×

KGI DW13 รุกธุรกิจ DR ทางเลือกลงทุนในต่างประเทศ

โดย THE STANDARD TEAM
07.02.2024
  • LOADING...

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา DW หรือ Derivative Warrant เป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เราคุ้นเคยกันในฐานะเครื่องมือเก็งกำไรหุ้นไทยหรือดัชนี SET50 แม้กระทั่งในสภาวะที่ตลาดหุ้นเงียบเหงาแกว่งตัวในกรอบแคบๆ การเทรด DW มักจะยังครึกครื้นอยู่เสมอ เพราะราคา DW จะแกว่งตัวขึ้นลงแรงมากกว่าหุ้นอ้างอิงด้วยอัตราทด 5-10 เท่า ล่าสุด บล.เคจีไอ (ค่ายผู้ออก DW13) ในฐานะผู้ออก DW อันดับ 1 ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ด้วยมาร์เก็ตแชร์หุ้นไทยอันดับ 1 ที่ 47.55% ในปี 2023 ได้เข้ามารุกธุรกิจ Depositary Receipt หรือ ‘DR’ เป็นครั้งแรกด้วยการออก DR 3 ตัวพร้อมกันที่อ้างอิงกับกองทุน ETF ต่างประเทศ ที่ลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่นและตลาดหุ้นฮ่องกง (JAPAN13, HK13 และ HKTECH13)

 

ความเหมือนภายใต้ความต่างระหว่าง DW และ DR

ทั้ง DW และ DR เป็นตราสารการเงินที่เป็นตัวกลางการลงทุนให้นักลงทุน เช่น ถ้าเราลงทุนใน SET50 DW ก็จะเสมือนลงทุนบนดัชนี SET50 ด้วยการใช้ Leverage ทำให้ราคา SET50 DW จะขึ้นลงเคลื่อนไหวตามดัชนี SET50 โดย DW มีอายุจำกัดและมีค่าเสื่อมราคาทางเวลา (Time Decay) ถ้าลงทุนใน DR ก็จะเสมือนนักลงทุนลงทุนในหุ้นต่างประเทศหรือกองทุน ETF ที่ DR นั้นอ้างอิงอยู่ โดย DR ซื้อขายกันในกระดานหุ้นไทยเหมือนหุ้นไทยตัวหนึ่ง ไม่มีหมดอายุ และไม่มีค่าเสื่อมราคาทางเวลา อีกทั้งเรายังได้รับเงินปันผลของหุ้นต่างประเทศจากการส่งผ่านผลประโยชน์จากผู้ออก DR

 

คุณเจนวิทย์ ชินกุลกิจนิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการฝ่ายธุรกิจตราสารอนุพันธ์ บล.เคจีไอ ได้ให้มุมมองการเลือกลงทุน DW และ DR ที่แตกต่างกัน “การเทรด DW เหมาะกับการเก็งกำไรระยะสั้น มีโอกาสได้ผลตอบแทนสูงมาก แต่ต้องรู้จักตัดขาดทุนให้เร็ว จึงเหมาะกับการเก็งกำไรบนหุ้นหรือดัชนีที่นักลงทุนคุ้นเคย เข้าถึงข้อมูลได้รวดเร็ว เช่น หุ้นขนาดใหญ่ในไทยหรือดัชนี SET50

 

ส่วน DR เหมาะกับการลงทุนระยะยาว นักลงทุนสามารถวางแผนลงทุนในมุมมองระยะยาว เช่น อาจจะค่อยๆ ซื้อเฉลี่ย Dollar Average เมื่อราคาปรับตัวลงมา กลยุทธ์การเก็งกำไรสั้นๆ ซื้อขายเข้าออกอย่างรวดเร็วตามข่าวสารอาจจะไม่เหมาะ เพราะการเข้าถึงข้อมูลหุ้นในต่างประเทศได้ช้ากว่านักลงทุนในต่างประเทศ”

 

 

เลือกลงทุนในตลาดหุ้นที่ขึ้นร้อนแรงหรือปรับลงแรง

ในปี 2023 ที่ผ่านมา การปรับขึ้นอย่างรวดเร็วของอัตราดอกเบี้ยโดยธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา ทำให้เกิดส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงระหว่างประเทศต่างกันออกไป พร้อมกับแนวโน้มทางเศรษฐกิจที่ต่างกัน ทำให้เราเห็นดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกเคลื่อนตัวแยกกันอย่างชัดเจน ได้แก่ ดัชนี S&P500 +24% และดัชนี Nikkei225 +30% ขณะที่ดัชนี Hang Seng Index -18% และดัชนี Hang Seng TECH Index ลง -15%

 

คุณเจนวิทย์กล่าวว่า “ทาง บล.เคจีไอ เห็นความต้องการการลงทุนของนักลงทุนในปีนี้ จึงแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มคนที่ยังสนใจตลาดหุ้นที่ร้อนแรงในปี 2023 คือตลาดหุ้นญี่ปุ่น กับกลุ่มที่เชื่อว่าตลาดหุ้นที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจจีนลงมาแรง และพร้อมที่จะทยอยลงทุน

 

จึงเป็นที่มาของการเลือกออก DR ทั้ง 3 ตัวที่ลงทุนในกองทุน ETF ที่ลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่น JAPAN13 และกองทุน ETF ที่ลงทุนในตลาดหุ้นจีนและฮ่องกง HK13 และ HKTECH13”

 

โดยแต่ละตัวมีความน่าสนใจ และมองเป็นโอกาสในการลงทุนได้ดังนี้

 

  1. JAPAN13 เป็น DR ที่ออกโดย บล.เคจีไอ ลงทุนในกองทุน ETF ChinaAMC MSCI Japan Hedged to USD ETF (3160 HK) ที่มีการลงทุนให้ตลาดหุ้นญี่ปุ่นตามดัชนี MSCI Japan 100% Hedged to USD Index ซึ่งรวมถึงการลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ เช่น Toyota, Sony Group และ Mitsubishi UFJ Financial Group เป็นต้น โดยในปี 2023 ราคากองทุน ETF นี้ปรับตัวขึ้นถึง 32.7% และมีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการสูงถึงกว่า 1.1 หมื่นล้านบาท

 

ข้อมูลเพิ่มเติม JAPAN13 คลิก: https://www.thaiwarrant.com/dr/JAPAN13

 

  1. HK13 เป็น DR ที่ลงทุนในกองทุน ETF Tracker Fund of Hong Kong (2800 HK) เป็นกองทุนที่ลงทุนตามดัชนี Hang Seng ซึ่งทำให้มีราคาเคลื่อนไหวใกล้เคียงกับดัชนี Hang Seng ซึ่งเป็นดัชนีที่ครอบคลุมหุ้นประมาณ 80 บริษัทที่มีการทำธุรกิจในประเทศจีนและฮ่องกง เช่น HSBC Holding, Tencent, AIA Group, Alibaba และ China Mobile เป็นต้น กองทุนมีสินทรัพย์ภายใต้การจัดการสูงถึงกว่า 5 แสนล้านบาท

 

ข้อมูลเพิ่มเติม HK13 คลิก: https://www.thaiwarrant.com/dr/HK13

 

  1. HKTECH13 เป็น DR ที่ลงทุนในกองทุน Hang Seng TECH Index ETF (3032 HK) ที่มีนโยบายการลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีขนาดใหญ่ และทำธุรกิจในประเทศจีนเป็นหลัก โดยครอบคลุมหุ้น 30 ตัวตามดัชนี Hang Seng TECH เช่น Xiaomi, Tencent, NetEase, Alibaba และ SMIC เป็นต้น โดยกองทุนนี้มีสินทรัพย์ภายใต้การจัดการสูงถึงกว่า 1.1 หมื่นล้านบาท

 

ข้อมูลเพิ่มเติม HKTECH13 คลิก: https://www.thaiwarrant.com/dr/HKTECH13

 

 

มาตรฐานการดูแลสภาพคล่องของ DR

แม้ DR จะเป็นการลงทุนในกองทุน ETF ต่างประเทศ แต่การซื้อขาย DR ในข้างต้นจะเป็นการซื้อขายผ่านกระดานหุ้นไทย โดยมีผู้ดูแลสภาพคล่องเป็นทีมงาน KGI DW13 ซึ่งมีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในการเป็นผู้ดูแลสภาพคล่อง DW13 มาอย่างยาวนาน “ทางทีมงานได้พัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในการดูแลสภาพคล่องของ DR ด้วยมาตรฐานเดียวกับการดูแลสภาพคล่องของ DW โดยโปรแกรมคอมพิวเตอร์จะมีการปรับปริมาณ Bid-Offer ของ DR ตามสภาพคล่องของหุ้นอ้างอิงที่ฮ่องกง ดังนั้นในช่วงที่ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดทำการ โปรแกรมคอมพิวเตอร์จะมีการวาง Bid-Offer ของ DR ได้สูงกว่าในช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นฮ่องกงปิด และโปรแกรมจะขยับราคาของ DR ขึ้นลงตามราคาหุ้นอ้างอิงอย่างต่อเนื่อง” คุณเจนวิทย์กล่าวทิ้งท้าย

 

อย่างไรก็ตาม ก่อนการลงทุนเราต้องศึกษาถึงความเสี่ยงของการลงทุนใน DR นี้ให้ครบถ้วน ความเสี่ยงที่สำคัญนอกจากจะเป็นเรื่องของราคาหุ้นปรับตัวลงแล้ว ยังมีความเสี่ยงของค่าเงินเนื่องจากการลงทุน DR ทั้งหมดนี้เป็นการลงทุนในสกุลเงินดอลลาร์ฮ่องกง ดังนั้นถ้าค่าเงินดอลลาร์ฮ่องกงอ่อนตัวลงเทียบกับเงินบาทก็อาจจะทำให้ขาดทุนได้

 

ศึกษาข้อมูล DR13 เพิ่มเติมที่:

https://www.thaiwarrant.com/dr/search/dr13

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising