×

‘กอบศักดิ์’ เตือนภาคธุรกิจตั้งรับความผันผวนโลกหลังโควิดที่อาจลากยาว 2-3 ปี ชี้ไทยต้องเร่งลงทุนสร้างเครื่องยนต์ใหม่ทางเศรษฐกิจ

27.05.2022
  • LOADING...
กอบศักดิ์ ภูตระกูล

ธนาคารกรุงเทพเตือนนักธุรกิจ-นักลงทุนตั้งรับความผันผวนเศรษฐกิจโลกหลังโควิด ชี้ปัญหาความขัดแย้งก่อวิกฤตพลังงาน-ราคาอาหาร ซ้ำความปั่นป่วนในตลาดเงิน แนะ ‘ปรับตัว+เตรียมตัว’ พร้อมเข้าสู่ ‘ศตวรรษแห่งเอเชีย’ พร้อมกางโจทย์รัฐไทย เดินหน้าโครงการลงทุน ดันไทยสู่ศูนย์กลางเศรษฐกิจในโลกอนาคต

 

กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่และเลขานุการบริษัท ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวในการบรรยายพิเศษหัวข้อ ‘เศรษฐกิจ-โอกาส-ความท้าทายใหม่’ ในงานสัมมนา ‘New Chapter เศรษฐกิจไทย’ โดยระบุว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นยุคหลังการแพร่ระบาดของโควิดนั้นจะเต็มไปด้วยความผันผวน และเป็นโจทย์ใหม่ที่แตกต่างไปจากช่วงที่ผ่านมาค่อนข้างมาก จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ประกอบการและนักลงทุนจะต้องทำความเข้าใจ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการดำเนินธุรกิจในโลกยุคใหม่ หรือที่เรียกว่า New Chapter

 

สิ่งสำคัญคือต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับความผันผวนที่กำลังก่อตัวและจะเป็นประเด็นความท้าทายที่สำคัญในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า คือปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศ โดยเฉพาะสงครามรัสเซีย-ยูเครน และมาตรการคว่ำบาตรที่สหรัฐฯ และประเทศต่างๆ มีต่อรัสเซีย ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะไม่สามารถยุติลงได้ง่ายนัก ทั้งนี้ ปัญหาดังกล่าวยังก่อให้เกิดวิกฤตด้านราคาพลังงานและวิกฤตอาหารโลก ดังที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เนื่องจากรัสเซียเป็นหนึ่งในผู้ผลิตน้ำมันรายสำคัญ ทั้งยังส่งผลกระทบต่อกำลังการผลิตและส่งออกไนโตรเจนและโพแทสเซียม ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิตปุ๋ย จึงกระทบกับกำลังการผลิตอาหาร ขณะเดียวกันอีกหลายสิบประเทศกำลังตัดสินใจจะไม่ส่งออกอาหาร

 

ปัญหาจากราคาพลังงานและอาหารเป็นปัจจัยหลักที่ผลักให้ต้นทุนสินค้าต่างๆ ต้องปรับตัวสูงขึ้น และนำไปสู่อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นในระดับที่สูงสุดในรอบ 40 ปี ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะต้องตัดสินใจปรับขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสู้กับสถานการณ์นี้ ซึ่งยังไม่มีความชัดเจนว่าจะต้องขึ้นดอกเบี้ยอีกเท่าไรจึงจะรับมือกับปัญหานี้ได้

 

ขณะเดียวกัน Fed ยังต้องแก้ไขปัญหาเรื่องสภาพคล่องจำนวนมากที่เคยตัดสินใจอัดฉีดเข้ามาจำนวนมากเพื่อรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดในช่วงก่อนหน้านี้ โดยจะต้องดึงสภาพคล่องออกจากระบบ ราคาสินทรัพย์ต่างๆ ที่เคยพุ่งสูงขึ้นในช่วงโควิดระบาดก็จะเริ่มกลับข้าง ซึ่งจะสร้างความปั่นป่วนในตลาดการเงินโลก ทั้งตลาดหุ้น ตลาดพันธบัตร อัตราแลกเปลี่ยน ราคาน้ำมัน ไปจนถึงสกุลเงินดิจิทัลอย่าง Bitcoin ทั้งยังมีโอกาสสูงมากที่การขึ้นดอกเบี้ยเพื่อจัดการปัญหาดังกล่าวอาจจะนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจติดลบ หรือ Recession ในปีหน้า

 

ความผันผวนดังกล่าวนี้ยังได้ก่อให้เกิดวิกฤตในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ เช่น ศรีลังกา ทั้งกำลังลุกลามไปยังเนปาลและปากีสถาน และยังมีปัญหาเศรษฐกิจในจีนที่น่ากังวลใจเกี่ยวกับภาวะฟองสบู่ภาคอสังหาริมทรัพย์ที่มีปัญหาสะสมมาก่อนหน้านี้ ซึ่งอาจถูกกลบไปด้วยข่าวอื่นๆ ในช่วงที่ผ่านมา

 

“ทั้งหมดนี้กำลังบอกว่า 2-3 ปีข้างหน้าจะไม่ง่าย หากใครมองว่า 2-3 ปีข้างหน้าจะไปได้ ทุกอย่างจะดี ขอให้เปลี่ยนใจ เหมือนกำลังออกจากอุโมงค์หนึ่งที่พ้นจากโควิดมาแล้ว กำลังจะมาเจอมรสุมลูกใหญ่ที่กำลังก่อตัวอยู่ 4 เดือนที่ผ่านมา เราก็เริ่มเห็นแล้วว่าทุกอย่างไม่ง่าย นักลงทุนเสียหายกันเยอะแค่ไหน แต่การที่เราจะผ่านมันไปได้ต้องเห็นภาพจริงๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น สถานการณ์เป็นอย่างไร และต้องเตรียมการรับมือกับความท้าทาย ไม่ใช่แค่เฉพาะนักธุรกิจหรือนักลงทุน แต่ประเทศก็เช่นเดียวกัน” กอบศักดิ์ระบุ

 

กอบศักดิ์ยังกล่าวอีกว่า ในปี 2564 ประเทศไทยพึ่งพาการส่งออก การบริโภคในประเทศ และไทยเที่ยวไทย เป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่ในปี 2565-2567 อาจต้องพิจารณาเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ให้เศรษฐกิจไทย เนื่องจากภาคการส่งออกน่าจะถูกกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่แผ่วลง แต่ต้องเริ่มกลับมามองสิ่งที่ประเทศไทยเราพอจะทำได้ โดยเฉพาะการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ได้อนุมัติโครงการมาก่อนหน้านี้ เช่น โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC น่าจะถึงเวลาที่ต้องเริ่มดำเนินการลงทุนแล้ว ขณะเดียวกันการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ซึ่งหลายนักลงทุนกำลังหนีจากจีนและสงครามในยุโรป ดังนั้นอาเซียนจะเป็นพื้นที่ที่น่าสนใจที่สุด และที่สำคัญ ภาคท่องเที่ยวจากต่างประเทศกำลังฟื้นตัวดีขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเคยมีมูลค่าถึง 10% ของ GDP ถ้าสามารถฟื้นกลับมาได้ครึ่งหนึ่งหรือ 5% ของ GDP ก็เชื่อว่าจะทำให้เศรษฐกิจไทยมีแรงขับเคลื่อนหรือมีโมเมนตัมที่พร้อมก้าวเข้าสู่มรสุมได้ดีขึ้น

 

“หากจะมีความเสี่ยงที่จะเกิดวิกฤตในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ในอนาคต สิ่งที่เราต้องเตรียมตัวนอกจากต้องมีโมเมนตัมทางเศรษฐกิจแล้ว อีกเรื่องที่สำคัญคือเราต้องจัดการเรื่องการคลัง เราต้องคิดใหม่ว่าจะทำอย่างไรให้เราสร้างสมดุลด้านการคลังได้เร็วมากกว่านี้ พร้อมกับสร้างเสริมความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจไทย เพื่อเป็นภูมิคุ้มกันภัยให้กับประเทศซึ่งเป็นประเด็นสำคัญ รวมถึงดูแลดุลบัญชีเดินสะพัดให้ดีขึ้น ดูแลเรื่องหนี้ครัวเรือนในภาคประชาชน ส่วนเรื่องที่ดีอยู่แล้วอย่างเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ สถาบันการเงิน บริษัทเอกชน ผมเชื่อว่าประเทศไทยจะหลุดออกจากความเสี่ยงที่จะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจได้อย่างชัดเจน นี่คือสิ่งที่เราต้องเตรียมการให้พร้อมในช่วงเวลา 2 ปีจากนี้” กอบศักดิ์กล่าว

 

กอบศักดิ์กล่าวอีกว่า ในช่วงเวลารับมือกับความผันผวนนี้ ประเทศไทยต้องเตรียมการสำหรับการเข้าสู่โลกยุคใหม่ หรือ New Chapter ไปในเวลาเดียวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะโลกของความเปลี่ยนแปลง (Disruption) ทางเทคโนโลยีกำลังเกิดขึ้นและพัฒนาโลกให้ก้าวเดินไปอย่างรวดเร็วมาก ซึ่งเป็นโอกาสอย่างมหาศาล ทั้งยังเกิดขึ้นพร้อมๆ กับการเติบโตขึ้นของกลุ่มประเทศในเอเชียที่ถูกคาดการณ์ว่าอีก 30 ปีข้างหน้า เอเชียจะเป็นครึ่งหนึ่งของโลก ซึ่งจะสอดรับกับ ‘ศตวรรษแห่งเอเชีย’ ซึ่งประเทศไทยจะต้องเตรียมแผนสำหรับเปิดรับโอกาสเหล่านี้ และเป็นโจทย์ที่ต้องคิดต่อไปว่าทำอย่างไรจะให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของบริษัทต่างๆ ในภูมิภาค ทั้งในเรื่องที่ตั้งสำนักงาน ศูนย์วิจัยและพัฒนา การเชื่อมต่อด้านขนส่งและโลจิสติกส์ อุตสาหกรรมแห่งอนาคต และธุรกิจสตาร์ทอัพ

 

“ทั้งหมดนี้ผมว่าเรามีโครงการอยู่แล้ว เช่น EEC ทำอย่างไรจะขับเคลื่อนไปให้ได้ การพัฒนาย่านศูนย์กลางธุรกิจ หรือ CBD อีกหลายโซนที่กำลังเกิดขึ้น ซึ่งเหมาะสำหรับเมืองที่จะเป็นศูนย์กลางอย่างยิ่ง รวมถึงรถไฟฟ้าใต้ดินที่จะสร้างเสร็จในอีก 5 ปีข้างหน้า ระบบโลจิสติกส์ผ่านระบบราง เช่น รถไฟรางคู่ หากสามารถสร้างเสร็จและเปิดพรมแดนอย่างเต็มที่ รวมถึงการลงทุนในโครงการประตูเศรษฐกิจฝั่งตะวันตก หรือ Western Gateway ที่จะช่วยเชื่อมต่อเอเชียตะวันออกไปสู่เอเชียตะวันตก ซึ่งอาจจะเป็นศูนย์กลางใหม่ของเอเชีย ทั้งหมดนี้เราต้องเปลี่ยนประเทศไทยอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน และสำคัญที่สุดคือ ต้องลงมือทำ ซึ่งเป็นหัวใจของความสำเร็จ” กอบศักดิ์กล่าว

 


 

ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising