×

“ต่อให้แพ้ก็จะสู้” คำยืนยันในวันที่ศรัทธาของ ก้องเกียรติ โขมศิริ ถูกท้าทาย

06.07.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

12 MINS READ
  • ขุนพันธ์ 2 คือผลงานเรื่องล่าสุดของ ก้องเกียรติ โขมศิริ เล่าถึงเหตุการณ์ที่ขุนพันธ์ต้องไปปราบเสือฝ้ายและเสือใบ สองเสือแห่งภาคกลาง
  • ระหว่างถ่ายทำ โขมพบปัญหาที่ทำให้ต้องตั้งคำถามกับความศรัทธาในการทำหนังของตัวเอง และพบคำตอบที่แท้จริงได้จากการไปวิ่งเทรลระยะทาง 19 กิโลเมตร
  • โขมต้องการสร้างให้ขุนพันธ์คือจักรวาลของซูเปอร์ฮีโร่แบบไทยๆ เพราะในวันที่ประเทศเราย่ำแย่ แม้แต่วูล์ฟเวอรีน กัปตันอเมริกา และซูเปอร์ฮีโร่ที่แข็งแกร่งคนอื่นๆ ก็ไม่เคยมาช่วยเหลือเรา
  • สำหรับโขม คำว่าฮีโร่ไม่มีนิยามที่ตายตัว ทุกคนสามารถเป็นฮีโร่ได้ แม้กระทั่งตัวละครฝ่ายร้ายที่ทุกคนตราหน้าว่าเลวก็ตาม

โขม-ก้องเกียรติ โขมศิริ คือหนึ่งในผู้กำกับหนังรุ่นใหม่ที่มีผลงานออกมาสู่สายตาคนไทยมากที่สุด ตลอดระยะเวลา 13 ปีนับแต่วันที่หนังเรื่อง ลองของ ผลงานเรื่องแรกเข้าฉาย เขามีผลงานกำกับออกมาแล้วทั้งหมด 9 เรื่อง สายตาหลายคู่จับจ้องไปที่เขา บ้างก็ว่าเขาทำหนังได้น่าสนใจ เป็นหนังดาร์กนัวร์ที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง แต่อีกหลายครั้งที่ต้องพบกับวิจารณ์ว่าเขาคือผู้กำกับที่ทำหนังได้น่าผิดหวัง

 

หลายครั้งที่เขาต้องกลับมาตั้งคำถามกับตัวเองว่าสิ่งที่เขาพยายามทำมาตลอดนั้นถูกต้องจริงๆ หรือเปล่า แต่ทุกครั้งเขาก็กลับมายืนหยัดได้เพราะเหตุผลเดียวคือ ‘ความรัก’ ที่มีให้กับหนังไทยที่หล่อหลอมเขามาตั้งแต่เด็ก

 

โดยเฉพาะกับ ขุนพันธ์ 2 ผลงานล่าสุดที่ต้องต่อยอดตำนานของขุนพันธรักษ์ราชเดชในมุมใหม่ที่เติบโตขึ้นกว่าเดิม ครั้งนี้ความศรัทธาของท่านขุนถูกสั่นคลอนด้วยระบบอันเน่าเฟะจนต้องผันจากตำรวจดีกลายเป็น ‘โจร’ ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ตัวของผู้กำกับอย่างเขาก็เริ่มตั้งคำถามกับตัวเองเหมือนกันในวันที่ทีมงานซึ่งเคยศรัทธาในเรื่องเดียวกันค่อยๆ ถอนตัวออกไปทีละคน

 

THE STANDARD นัดคุยกับเขาหลังจากผ่านคิวสุดท้ายของการถ่ายทำ ขุนพันธ์ 2 ที่กินเวลานานถึง 48 ชั่วโมงมาหมาดๆ หน้าตาของเขายังมีร่องรอยของความอ่อนล้าทิ้งเอาไว้ให้เห็น แต่ในหัวใจและแววตาของเขายังคงเต็มไปด้วยความรักความศรัทธาที่ยอมมอบชีวิตให้กับหนังไทย และพยายามใส่ทุกความตั้งใจเอาไว้กับหนังเรื่องนี้  

 

