การตัดสินใจผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์เกือบเต็มรูปแบบของสหราชอาณาจักร ที่เริ่มต้นเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคมที่ผ่านมา ดูเหมือนจะเป็นการตัดสินใจที่สร้างความกังวลให้กับบรรดาผู้เชี่ยวชาญในตอนแรก เนื่องจากในขณะนั้น สถานการณ์ระบาดของโรคโควิดยังคงอยู่ในช่วง ‘ขาขึ้น’ โดยจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงต่อเนื่อง จากราว 10,000 คนต่อวันในเดือนมิถุนายน ทะลุหลัก 50,000 คนในวันที่ 16 กรกฎาคม หรือ 3 วันก่อนการคลายล็อกดาวน์
แต่หลังจากวันที่ 19 กรกฎาคม สถานการณ์แพร่ระบาดกลับค่อยๆ ลดระดับลง สวนทางคำวิจารณ์ของผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันลดลงต่อเนื่อง จนถึงเมื่อวานนี้ (1 สิงหาคม) ลดลงมาอยู่ที่ราว 24,000 คน และมีแนวโน้มที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่จำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิดก็ไม่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉลี่ยอยู่ที่ราว 80-130 คนในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
แล้วอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อของสหราชอาณาจักรไม่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งที่การผ่อนคลายล็อกดาวน์แทบทั้งหมด ทำให้ประชาชนมีการรวมกลุ่มและติดต่อใกล้ชิด เพิ่มความเสี่ยงในการแพร่เชื้อที่มากกว่าเดิม?
คำตอบนี้คงต้องย้อนไปดูในหลายปัจจัยแวดล้อม ที่เกิดจากความพยายามรับมือโควิดของรัฐบาลสหราชอาณาจักรในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลถึงภาพรวมของสถานการณ์ในตอนนี้
ความสำเร็จจากการล็อกดาวน์
- ที่ผ่านมารัฐบาลสหราชอาณาจักรทำการล็อกดาวน์เพื่อรับมือการแพร่ระบาดของโควิดมาแล้ว 3 รอบ ซึ่งการล็อกดาวน์รอบล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา หลังการแพร่ระบาดระลอกที่ 3 ทวีความรุนแรง จนมีผู้ติดเชื้อสูงกว่า 60,000 คนต่อวัน
- การบังคับใช้มาตรการเป็นไปอย่างเข้มงวด โดยอนุญาตให้ประชาชนออกนอกบ้านเฉพาะบางกรณีที่จำเป็น เช่น ออกไปซื้อสิ่งของจำเป็น, ออกไปทำงาน, ออกกำลังกายในพื้นที่, ไปหาหมอ
- ปิดโรงเรียน สถานบันเทิง แหล่งท่องเที่ยว เช่น สวนสัตว์ และสถานประกอบธุรกิจที่ไม่จำเป็นทั้งหมด ยกเว้นร้านอาหาร แต่ต้องให้บริการแบบสั่งซื้ออาหารกลับไปทานหรือจัดส่งอาหาร ปิดสถานที่ออกกำลังกายทั้งในร่มและกลางแจ้ง เช่น สนามกอล์ฟ สระว่ายน้ำ ฟิตเนส สนามกีฬา
- ผลจากการล็อกดาวน์ที่เข้มงวด ทำให้รัฐบาลสหราชอาณาจักรตัดสินใจเริ่มการผ่อนคลายล็อกดาวน์ในระยะแรก ด้วยการเปิดโรงเรียนและอนุญาตให้มีการรวมกลุ่มเกิน 6 คนขณะอยู่กลางแจ้งได้ในเดือนมีนาคม
- การผ่อนคลายล็อกดาวน์ระยะสองมีขึ้นในเดือนเมษายน โดยอนุญาตให้เปิดร้านอาหารและสถานประกอบธุรกิจที่ไม่จำเป็น และผ่อนคลายมาตรการจำกัดการรวมกลุ่มทั้งในอาคารและกลางแจ้ง ขณะที่ทางการเพิ่มการเฝ้าระวังเชื้อโควิดสายพันธุ์เดลตาที่กำลังระบาดหนักในอินเดีย และเพิ่มมาตรการกักตัวพลเรือนที่เดินทางมาจากอินเดีย พร้อมทั้งแบนนักเดินทางจากอินเดียที่ไม่ใช่พลเรือนสหราชอาณาจักรทั้งหมด
- มาตรการล็อกดาวน์เกือบทั้งหมดถูกยกเลิกในวันที่ 19 กรกฎาคม รวมถึงการบังคับสวมหน้ากากอนามัย การรักษาระยะห่างระหว่างบุคคล และการจำกัดจำนวนคนที่เข้าร่วมกิจกรรมหรืองานแข่งขันกีฬา แต่แทนที่ด้วยข้อแนะนำในการป้องกันการติดเชื้อ
แผนบริหารจัดการวัคซีนที่ดี
- รัฐบาลสหราชอาณาจักรเริ่มตั้งคณะทำงานด้านวัคซีนขึ้นตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2020 โดยมุ่งเน้นการพัฒนาและผลิตวัคซีนทั้งในสหราชอาณาจักรและทั่วโลก
- สหราชอาณาจักรเป็นประเทศแรกของโลกที่อนุมัติการใช้งานวัคซีนจาก Pfizer–BioNTech ในวันที่ 2 ธันวาคม 2020 หลังจากนั้นในวันที่ 30 ธันวาคม ได้อนุมัติใช้งานวัคซีน Oxford-AstraZeneca เป็นประเทศแรก ตามด้วยวัคซีนจาก Moderna ที่ได้รับการอนุมัติในเดือนมกราคม และ Johnson & Johnson ในเดือนพฤษภาคม
- จนถึงเดือนเมษายน รัฐบาลสหราชอาณาจักรเร่งดำเนินการจัดหาวัคซีนได้ 8 ยี่ห้อ รวมแล้ว 517 ล้านโดส ในจำนวนนี้รวม Pfizer-BioNTech 100 ล้านโดส, Oxford-AstraZeneca 100 ล้านโดส, Moderna 17 ล้านโดส และ Johnson & Johnson 30 ล้านโดส
- สหราชอาณาจักรเป็นประเทศแรกๆ ของโลกที่เริ่มต้นฉีดวัคซีนโควิดให้ประชาชนตั้งแต่ช่วงเดือนธันวาคม 2020 โดยเริ่มแผนการฉีดในเฟสแรก แก่กลุ่มผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงสูง กลุ่มบุคลากรการแพทย์และเจ้าหน้าที่ด่านหน้า กลุ่มเปราะบางและผู้มีปัญหาสุขภาพ ตลอดจนกลุ่มผู้ที่อายุเกิน 50 ปีขึ้นไป ตามด้วยเฟสที่ 2 ในช่วงกลางเดือนเมษายน ซึ่งเริ่มฉีดให้แก่กลุ่มผู้ใหญ่และกลุ่มวัยรุ่น อายุตั้งแต่ 18-49 ปี
- ในวันที่ 15 ธันวาคม หรือสัปดาห์แรกหลังเดินหน้าแผนฉีดวัคซีน รัฐบาลสหราชอาณาจักรได้ระดมจัดตั้งศูนย์ฉีดวัคซีนแล้วมากกว่า 70 แห่งทั่วประเทศ โดยเริ่มจากในโรงพยาบาลต่างๆ ตามด้วยศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ และร้านขายยา และปรับเปลี่ยนอาคารสถานที่ขนาดใหญ่ เช่น สนามกีฬา โบสถ์ มัสยิด และศูนย์จัดแสดงสินค้า ให้เป็นศูนย์ฉีดวัคซีนขนาดใหญ่ ซึ่งจนถึงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา พบว่ามีจุดฉีดวัคซีนทั่วประเทศมากเกือบ 2,000 แห่ง
- ปัจจุบันมีชาวอังกฤษมากกว่า 46 ล้านคน จากจำนวนประชากรทั้งหมดราว 68 ล้านคน ที่ได้รับการฉีดวัคซีนโดสแรก โดยประชากรกลุ่มผู้ใหญ่ได้รับการฉีดวัคซีนโดสแรกแล้วเกิน 88% และได้รับการฉีดครบทั้ง 2 โดสแล้วเกิน 72%
- ผลจากการระดมฉีดวัคซีนอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคม 2020 สะท้อนที่จำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิดซึ่งลดลงต่อเนื่องตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา จากกว่า 1,500 คนต่อวัน เหลือไม่ถึง 100 คนต่อวันตั้งแต่เดือนมีนาคมจนถึงปัจจุบัน
เพิ่มอุปกรณ์ช่วยชีวิต-ติดอาวุธบุคลากรทางการแพทย์
- ในช่วงการระบาดที่ผ่านมา รัฐบาลสหราชอาณาจักรได้ทุ่มงบประมาณไปกว่า 4.2 พันล้านปอนด์ หรือกว่า 192,700 ล้านบาท เพื่อทำสัญญาสั่งซื้อชุดอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล หรือ PPE กว่า 40 สัญญา กับบริษัทเอกชน ท่ามกลางความพยายามแก้ไขปัญหาการขาดแคลนชุด PPE ซึ่งเป็นอุปกรณ์สำคัญในการป้องกันการสัมผัสเชื้อ ซึ่งจนถึงปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา มีการแจกจ่ายชุด PPE ให้บุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ด่านหน้าแล้วมากกว่า 11.7 พันล้านชิ้น
- รัฐบาลสหราชาอาณาจักรเร่งป้องกันการขาดแคลนเครื่องมือที่จำเป็นในการรักษาชีวิตผู้ป่วยโควิด โดยเฉพาะเครื่องช่วยหายใจ ตั้งแต่ช่วงการระบาดของโควิดระลอกแรก ซึ่งนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน ได้จัดประชุมกับผู้นำภาคธุรกิจ เพื่อจัดหาและผลิตเครื่องช่วยหายใจกว่า 30,000 เครื่องมอบให้แก่โรงพยาบาลต่างๆ
ระดมตรวจเชื้อ เฝ้าระวังกลุ่มเสี่ยง
- รัฐบาลสหราชอาณาจักรเร่งดำเนินการตรวจเชื้อโควิดในวงกว้างมากขึ้น นับตั้งแต่การระบาดระลอกแรก ซึ่งสหราชอาณาจักรเผชิญกระแสวิจารณ์เรื่องความล้มเหลวและล่าช้าในการบริหารจัดการตรวจเชื้อ โดยสามารถตรวจไปได้เพียงไม่ถึง 30,000 คนในช่วงปลายเดือนมีนาคม 2020
- หน่วยงานบริการสุขภาพ (NHS) ของสหราชอาณาจักร ปรับเปลี่ยนแนวทางการตรวจเชื้อด้วยการขยายช่องทางจองตรวจเชื้อล่วงหน้า พร้อมทั้งเริ่มการตรวจเชื้อและติดตามผู้สัมผัสเชื้ออย่างจริงจัง ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2020 ซึ่งจนถึงปัจจุบัน มีอัตราการตรวจเชื้อเฉลี่ยวันละ 860,000 คน และรัฐบาลยังขยายบริการให้ประชาชนเข้าถึงการตรวจเชื้อแบบรวดเร็ว หรือ Antigen Test Kit โดยรับการตรวจได้แบบไม่มีค่าใช้จ่ายสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ตามจุดตรวจเชื้อและร้านขายยาต่างๆ
อนาคตยังไม่แน่นอน?
- ก่อนหน้านี้ผู้เชี่ยวชาญบางรายเตือนว่าการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ของรัฐบาลสหราชาอาณาจักรอาจส่งผลให้จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้น และอาจพุ่งไปถึงหลัก 100,000 คนต่อวันได้ ซึ่งกรณีผู้ติดเชื้อที่ลดลงนั้น ทำให้แนวโน้มดังกล่าวลดน้อยลง แต่ผู้เชี่ยวชาญบางรายตั้งข้อสังเกตว่าอาจจะเป็นผลจากการที่ประชาชนเข้ารับการตรวจเชื้อลดลง
- นักวิทยาศาสตร์ของรัฐบาลสหราชอาณาจักรเชื่อว่าสถานการณ์กำลังเดินหน้าไปสู่จุดพีก หรือยอดสูงสุดของการระบาดระลอกล่าสุด ซึ่งระดับการติดเชื้อที่เกิดขึ้นนั้นอาจลดลงเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่ง
- สิ่งสำคัญที่ควรจับตามองจากนี้ คือยอดผู้ป่วยโควิดที่อาการหนักจนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดสำคัญว่าสถานการณ์ระบาดมีแนวโน้มดีขึ้นหรือแย่ลง
ภาพ: Photo by Hollie Adams/Getty Images
อ้างอิง:
- https://en.wikipedia.org/wiki/COVID-19_pandemic_in_the_United_Kingdom#Summer_2021:_Third_wave_and_final_reopening
- https://www.gov.uk/government/news/prime-minister-announces-national-lockdown
- https://en.wikipedia.org/wiki/COVID-19_vaccination_in_the_United_Kingdom#Vaccination_centres
- https://www.gov.uk/government/news/uk-secures-extra-60-million-pfizerbiontech-covid-19-vaccines
- https://coronavirus.data.gov.uk/details/testing
- https://www.bbc.com/news/56174954
- https://www.bbc.com/news/uk-56632084
- https://www.bbc.com/news/uk-56306105
- https://www.bbc.com/news/uk-57976524
- https://www.bbc.com/news/uk-51768274
- https://www.bbc.com/news/explainers-52530518
- https://www.bbc.com/news/uk-57981899
- https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-07-26/falling-covid-cases-are-a-welcome-surprise-for-u-k-scientists?sref=CVqPBMVg
- https://news.sky.com/story/covid-19-uk-records-26-144-new-coronavirus-cases-and-71-more-deaths-12369061
- https://theconversation.com/why-covid-cases-are-now-falling-in-the-uk-and-what-could-happen-next-165123