจากนั้นประชาชนอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป จะยังคงไม่ได้รับอนุญาตในการเดินทางหรือโดยสารรถสาธารณะ ซึ่งกลุ่มมาตรการดังกล่าวสะท้อนให้เห็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เพื่อให้ระบบเศรษฐกิจและสังคมกลับมาขับเคลื่อนได้โดยเร็ว

 

ในกรณีเมืองหนานจิง แม้จะมีจำนวนผู้ติดเชื้อน้อยกว่าอู่ฮั่นมาก คือไม่ถึง 100 คน แต่มีมาตรการจำนวนมากที่สามารถนำมาปรับใช้กับการเปิดเมืองอย่างระมัดระวังได้ เช่น การป้องกันการสัมผัสจุดเสี่ยง (มีทิชชูให้ใช้กดปุ่มลิฟต์ เน้นการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ ไม่ใช้เงินสด) การปฏิเสธหรือจำกัดการให้บริการกับลูกค้าที่ไม่ใส่หน้ากากหรือมี QR code ที่ระบุว่าเป็นกลุ่มเสี่ยง นั่งทานอาหารต้องห่างกันและไม่หันหน้าหากัน แท็กซี่มีพลาสติกกั้นระหว่างด้านหน้า (คนขับ) และด้านหลังรถ (ผู้โดยสาร) มีการฉีดพ่นฆ่าเชื้อในรถวันละ 3 ครั้ง มีแอปพลิเคชันที่บอกให้รู้ว่า บริเวณใดเป็นจุดเสี่ยง และกั้นบริเวณนั้นไม่ให้คนเข้าออกมากเกินควร 

 

การทำงานในที่ทำงานต้องระมัดระวังอย่างมาก เช่น ต้องมีหน้ากาก ถุงมือใช้ครั้งเดียว วัดอุณหภูมิพนักงานและบันทึกทุกวัน พนักงานต้องบอกว่า ไปกินข้าวที่ไหน พบใคร เดินทางมาอย่างไร หลายคนเอาข้าวกลางวันจากบ้านมาทาน เพราะเชื่อว่าไม่ปลอดภัยถ้าจะไปซื้อกินและต้องเจอคนและสัมผัส การกักกันตัวก็ทำอย่างเข้มข้นโดยลดการสัมผัสระหว่างผู้ถูกกักกันและผู้ให้บริการ เช่น จะวางข้าวไว้ให้หน้าประตูห้อง เป็นต้น

 

ตลอดช่วงระยะเวลาการแพร่ระบาดของโควิด-19 มาตรการที่แตกต่าง หลากหลายถูกนำมาทดลองและปรับใช้ในหลายพื้นที่ทั่วโลก ซึ่งมีทั้งที่เป็นบทเรียนให้พื้นที่อื่นต้องเพิ่มความระมัดระวัง ไม่ประมาทในการแพร่ระบาด หลายพื้นที่เป็นตัวอย่างของความสำเร็จ บางพื้นที่มีจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สามารถเรียนรู้และป้องกัน และบางพื้นที่เป็นตัวอย่างในการปรับเปลี่ยนมาตรการให้เหมาะสมเมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดี

 

ประเทศไทยควรเรียนรู้และประยุกต์ใช้บทเรียนความล้มเหลว มาตรการที่ประสบความสำเร็จที่หลากหลาย ภายใต้สถานการณ์การระบาดที่แตกต่างกัน โดยต้องคำนึงถึงความแตกต่างในบริบทของแต่ละประเทศที่กล่าวถึงข้างต้น ไม่ว่าจะเป็นระบบการเมืองการปกครอง วัฒนธรรม เป็นต้น เพื่อให้สามารถเลือกใช้มาตรการ ‘เปิดเมือง’ ที่เหมาะสมกับบริบทของไทยได้ โดยอาจปรับใช้แยกตามพื้นที่ แยกตามประเภทกิจกรรม และแยกตามห้วงเวลา รวมทั้งมีการประเมินผลอย่างเป็นระบบและปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมยิ่งขึ้นได้ตลอดเวลา

 

บทความโดย: 

ชาคร เลิศนิทัศน์

พุทธิพันธุ์ หิรัณยตระกูล

สถาพร น้อยจีน

สมชัย จิตสุชน

 

ข้อเสนอนี้เป็นส่วนหนึ่งของ ‘TDRI Policy Series on Fighting Covid-19’

ท่านสามารถอ่าน TDRI Policy Series on Fighting Covid-19 ได้ที่นี่

 

 

พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล

อ้างอิง: 

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising