KRUNGSRI EXCLUSIVE เชิญกูรูด้านเศรษฐกิจและการลงทุนในกลุ่มกรุงศรีและพันธมิตรทางธุรกิจมาร่วมวิเคราะห์ภาพรวมเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจไทย ไปจนถึงทิศทางการลงทุนในปี 2024 ในงาน ‘KRUNGSRI EXCLUSIVE Investment Outlook 2024: AI Trends and Investment Strategies’ ผ่าน 3 ประเด็นใหญ่ที่น่าสนใจ
เริ่มจาก ‘Economic Outlook and AI Trends’ ที่ได้ ดร.พิมพ์นารา หิรัญกสิ ผู้บริหารสายงานวิจัย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) มาฉายภาพกว้าง เปิดมุมมองเศรษฐกิจโลกผ่านคีย์เวิร์ดสำคัญของปีคือ Cyclical Slowdown หรือการชะลอตัวของเศรษฐกิจแบบตั้งใจจากทางฝั่งนโยบายการคลังและการเงิน และ Structural Challengers ความท้าทายที่เกิดจากโครงสร้างของเศรษฐกิจ ทั้งสองประเด็นส่งผลให้แนวโน้มเศรษฐกิจโลกมีความแตกต่างในแต่ละประเทศและแต่ละภูมิภาค
ภาพรวมของเศรษฐกิจโลกจะเห็นการชะลอตัวของฝั่งการผลิตในภาคอุตสาหกรรม ผลกระทบจากการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางหลายๆ ประเทศ ต้นทุนภาคการผลิตกลับสู่ภาวะปกติ ความต้องการแรงงานชะลอตัวลง ในขณะที่เศรษฐกิจโลกฝั่งประเทศพัฒนาแล้วภาคบริการยังขยายตัวได้
เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกายังชะลอตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป ปี 2023 ขยายตัว 2.5% คาดว่าปีนี้จะชะลอตัวลงเหลือ 2.1% จากปัจจัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขการจ้างงานชะลอตัว คาดการณ์ว่าธนาคารสหรัฐฯ จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย ขณะเดียวกันการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายนนี้จะเป็นประเด็นที่น่าจับตา ฟากยุโรปยังไม่คงที่ แต่ก็สามารถหนีภาวะถดถอยมาได้ คาดว่าการฟื้นตัวอาจช้ากว่าภูมิภาคอื่นๆ
ปีที่ผ่านมาญี่ปุ่นได้อานิสงส์จากการเปิดประเทศ แต่ปีนี้การเติบโตน่าจะชะลอตัว โดยเงินเฟ้อที่ระดับ 2% คาดว่า BOJ จะปรับนโยบายขึ้นมาเป็นบวก ด้านจีนปีนี้การเติบโตชะลอตัวลงอยู่ที่ 4.6% ปัจจัยเสี่ยงเกิดจากแรงกดดันของภาคอสังหาริมทรัพย์ อาจต้องหาโมเดลการพัฒนาเศรษฐกิจในแบบอื่น เช่น เทคโนโลยี หรือ EV
สำหรับประเทศไทย วิจัยกรุงศรีคาด GDP ปี 2024 วิจัยกรุงศรีคาด GDP โตต่ำกว่า 3% (อยู่ระหว่างปรับลดประมาณการจาก 3.4%) ปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว การบริโภคภาคเอกชน การใช้จ่ายภาครัฐ และการลงทุนภาคเอกชน ปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจขยายวงกว้าง และการเลือกตั้งในหลายประเทศ นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงจากเอลนีโญ อากาศร้อนมาพร้อมภัยแล้ง ส่งผลต่อภาคการเกษตร รวมไปถึงภาวะหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง ปัญหาเชิงโครงสร้าง ความไม่แน่นอนเชิงนโยบายจะเป็นปัจจัยเสี่ยงของเศรษฐกิจไทย
ภาคการท่องเที่ยวจะทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวเต็มที่ จากตัวเลขนักท่องเที่ยวปี 2023 กว่า 28 ล้านคน คาดปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 36 ล้านคน ที่น่ากังวลคือจำนวนนักท่องเที่ยวจีนหดตัว ดูจากเที่ยวบินปลายเดือนตุลาคม 2023 – มีนาคม 2024 พบว่ามีแค่ 40% ก่อนช่วงโควิด-19
เงินเฟ้อในไทยติดลบเป็นเดือนที่ 4 สะท้อนภาพแรงกดดันด้านเงินเฟ้ออาจไม่รุนแรงนัก คาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะคงดอกเบี้ย 2.5% ตลอดทั้งปี หากเศรษฐกิจโตไม่ดีอาจได้เห็นอัตราดอกเบี้ยลดลง
ภาพรวมเศรษฐกิจ ASEAN-5 (อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม สิงคโปร์ และไทย) เติบโตเร่งขึ้น 4.7% โดยเฉพาะอินโดนีเซียได้เร่งหนุนจากการใช้จ่ายภายในประเทศ การลงทุนภาครัฐ และ FDI จากต่างประเทศ ด้านฟิลิปปินส์โตจากแรงจับจ่ายในประเทศ รวมถึงเงินส่งกลับจากแรงงานต่างประเทศ ในขณะที่เวียดนามเติบโตจากแรงหนุน FDI และนโยบายเศรษฐกิจภาครัฐ
เมื่อพูดถึงเทรนด์ AI มูลค่าตลาดโลก GenAI อยู่ที่ 2.31 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2022 คาดว่าปี 2030 จะทะลุ 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ด้านตลาดไทยก็เพิ่มอยู่ที่ 81 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ปี 2030 จะทะลุเกิน 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
“ประเด็นที่ต้องสนใจอาจไม่ใช่เรื่องที่ว่า AI จะมาแย่งงานหรือไม่ แต่ต้องระวัง Deepfake การใช้ AI ปลอมแปลงตัวตน รวมถึงจริยธรรมในการใช้ AI ต้องใช้อย่างรับผิดชอบ และเรื่องของกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาที่ปัจจุบันยังครอบคลุมเฉพาะสิ่งที่มนุษย์สร้าง หากใช้ AI ช่วยต้องระบุว่าส่วนไหน AI สร้าง และสุดท้ายเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลในการเทรน AI” ดร.พิมพ์นารา กล่าว
สำหรับหัวข้อ ‘Unlocking Opportunities in AI Investments’ เกียรติศักดิ์ ปรีชาอนุสรณ์, CFA ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนทางเลือก บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด ชวนมองบริษัทใน 3 กลุ่มอุตสาหกรรมที่จะได้ประโยชน์จากการเติบโตของ AI ได้แก่ กลุ่ม Hardware, กลุ่ม Data Infrastructure และ กลุ่ม AI Applications
โอกาสการลงทุนปีที่ผ่านมาหุ้นในกลุ่ม Magnificent 7 มีการปรับตัวขึ้น แต่ส่วนที่เหลือของตลาดไม่ปรับตัวตาม ขณะเดียวกันหุ้นที่ได้ประโยชน์จาก AI ระยะยาวยังไม่ได้ปรับขึ้นมากนัก
ณพกิตติ์ จันทานานนท์ Southeast Asia Client Business Representative BlackRock ชวนตั้งคำถาม หากมองเศรษฐกิจมหภาคตอนนี้ถือเป็นจังหวะการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีหรือไม่นั้น และทำไม World Technology Fund ซึ่งเป็นกอง Master Fund ของ KFHTECH จาก บลจ.กรุงศรี จึงควรมีไว้ในพอร์ต
เมื่อดูสถิติช่วง 20 ปีที่ผ่านมา พบว่าจังหวะที่น่าสนใจในการลงทุนหุ้นกลุ่มนี้คือช่วงที่ Fed ขึ้นดอกเบี้ยครั้งสุดท้ายไปแล้ว เช่น ปี 2004-2006 ดอกเบี้ยขึ้นมา 4.25% ผ่านไป 1 ปี Nasdaq สร้างผลตอบแทนกว่า 21% ล่าสุด Fed ปรับดอกเบี้ยอีกครั้งในเดือนมีนาคม 2022 – กรกฎาคม 2023 อยู่ที่ 5.25% ต้องจับตามองว่าในอีก 1 ปีต่อจากนี้หุ้นกลุ่ม Tech จะสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจหรือไม่
ความท้าทายที่นักลงทุนเผชิญคือการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วในอุตสาหกรรม ยักษ์ใหญ่วงการเทคโนโลยีที่เคยเป็นเจ้าตลาดในปี 1990 เริ่มหายไป องค์กรใหม่ๆ กลายเป็นเจ้าตลาด กอง World Technology Fund จึงเป็นทางเลือกสำหรับนักลงทุนที่สนใจหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี
จุดเด่น World Technology Fund ของ BlackRock ได้แก่ การมีทีมผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์กว่า 30 ปีอยู่ที่สหรัฐฯ สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลและปรับพอร์ตทันต่อการเปลี่ยนแปลง อีกทั้งกระบวนการการลงทุนเป็นในรูปแบบ Bottom Up Approach โดยวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน ศักยภาพการเติบโตที่สูง ในแต่ละปีมีการทำ Due Diligence และ Company Visit มากกว่า 1,000 ครั้ง
ปัจจุบัน World Technology Fund มีหุ้นที่ลงทุน 100-150 ตัวจาก Investable Universe กว่า 2,500 ตัวทั่วโลก จึงมีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับพอร์ตให้ทันสถานการณ์การลงทุนตลอดเวลา และเมื่อดู Track Record ปี 2023 กอง World Technology Fund สร้างผลตอบแทนได้ถึง 49.9%
ที่สำคัญทุกกลยุทธ์การลงทุน ทีมการลงทุนจะทำงานร่วมมือกับทีม RQA ช่วยควบคุมความเสี่ยงของพอร์ตให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และสามารถสร้างผลตอบแทนให้นักลงทุนได้อย่างยั่งยืน
Mr.Nicholas Tong Head of Intermediary, Southeast Asia T. Rowe Price พูดถึงรูปแบบการลงทุนของ T. Rowe Price จะเน้นการลงทุนภาพใหญ่ของเทคโนโลยีที่ครอบคลุมเรื่องธีมหลักๆ ได้แก่ Cloud, Offline to Online, Industrialization of Technology, Artificial Intelligence, Innovation in FinTech และ Gaming โดยปี 2023 กอง T. Rowe Price ลงทุนในรูปแบบ Bottom Up หาหุ้นรายตัว และสามารถสร้างผลตอบแทน 62%
หลักคือการมองหาผู้ชนะในระยะยาวในธีม AI ยกตัวอย่างหุ้นของ Nvidia ที่แม้จะปรับตัวสูงถึง 8.5% แต่เชื่อว่ายังไปได้ต่อ มีการเพิ่มน้ำหนักการลงทุนช่วงราคาขึ้น เพราะมองว่า Nvidia เป็นส่วนสำคัญของ AI หากขาดไป ChatGPT ก็ไม่เกิด ความต้องการในตัวผลิตภัณฑ์ของ Nvidia ยังมีมหาศาล มากไปกว่านั้นคือนวัตกรรมใหม่ๆ ที่คู่แข่งตามยาก
นอกจากนี้ T. Rowe Price มองว่ากลุ่มของ Infrastructure & Enablers รวมถึง Chip Ecosystem จะมีโอกาสเติบโตแซงหน้ากลุ่มอื่นๆ ใน Ecosystem
ความแตกต่างระหว่าง KFHTECH และ KFGTECH คือ KFHTECH บริหารโดย BlackRock ลงทุนในรูปแบบ Core & Opportunistic Holding มีหุ้น 80 ตัว ส่วน KFGTECH บริหารโดย T. Rowe Price ลงทุนในรูปแบบ Highly Active มีหุ้น 46 ตัว หากเทียบความผันผวน KFGTECH จะแกว่งมากกว่า เมื่อดูค่า Standard Deviation (SD) KFHTECH จะน้อยกว่า ถ้าดูผลตอบแทนระยะยาว KFHTECH ทำได้ดีกว่า ทั้งสองกอง Overlap 47%
“KFHTECH ความผันผวนน้อยกว่า เน้นลงทุนระยะยาว และผลตอบแทนต่อเนื่อง ส่วน KFGTECH ผันผวนสูง แต่เป็นช่วงตลาดขาขึ้น หุ้น AI กำลังมา อาจได้ผลตอบแทนมากกว่า” เกียรติศักดิ์กล่าว
หัวข้อสุดท้าย ‘Investment Outlook and Flagship Funds’ วิรัตน์ วิทยศรีธาดา ผู้บริหารฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์และที่ปรึกษาการลงทุน ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) แนะ 3 ธีมหลักในการลงทุน และ 3 กองทุนที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ธีมตราสารหนี้ ผลสำรวจผู้จัดการกองทุนมองว่า ปี 2024 ตราสารหนี้จะสร้างผลตอบแทนได้ดี เนื่องจาก Fed จะปรับลดดอกเบี้ยลงมาที่ 4.6% และเงินเฟ้อมีแนวโน้มชะลอตัวลง กองที่น่าสนใจคือ KF-CSINCOM ซึ่งกองทุนรวมตราสารหนี้ต่างประเทศและเป็นกองทุนรวมหน่วยลงทุนประเภท Feeder Fund
ธีมต่อมาคือหุ้น ปัจจัยบวกคือตลาด S&P 500 ปรับขึ้นได้ดีหลังลดดอก ขณะเดียวกันปีที่ผ่านมากำไรบริษัทจดทะเบียนยังแข็งแรง แนะนำ KFGBRAND เป็นกองที่ให้น้ำหนักในกลุ่ม Healthcare, Consumer Staples และ IT รวมอยู่ที่ 67% ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ไม่ผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจ
สุดท้ายคือธีม AI โดย Bloomberg Intelligence คาดรายได้จาก GenAI จะโตเฉลี่ย 42% ต่อปีในอีก 10 ปีข้างหน้า แนะนำกอง KFHTECH กองทุนเทคโนโลยีโลกที่ลงทุนในกองทุน BGF World Technology Fund เน้นการกระจายลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำขนาดใหญ่และบริษัทที่มีศักยภาพเติบโตสูง
อิสระ อรดีดลเชษฐ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่กลุ่มงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) มองว่าสินทรัพย์เสี่ยงตอบรับการคาดการณ์การผ่อนคลายของ Fed โดย Fed ให้ความสำคัญกับภาพตลาดแรงงานและอัตราเงินเฟ้อ
“หุ้นเน้นตัวที่มีธีมชัด แนะนำกลุ่ม ICT (TRUE หรือ ADVANC) อีกสองตัวที่อยากฝากคือ MC และ SABINA หรือในกลุ่มโรงพยาบาล กลุ่มประกันสุขภาพยังซื้อได้”
อย่างไรก็ดี ในวันที่ตลาดลงทุนผันผวนสูง การมีที่ปรึกษาด้านการลงทุนที่มีความเชี่ยวชาญมาช่วยวิเคราะห์ คัดเลือก และดูแลการลงทุนของคุณเป็นทางเลือกที่ดี อย่าง ‘Krungsri Investment Intelligence’ ทีมที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญการลงทุน ที่จะช่วยดูแลต่อยอดความมั่งคั่ง พร้อมเปิดมุมมองการลงทุนจากผู้เชี่ยวชาญระดับประเทศจาก Krungsri Group รวมถึงพันธมิตรระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นทีมวิจัยกรุงศรี, ทีมงานโกลบอลมาร์เก็ตส์, ทีมงานจาก บลจ.กรุงศรี, บล.กรุงศรี และ บล.กรุงศรี พัฒนสิน และ BlackRock บริษัทจัดการกองทุนชั้นนำระดับโลก
สำหรับนักลงทุนที่สนใจสามารถปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนได้ที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยาทุกสาขาทั่วประเทศ หรือศึกษารายละเอียดและข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.krungsri.com หรือ LINE: @krungsriexclusive
- ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจในลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
- กองทุน KFGTECH และ KFGBRAND ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน จึงมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนขาดทุน หรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
- กองทุน KFGTECH และ KFHTECH ลงทุนกระจุกตัวในกลุ่มอุตสาหกรรม จึงอาจมีความเสี่ยงและความผันผวนของราคาสูงกว่ากองทุนรวมทั่วไปที่มีการกระจายการลงทุนในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม โดยหากมีปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนดังกล่าว ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก / ผู้ลงทุนควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมก่อนลงทุน
- กองทุน KF-CSINCOM อาจลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าอันดับที่สามารถลงทุนได้ (Non-Investment Grade) หรือไม่มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Unrated Bond) ในอัตราส่วนที่มากกว่าอัตราส่วนของกองทุนรวมเพื่อผู้ลงทุนทั่วไป กองทุนจึงอาจมีความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ ความเสี่ยงด้านเครดิต และความเสี่ยงด้านสภาพคล่องมากกว่ากองทุนรวมเพื่อผู้ลงทุนทั่วไป