คำตอบของขุนพันธ์ในภาคนี้เราคงต้องไปค้นหากันในโรงภาพยนตร์ แต่ถ้าคำตอบของผู้ชายที่ชื่อ ก้องเกียรติ โขมศิริ ชัดเจนอยู่ในบทสัมภาษณ์ด้านล่างนี้แล้ว

 

 

เคยคุยกับ อนันดา เอเวอริงแฮม (รับบทเป็น ขุนพันธ์) ว่าการทำหนัง ขุนพันธ์ ทั้ง 2 ภาคคือการต่อสู้กับปัญหาและข้อจำกัดในการทำหนัง ทีมงานทุกคนต้องลงแรงกับเรื่องนี้เยอะมาก อย่างอนันดาถึงขนาดยืนหลับในกองมาแล้ว

ในมุมของเรานะ เวลาพูดถึงปัญหาและข้อจำกัด มันเป็นเรื่องปกติของการทำหนัง โดยเฉพาะการทำหนังแอ็กชันในเมืองไทย ต่อให้เงินที่ดูเหมือนจะเยอะ แต่มันก็น้อยอยู่ดี มันมีเงื่อนไขหลายอย่างที่ท้าทายคนทำงานว่าเมื่อเราเลือกที่จะขย้ำกับปัญหานี้แล้วเราจะไม่ถอย เพราะเราถอยไม่ได้ ทีมงานก็มีศรัทธาบางอย่างที่จะเลือกทำหนังแบบนี้ออกมาเหมือนกัน แม้กระทั่งนักแสดงทุกคนที่ร่วมกันสู้แบบไม่มีใครถอย โดยเฉพาะอนันดาที่ถึงกับยืนหลับในกอง อันนี้คือที่สุดของความเหนื่อยแล้วนะ แต่พอแอ็กชันปุ๊บ ทุกคนเข้าที่แล้วก็กัดฟันสู้กันต่อไป

 

แต่ถามว่าข้อจำกัดเหล่านี้มันทำร้ายเรา ทำให้หนังแย่หรือเปล่า คำตอบคือไม่ใช่ มันกลับสร้างนิมิตอีกแบบออกมา หม่อมน้อย (หม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุล – ผู้กำกับชื่อดัง) สอนผมว่าศิลปะทุกอย่างมันจะดีได้เมื่อคนทำงานส่งคลื่นพลังบางอย่างลงไปในงานชิ้นนั้น แล้วคนดูรู้สึกว่าคลื่นพลังนั้นเคลื่อนไปถึง ซึ่งเรื่องนี้มันมีพลังงานความจริงจังของคนทำหนังไทยกลุ่มหนึ่งที่เลือกสู้ในแบบของตัวเอง

 

ก่อนทำเรื่องนี้มีคนปรามาสพวกเราไว้เยอะว่าจะทำไปทำไม ทำไปก็สู้ฮอลลีวูด สู้หนังของมาร์เวลไม่ได้ แต่สิ่งที่ผมตอบได้ชัดเจนคือ ต่อให้กูแพ้ กูก็จะสู้ เพราะนี่คือหัวใจของหนังเรื่องนี้ เราหมดศรัทธาไม่ได้ ไม่ว่าจะมีอุปสรรคเข้ามาสั่นคลอนแรงศรัทธาของคุณแค่ไหน ถ้าเราเลิกเชื่อก็จบ แต่เราศรัทธาที่จะทำหนังอย่าง ขุนพันธ์ ขึ้นมา เพราะเราอยากให้ฮีโร่พันธุ์ไทยมีที่ยืนของตัวเอง เพราะเหตุผลว่าเวลาบ้านของกูฉิบหาย วูล์ฟเวอรีน กัปตันอเมริกา หรือใครก็ตามไม่ได้มาช่วยกูไง เพราะฉะนั้นถึงเวลาแล้วที่เราต้องมีฮีโร่ที่ออกมาปกป้องพวกเราเอง

 

ทุกครั้งที่ศรัทธาของคุณถูกสั่นคลอน คุณกลับมาเชื่อมั่นและศรัทธาในการทำหนังเรื่องนี้อีกครั้งได้เพราะอะไร

ยอมรับว่ามีช่วงที่เราหมดแรงไปเยอะเหมือนกันนะ ตั้งแต่ทำไปสักพักแล้วทีมงานหลายฝ่ายเริ่มไม่ไหว เริ่มจากตากล้องขอถอนตัวออกไปก่อน ตามด้วยโปรดักชันดีไซน์ขอถอนตัวไปด้วยเหตุผลว่างานมันหนักมาก และเขาทำไม่ไหวจริงๆ ซึ่งผมเข้าใจทุกคนหมดนะ ทุกคนที่ออกไปไม่มีการติดใจอะไรเลย ยังพูดติดตลกกันด้วยซ้ำว่ามึงออกตัดหน้ากูนะเนี่ย กูก็อยากเลิกเหมือนกัน (หัวเราะ) แต่ตำแหน่งผู้กำกับมันเลิกไม่ได้ไง บวกกับปัญหาฟ้าฝน สัตว์ เด็ก เอฟเฟกต์ สลิงที่ต้องเจอ

 

ก็มีคนแนะนำว่าให้ลองไปวิ่งเทรล (การวิ่งแบบผจญภัยบนพื้นที่ธรรมชาติ เช่น ป่า ภูเขา ทุ่งหญ้าตามภูมิประเทศของสถานที่จัดงาน) พอไปแล้วมันรู้สึกได้ถึงการเอาชนะตัวเอง มองเห็นว่าการทำหนังเหมือนการวิ่งขึ้นเขาเลย มันมีช่วงที่รู้สึกไม่ไหว เหนื่อย แต่มันแค่แป๊บเดียว เหนื่อยเราก็หยุด พอหายก็ไปต่อ ขอแค่อย่างเดียวคืออย่าถอยไง มันย้อนกลับมาว่านี่คือสิ่งที่ตัวละครขุนพันธ์ต้องเจอ เราจะไม่ทำให้ขุนพันธ์เป็นมนุษย์ที่ไม่มีทางเจ็บ ถึงจะคงกระพัน แต่เขามีความรู้สึก มันคือที่มาว่าขุนพันธ์ต้องเจออุปสรรคที่มาเขย่าความศรัทธาของเขาเยอะแยะมากมาย ทั้งระบบงานที่ไม่ยุติธรรม อุปสรรคพื้นฐานท่ีต้องเจอในประเทศนี้ คำถามที่ว่าตำรวจดียังมีอยู่ไหมกลายเป็นคีย์เวิร์ดสำคัญทำให้ขุนพันธ์กลายเป็นโจร มันจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อคนดีๆ ต้องเดินทางเข้าสู่ดาร์กไซด์ ประเด็นที่พูดโตขึ้นกว่าภาคที่แล้ว ไม่ใช่แค่ปราบโจรแล้วจบ

 

ประเด็นที่เลือกให้ขุนพันธ์เข้าสู่ดาร์กไซด์เริ่มต้นมาตั้งแต่เมื่อไร

เพราะภาคแรกเราวางให้ขุนพันธ์เป็นตัวแทนของศรัทธาและอาคม เมื่อต้องทำภาค 2 ให้แตกต่าง มีแค่สองสิ่งนั้นไม่พอ เราต้องท้าทายศรัทธาและอาคมในตัวของเขาด้วย ผมเชื่อว่าเวลาถูกคนอื่นมาด่าว่าเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ มันไม่เจ็บเท่าเวลาเรารู้สึกจากข้างในว่าที่ผ่านมากูกำลังเข้าใจอะไรผิดมาตลอดเลยหรือเปล่าวะ ทำไมเราต้องมายืนแข็งขืนกับกระแสความเห็นแก่ตัว ในเมื่อใครๆ เขาก็เห็นแก่ตัวกัน ทำดีไปก็ถูกเอาเปรียบ ไม่เคยได้ดี แล้วจะทำสิ่งเหล่านี้ไปทำไม

 

มันคือเมสเสจสำคัญที่ผมอยากส่งไปถึงผู้คนในปัจจุบันว่าสถานการณ์แบบไหนที่เราควรจะมีฮีโร่ ก็คือสถานการณ์แบบนี้แหละที่ผู้คนหวังพึ่งพาอะไรไม่ได้ ประเทศชาติพึ่งพาอะไรไม่ได้เลย ล้มระบบกันทุกอย่าง ตั้งคำถามกับตำรวจ ทุกคนล้วนเป็นนักวิจารณ์ นักคอมเมนต์ แต่น้อยคนจะลงมือทำ เราชอบ bully ในกันอินเทอร์เน็ต เราพึ่งพาศาสนาไม่ได้ เพราะพระเลวผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด เราจึงไปเชื่ออะไรแปลกๆ เช่น คนทรง แล้วคนพวกนี้เลยมีพื้นที่ทำมาหากิน สถานการณ์แบบนี้แหละที่ฮีโร่อย่างขุนพันธ์จะต้องกลับมา แต่เขากลับมาเพื่ออะไร เขาไม่ได้กลับมาเพื่อกู้ชาตินะ แต่กลับมาเพื่อยืนหยัดความคิดว่าอย่าเลิกเชื่อ อย่าเลิกศรัทธา แล้วตั้งใจทำมันต่อไป ต่อให้คุณอยู่ในระบบที่มันเน่าเฟะแค่ไหนก็ตาม

 

 

ถ้าคนอย่างขุนพันธ์มาเกิดในยุคนี้ คุณคิดว่าคนแบบเขาจะอยู่ในสถานการณ์แบบไหน และอยากให้เขาไปจัดการกับเรื่องอะไรบ้าง

ขุนพันธ์ก็น่าจะทำตัวเหมือนเดิม และตอนนี้อาจจะดำน้ำไปช่วยทีมหมูป่าด้วย อันนี้เราคิดเล่นๆ ตั้งคำถามกับเรื่องนี้เลยนะ คือจะเกิดอะไรขึ้นถ้าทีมหมูป่าไม่มีศรัทธาที่จะต้องมีชีวิตต่อไป จะเกิดอะไรขึ้นถ้าทีมช่วยเหลือทั้งหมดไม่มีศรัทธาที่จะไปช่วยและตามหาพวกเขาจนเจอ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราแพ้ภัยให้กับเสียงซุบซิบ จิกกัด หรือข่าวลือที่ไม่เป็นความจริงในเฟซบุ๊ก จะเกิดอะไรขึ้นกับคนบ้าบอที่อาศัยพื้นที่ตรงนี้ในการประชาสัมพันธ์ตัวเอง

 

ผมว่าเหตุการณ์นี้สำคัญและอธิบายภาพรวมของประเทศนี้ได้เลย สำหรับผมเรื่องนี้มันโพสิทีฟมากนะ ยิ่งเราตามหาพวกเขาก็ยิ่งมีความหวัง เฮ้ย ประเทศของเราไม่ได้เน่าอย่างที่คิดนะ เมื่อทุกคนเอาใจช่วยกันจริงๆ มันมีพลังงานด้านดีเกิดขึ้นอยู่ แต่ในขณะเดียวกันเราก็เห็นว่าไอ้ก้อนพลังงานเลวๆ มันก็ยังมีอยู่ และมันไม่เคยอ่อนข้อในการโผล่หน้าออกมาแบบไม่อายฟ้าดิน เรื่องนี้เขย่าให้เราได้ใช้สติปัญญาคิดว่า เมื่อพวกเขาออกมาจากถ้ำก็ไม่ควรที่จะต้องมาติดกับถ้ำในโลกความเป็นจริง บางทีในถ้ำที่เขาอยู่มันอาจจะมืด ไม่มีแสงไฟ แต่ยังมีความหวังนะ แต่ถ้าพวกเขาออกมาแล้วโดนขยี้ซ้ำ รุมทึ้ง ตีฟอง ดราม่ากันต่างๆ นานา ผมว่าตรงนี้คือจิตใจแท้ๆ ของตัวละครขุนพันธ์ว่าเมตตาที่มาพร้อมกับปัญญาเป็นเรื่องสำคัญ

 

ขอย้อนกลับไปตอนที่คุณตัดสินใจไปวิ่งเทรล นักวิ่งหลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าการวิ่งสามารถให้คำตอบกับชีวิตได้เป็นอย่างดี แม้กระทั่งการเป็นผู้กำกับหนังก็สามารถหาคำตอบจากการวิ่งเข้าเส้นชัยได้เหมือนกัน

ปกติผมวิ่งอยู่แล้วนะ เพราะผมชอบป่าชอบเขา ได้วิ่งบนนั้นแล้วสนุกดี ครั้งนั้นเป็นงานวิ่งคนเหล็กอะไรสักอย่าง ระยะทางประมาณ 19 กิโลเมตร ตอนนั้นคิดเอาไว้นะว่ายังไงก็ไม่มีทางวิ่งจบหรอก แต่สุดท้ายจบได้เว้ย คือวิ่งไปเรื่อยๆ หายใจไปเรื่อยๆ หลักสำคัญมันคือแค่นั้นเลย คิดเหมือนฟอร์เรสท์ กัมป์ ไม่ต้องคิดอะไรมาก แค่เอาเท้าอีกข้างวางไว้ข้างหน้าอีกข้างไปเรื่อยๆ สุดท้ายมันก็ถึง นี่แหละมันคือการใช้ชีวิต ทุกคนมีเส้นชัยที่อยากไปถึง แต่บางครั้งความทะเยอทะยานมันก็ไม่ต้องเปล่งพลัง มันมาจากการค่อยๆ และอย่าหยุดเท่านั้นเอง แล้วพอถึงเส้นชัย มันเป็นเส้นชัยที่สงบด้วยนะ ไม่มีดราม่า ไม่มีร้องไห้ ไม่มีเพลงบิลด์ใหญ่โต ไปถึงก็เหนื่อย นั่งพัก เปิดเบียร์เย็นๆ ไม่ยิ่งใหญ่ แต่มันภูมิใจ

 

เคยมีงานไหนที่วิ่งไม่จบบ้างหรือเปล่า

ไม่เคย มีแต่เข้าที่สุดท้ายแบบเขาจะปิดงานแล้ว จะให้เลิกก็ได้ แต่ไม่เลิก ถึงขนาดมีรถมาตามเก็บแล้ว เราก็บอกว่าพี่ไปเถอะ ปิดงานก่อนเลย แต่ผมจะวิ่งให้จบ เพราะผมวิ่งมาแล้ว พอวิ่งไปเรื่อยๆ ก็ไปเจอกลุ่มสุดท้ายเหมือนกัน กลายเป็นมาให้กำลังใจกันว่า เฮ้ย เอาอีกหน่อยเว้ยคุณ อย่าหยุด เจอคนหนึ่งอ้วนตุ้บเลยนะ แต่เขาก็ไม่หยุดเหมือนกัน

 

เปรียบเทียบการวิ่งกับการทำหนัง นักวิ่งอ้วนคนนั้นอาจจะเปรียบเทียบให้กับคนทำหนังเหมือนกันที่อาจจะไม่ได้มีความสามารถหรือมีโอกาสมากเท่าคนอื่นๆ สิ่งที่คุณทำได้ในฐานะนักวิ่งและคนทำหนังด้วยกันคืออะไร

เราคงไปดันเขาไม่ได้ แต่เราให้กำลังใจกันได้ ผมชอบความหลากหลายในสนามวิ่งมากเลยนะ มันเหมือนความหลากหลายในวงการคนทำหนัง เพียงแต่หนังไทยมันไม่หลากหลายเท่านั้นเอง ช่วงไหนอะไรกำลังมา ส่วนใหญ่ก็จะวิ่งไปทางนั้นหมด มันเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร แต่เรากลับคิดว่าทุกคนมีสิทธิ์มีเสรีที่จะทำหนังในแบบของตัวเอง พี่พชร์ อานนท์ ไม่ผิดถ้าเขาจะทำหนังแบบนั้น เต๋อ นวพล ก็ไม่ผิด พี่เก้ง จิระ พี่ปื๊ด ธนิตย์ พี่อังเคิล อดิเรก ก็ไม่ผิด โขม ก้องเกียรติ ก็ไม่ผิด รุ่นเก่ารุ่นใหม่ไม่มีใครผิดเลย

 

ซึ่งในสนามวิ่งจริงๆ มันเป็นแบบนั้น บางคนวิ่งเก่ง บางคนวิ่งช้า บางคนแต่งตัวตลก บางคนเดิน บางคนจีบกัน ขอแค่อย่าขวางคนอื่นแค่นั้นพอ มันจะเกิดสีสันของความหลากหลาย และในความหลากหลายจะทำให้เรามีอัตลักษณ์ ส่วนชอบหรือไม่ชอบ อันนี้แล้วรสนิยม หนังเรื่องนี้คุณอาจจะบอกว่าไร้สาระ เฮ้ย แต่แม่ผมอาจจะไม่คิดแบบนั้นก็ได้ เขาดูแล้วนั่งขำฉิบหายเลยนะ มันอาจจะไม่บันเทิงปัญญาของคุณ แต่มันบันเทิงอารมณ์ของเขาแค่นั้นก็พอแล้ว ถ้าไม่ชอบก็แค่ไม่ต้องดู แต่ที่ใดในโลกนี้มันล้วนหลากหลาย อุตสาหกรรมหนังที่อื่น จีน แขก หรือแม้กระทั่งลาวเขายังหลากหลายเลย

 

คนที่วิ่งไม่เก่งหรือทำหนังไม่สำเร็จมีความจำเป็นแค่ไหนกับทั้งงานวิ่งและวงการหนังในภาพรวม

เพราะมันคือสังคม เราต้องให้เกียรติสิ่งนี้ โลกไม่เคยตั้งกฎว่ามึงเป็นคนเลว เพราะฉะนั้นมึงห้ามหายใจนะ โลกนี้มันเสรีไง หรือในเส้นทางวิ่ง จะบอกว่าเส้นทางนี้มีแต่คนเก่งเท่านั้นถึงจะวิ่งได้ มันไม่ใช่ วิ่งเก่งหรือไม่เก่งมึงก็วิ่งได้ เพราะมันมีผลของมันอยู่แล้ว วิ่งไม่เก่งก็คงไม่ได้เหรียญ แต่เขาก็วิ่งถึงเส้นชัยของเขาไง เราทุกคนล้วนวิ่งเพื่อให้บรรลุในปัญญาของตัวเอง และค้นพบว่าแก่นแท้ของการวิ่ง การทำหนัง การทำงาน การใช้ชีวิต คือใครจะทำอะไรก็ได้โดยที่เราไม่มีสิทธิ์ไปชี้หน้าบอกว่ามึงโง่ มึงอ้วน มึงไม่เก่ง เพราะฉะนั้นห้ามวิ่ง ห้ามทำหนัง พระพุทธเจ้าท่านยังไม่เคยเลือกสอน จะโง่หรือฉลาดท่านสอนหมด แต่จะบรรลุสิ่งที่ท่านสอนจริงๆ หรือเปล่า มันอยู่ที่แต่ละบุคคล

 

 

คุณศรัทธาในด้านไหนของหนังแอ็กชันแบบไทยๆ บ้าง เพราะคุณพูดอยู่เสมอว่าทำหนังอย่าง ขุนพันธ์ ขึ้นมาเพื่อคารวะหนังระเบิดภูเขาเผากระท่อม

เพราะผมโตมากับมัน จำได้เลยถึงหนังเรื่อง ทอง ภาคแรกของอาหลอง (ฉลอง ภักดีวิจิตร) จากจอฉายหนังกลางแปลง พอดูจบแล้วผมวิ่งออกมาหยิบไม้มาทำเป็นปืนไล่ยิงกับเพื่อน แล้วมันคือจุดเริ่มต้นของเด็กชายก้องเกียรติ โขมศิริ ที่ชอบการดูหนังมาตั้งแต่วันนั้น หลังจากนั้นก็ไล่ดูมาเรื่อยโดยไม่เคยสงสัยหรอกว่ามันสมจริงขนาดไหน ถูกหลักกลศาสตร์หรือเปล่า รู้แต่ว่ามันสนุก มันอยู่ในสายเลือดของเรา แล้วเราอยากทำหนังแบบนี้จังเลย หนังที่คนดูสามารถสนุกไปได้ทั้งประเทศ เราอยากทำหนังที่ไม่มีวรรณะอะไรมากมายในหนัง แล้วหนังระเบิดภูเขาเผากระท่อมมันคือความบันเทิงขั้นพื้นฐานที่สามารถทำให้ดีและสนุกได้

 

และทำหนังเรื่องนี้ด้วยจิตเคารพทุกอย่างที่พูดมา ฝรั่งเขาก็มีการทำแบบนี้นะ คือการทำงานเพื่อคารวะแม่บทที่ผู้กำกับแต่ละคนนับถือ ผมก็ทำเพื่อคาวระแม่บทของหนังไทย มีคนทำหนังไทยหลายคนที่ล้มหายตายจากไปอย่างน่าเสียดาย หลายคนเป็นครูของผม เป็นต้นแบบ คารวะเขาเป็นไอดอล บัณฑิต ฤทธิ์ถกล ที่พอวันหนึ่งที่เขาจากโลกนี้ไปแล้วไม่มีใครนึกถึงเขาอีก มันน่าเศร้ามากเลยนะ

 

รวมทั้งดาราหลายๆ คนที่โลดแล่นบนแผ่นฟิล์ม ให้ความสุขกับคนดู ผมก็อยากทำหนังเพื่อคารวะคนเหล่านั้น ในเรื่องนี้ก็ได้เห็นตัวละครเก่าๆ ที่ถอดแบบมาจาก พิภพ ภู่ภิญโญ ตัวละครหัวโล้นที่มีประโยคคลาสสิกคือ กูจะยัดเยียดความเป็นผัวให้กับมึง มีพี่เป้า ปรปักษ์ (วินัย ยืนยง) ราชานักบู๊ที่ผมดูมาตั้งแต่เด็กๆ มีนักฆ่ารุ่นใหญ่ที่มารวมตัวกันเป็นนักฆ่าชุมแพ มันจะมีการยั่วล้อความรู้สึกแบบนี้อยู่ตลอดทั้งเรื่อง คนดูรุ่นก่อนก็จะได้คิดถึงบรรยากาศเก่าๆ ส่วนคนรุ่นใหม่ก็จะได้รู้ว่าความสนุกของหนังแบบนี้คืออะไร

 

ในชีวิตจริงมีใครที่คุณนับถือหรือยกย่องให้เป็นฮีโร่บ้าง

เยอะมากเลยนะ ยุคที่เพลงเพื่อชีวิตดังถึงขีดสุด ผมก็รู้สึกว่าพี่แอ๊ด คาราบาว คือฮีโร่ พอถึงยุคเขาทราย แกแล็คซี่ ที่ขึ้นชกเมื่อไรถนนจะโล่ง เพราะทุกคนต้องไปเชียร์เขาที่หน้าทีวี พี่ชายของผมก็เป็นฮีโร่ในฐานะที่ทำให้ผมได้อ่านหนังสือเยอะกว่าคนในรุ่นเดียวกัน หรือแม่ของผมก็เป็นฮีโร่ในแง่มนุษย์คนหนึ่งที่ผ่านช่วงชีวิตทั้งรวยสุด จนสุด แต่ไม่เคยสอนลูกให้มักง่ายหรือเห็นแก่ตัว แม่สอนให้ลูกๆ สู้และมีเกียรติอยู่ตลอดเวลา และเป็นฮีโร่ที่ทำให้เรายังทำหนังมาจนถึงทุกวันนี้ด้วย

 

ส่วนฮีโร่ด้านการทำหนัง คนแรกที่ยกให้เป็นพ่อในดวงใจคือ จางอี้โหมว ในด้านที่แม้จะลำบาก ถูกขับออกนอกประเทศ แต่เขาก็ยังยืนยันที่จะทำหนังของเขาต่อไป มาที่ คริสโตเฟอร์ โนแลน เป็นฮีโร่ในด้านทำหนังซูเปอร์ฮีโร่ให้ออกมาลึกซึ้ง หรือทาคาชิ มิอิเกะ ฮีโร่ด้านการทำหนังเพี้ยนๆ ที่สุดทางมากๆ และมาจบที่คนสุดท้ายคือ ตู้ฉีฟง ที่ทำให้หนังแนวมาเฟียเจ้าพ่อฮ่องกงมีความคลาสสิก เป็นหนังดาร์กที่ละเมียดละไม หรืออย่างผู้กำกับไทยรุ่นพี่ทุกคนที่ผมบอกไปแล้วก็คือฮีโร่สำหรับผมหมดเลยนะ บรรดาคนที่อยู่ในยุคของการบุกเบิกหนังไทยร่วมกันมา พอตอนนี้เป็นยุคของเรา เราเลยอยากทำหนังเพื่อคารวะฮีโร่ของเราด้วย

 

 

ถ้ามองในแง่นี้ สำหรับคุณ ฮีโร่หมายถึงใครก็ได้ รวมทั้งตัวละครที่เป็นตัวร้ายในหนังของคุณหลายๆ เรื่องก็สามารถเป็นฮีโร่ได้เหมือนกัน

ใช่ อยู่ที่ว่าเรามองฮีโร่ในแง่มุมหนึ่ง อย่าง จ๊อด ฮาวดี้ (จากเรื่อง อันธพาล) เขาคืออันธพาลนะ แต่กับแม่ น้องสาว หรือเพื่อนๆ เขาคือฮีโร่ เพราะเขารักเพื่อน รักศักดิ์ศรี และไม่ยอมก้มหัวให้กับเรื่องอะไรก็ตามที่เขาคิดว่าไม่ถูกต้อง

 

อย่างเสือใบกับเสือฝ้ายใน ขุนพันธ์ 2 ก็ชัดเจน เวลารับจ้างฆ่าใครสักคน เสือใบไม่ได้รับง่ายๆ นะ แต่ถ้ามีคนถูกเอาเปรียบจริงๆ  ถึงแม้คนนั้นจะไม่มีเงิน มีแต่ข้าวต้มมัดห่อเดียว คนอย่างเสือใบก็ยอมรับจ้างทำงานให้

 

หรืออย่างเสือฝ้าย เขาขึ้นชื่อว่าเป็นจอมโจร แต่อีกฉายาหนึ่งเขาคือจอมพลฝ้ายที่เต็มไปด้วยบารมีในพื้นที่ของเขา เขาเหมือนโลคัลฮีโร่ เหมือนนักการเมืองท้องถิ่นที่เมื่อรัฐไม่ยอมดูแลคนในพื้นที่ของเขา เขาก็เลือกที่จะดูแลคนของเขาด้วยตัวเอง เขาส่งเด็กเรียนหนังสือ อะไรที่รัฐเอาเปรียบ เสือฝ้ายสร้างให้หมด เขาสร้างโรงพยาบาล รัฐไม่ยอมส่งหมอมาช่วย เขาก็ลักพาตัวหมอมาให้ พอพูดถึงเรื่องนี้เราจะกล้าปฏิเสธได้หรือเปล่าว่าคนที่ยอมทำทุกอย่างแบบนี้ไม่ใช่ฮีโร่ตัวจริง

 

ถ้ามีผู้ปกครองพาเด็กๆ ไปดู แล้วเด็กๆ บอกว่า “ผมอยากเป็นอย่างเสือใบ-เสือฝ้าย” ขึ้นมาล่ะ

ทุกตัวละครมีจุดจบอันสมเหตุสมผลของมันครับ เพราะทุกการกระทำในเรื่องมันยืนอยู่บนหลักของศีลธรรม มันยืนอยู่บนพื้นฐานที่ว่าสุดท้ายแล้วธรรมะชนะอธรรม ทุกตัวละครมีบทเรียน มีจุดจบที่ตัวเองจะต้องเจอ เพราะไม่มีท่าทีไหนจากเรื่องนี้เลยที่บอกคนดูว่าจงลุกขึ้นมาใช้ความรุนแรงกันเถอะ ทุกอย่างมีเหตุและผลในการกระทำเสมอ

 

ตัวอย่างภาพยนตร์ ขุนพันธ์ 2

FYI
  • ตัวละครซูเปอร์ฮีโร่ที่โขมชอบมากที่สุดคือ เมกาโล่แมน ฮีโร่ผมยาวติงต๊องที่จะสูญเสียไปทันทีเมื่อถูกตัดผม
  • ขุนพันธ์ 2 เล่าถึงเหตุการณ์ที่ขุนพันธ์ต้องไปปราบเสือฝ้ายและเสือใบ สองเสือแห่งภาคกลาง คนดูจะได้เห็นขุนพันธ์ปลอมตัวเป็นโจรและสาบานเป็นพี่น้องกับสองผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้เขาค้นพบคำตอบว่า ท้ายที่สุดแล้ว ‘ความศรัทธา’ ที่เขาเคยตามหาคืออะไรกันแน่
  • ขุนพันธ์ 2 เข้าฉายวันที่ 10 สิงหาคม ทุกโรงภาพยนตร์
  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising