ราคาน้ำมันดิบขยับขึ้น 2% WTI แตะ 73.4 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หวั่นวิกฤตทะเลแดงกระทบอุปทาน

ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นหลังจากอิหร่านส่งเรือรบไปยังทะเลแดงเพื่อตอบโต้การจมเรือฮูตี 3 ลำของกองทัพเรือสหรัฐฯ ในช่วงสุดสัปดาห์ ทำให้เกิดความตึงเครียดในภูมิภาค ในขณะที่เรือยังคงหลีกเลี่ยงเส้นทางน้ำหลัก

วันนี้ (2 มกราคม) ราคาน้ำมันดิบ Brent อ้างอิงทั่วโลกเพิ่มขึ้น 2.4% สู่ระดับ 78.9 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบ West Texas Intermediate ของสหรัฐฯ หรือ WTI เพิ่มขึ้น 2.4% สู่ระดับ 73.4 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

ความเคลื่อนไหวราคาน้ำมันดิบครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากมีรายงานว่ากองทัพเรือสหรัฐฯ ได้จมเรือของกลุ่มกบฏฮูตีในทะเลแดง เพื่อตอบโต้กบฏฮูตีที่ใช้ขีปนาวุธโจมตีเรือขนส่งสินค้าของบริษัทเมอส์ก (Maersk) ซึ่งสถานการณ์ตึงเครียดดังกล่าวทำให้ตลาดคาดการณ์ว่าจะส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันในตะวันออกกลาง

โดยสงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสในฉนวนกาซามีแนวโน้มที่จะขยายวงกว้าง หลังจากกลุ่มกบฏฮูตีซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธในเยเมนที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน ได้ก่อเหตุโจมตีเรือบรรทุกสินค้าในทะเลแดง โดยอ้างว่าเป็นการตอบโต้กองทัพอิสราเอลที่ใช้ปฏิบัติการทางทหารอย่างไร้มนุษยธรรมกับชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา และเตือนว่าจะโจมตีเรือทุกลำที่มุ่งหน้าไปยังอิสราเอลโดยไม่สนใจสัญชาติ เพื่อเป็นการแสดงออกถึงการสนับสนุนชาวปาเลสไตน์

อย่างไรก็ตาม ในถ้อยแถลงของโฆษกกลุ่มกบฏเมื่อวันอาทิตย์ กลุ่มฮูตียืนยันว่าเรือทั้งสองลำมีส่วนร่วมใน “หน้าที่อย่างเป็นทางการในการรักษาเส้นทางทางทะเล” ช่องข่าวของกลุ่มกบฏระบุ

“ความขัดแย้งที่เพิ่มขึ้นใดๆ ในภูมิภาคนี้ จะเพิ่มความเสี่ยงให้กับ Brent อย่างแน่นอน” Neil Beveridge นักวิเคราะห์พลังงานอาวุโสของ Bernstein กล่าวกับ CNBC อย่างไรก็ตาม เขาตั้งข้อสังเกตว่ายังไม่มีผลกระทบที่สำคัญใดๆ ในตอนนี้

“เราไม่เคยเห็นการรุกรานทางเรือของอิหร่านมาก่อน และตราบใดที่เหตุการณ์ยังไม่บานปลาย ส่วนตัวยังไม่เห็นผลกระทบที่มีนัยสำคัญ” เขากล่าวเสริม

ก่อนหน้านี้ บริษัทเดินเรือรายใหญ่หยุดเดินทางในเส้นทางคลองสุเอซและทะเลแดงเมื่อต้นเดือนธันวาคม โดยเลือกที่จะเปลี่ยนเส้นทางผ่านแอฟริกาตอนใต้แทน ซึ่งเป็นการเดินทางที่ยาวนานและมีราคาแพงกว่า โดยมีอัตราค่าระวางเรือทางทะเลสูงถึง 10,000 ดอลลาร์ต่อตู้คอนเทนเนอร์

บริษัทขนส่งสินค้าสัญชาติเยอรมัน Hapag-Lloyd กล่าวเมื่อวันศุกร์ (29 ธันวาคม) ว่า จะดำเนินการเปลี่ยนเส้นทางเรือของตนรอบๆ คลองสุเอซต่อไป

อย่างไรก็ตาม การเปิดตัว Operation Prosperity Guardian ซึ่งเป็นกองกำลังทางทะเลข้ามชาติโดยสหรัฐอเมริกา ได้เพิ่มความเชื่อมั่นให้กับบริษัทเดินเรือ Maersk บริษัทขนส่งยักษ์ใหญ่ของเดนมาร์กกล่าวเมื่อวันอาทิตย์ (31 ธันวาคม) ว่า จะกลับมาดำเนินการในทะเลแดงและอ่าวเอเดนอีกครั้ง

อ้างอิง: